World

“Hwacha” ต้นตำรับเครื่องยิงธนูมหาประลัยสายบู๊แห่งราชอาณาจักรเกาหลี

By: unlockmen February 4, 2021

ในศตวรรษที่ 16 มีอาวุธล้ำสมัยที่ถูกสร้างเพื่อทำลายกองทัพศัตรูจากระยะไกล มีบทบาทสำคัญในปกป้องเกาหลีจากการถูกรุกรานจากชาติมหาอำนาจ โดยอาวุธชนิดดังกล่าวคือเครื่องยิงธนูที่มีชื่อว่า ฮวาชา (Hwacha) สำหรับชาว UNLOCKMEN สายเล่นเกมต้องเคยเห็นเจ้าอาวุธชนิดนี้ผ่านตามาอย่างแน่นอน เพราะมันได้ปรากฏตัวในฐานะอาวุธสุดโหดจากเกมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Ghost of Tsushima, Age of Empires II ,Civilization ,Black Desert ,TABS และเกมอื่นๆ อีกมากมาย

ฮวาชาเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 16 เพราะมีบทบาทสำคัญในการปกป้องอาณาจักรโชซ็อนจากการรุกรานของญี่ปุ่น แต่ในความเป็นจริงนั้น ฮวาชาถูกใช้งานครั้งแรกย้อนกลับไป 200 ปีก่อนในช่วงศตวรรษที่ 14 สมัยที่แผ่นดินเกาหลีถูกปกครองโดยราชวงศ์โครยอ

ในยุคสมัยนั้น จีนคือชาติมหาอำนาจทางการทหาร และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีดินปืน ถึงแม้โครยอจะเป็นพันธมิตรกับจีน แต่ทางจีนไม่ได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องดินปืนให้โครยอ เนื่องจากเป็นความลับขั้นสุดยอดทางการทหารที่ช่วยให้จีนได้เปรียบโครยอ

โชมูซอน (Choe Museon) นักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์เอกของโครยอในสมัยนั้น พยายามทดลองผลิตดินปืนขึ้นมาใช้งานเอง แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง จนเกือบล้มเลิกความพยายาม แต่ได้เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเมื่อเขาบังเอิญได้ยินชื่อเสียงของพ่อค้าชาวจีนคนหนึ่งที่มีความรู้เรื่องดินปืน เขาจึงทำการผูกมิตรกับพ่อค้าคนนั้น และทำการติดสินบนเพื่อให้ลักลอบนำสูตรลับสำหรับผลิตดินปืน และตัวอย่างดินปืนออกมาจากจีน โครงการวิจัยอาวุธดินปืนของโชมูซอนจึงได้เริ่มขึ้นอีกครั้งระหว่างปี ค.ศ.1374 – 1376 จนในที่สุดเขาก็สามารถผลิตดินปืนใช้เองได้สำเร็จ โชมูซอนได้ทดสอบอาวุธจากดินปืนต่อหน้าพระเจ้าอู (U of Goryeo) กษัตริย์องค์ที่ 32 แห่งราชวงศ์โครยอ พระองค์ทรงประทับใจในพลังทำลายล้างเมื่อเทียบกับอาวุธทั่วไปที่โครยอมีอยู่ ทางราชวงศ์จึงสนับสนุนการทำงานของโชมูซอนอย่างเต็มที่ โดยการจัดตั้งสำนักงานอาวุธดินปืนอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1377

จากความสำเร็จในการผลิตดินปืน ทำให้เทคโนโลยีทางการทหารของโครยอมีความก้าวหน้ามากขึ้น โชมูซอนได้ประดิษฐ์อาวุธชนิดต่างๆ ออกมาเพิ่ม โดยผลงานที่โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นพระเอกของเราอย่างฮวาชา เครื่องยิงธนูรุ่นแรกที่มีลักษณะการทำงานเหมือนการยิงจรวด

แต่อย่าลืมว่านี้คือสิ่งประดิษฐ์ผู้มาก่อนการจากศตวรรษที่ 15 ที่ต้องอาศัยความชำนาญในการผลิตสูง ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการคัดเลือกเหล่าวิศวกร และช่างฝีมือดีทั่วแผ่นดินมาร่วมกันสร้างฮวาชาเพิ่ม โดยในยุคสมัยนั้นฮวาชาถือเป็นอาวุธที่แตกต่างจากอาวุธดินปืนทั่วไป เนื่องจากอาวุธชนิดอื่นจะใช้สำหรับยิงทำลายกำแพง และป้อมปราการของศัตรู แต่ฮวาชาถูกใช้สำหรับยิงโจมตีพลทหารของศัตรูโดยเฉพาะ ฮวาชาถูกนำมาใช้ในการทำสงครามกับญี่ปุ่นใน ยุทธการจินโป (Battle of Jinpo) ซึ่งโชมูซอนคือหนึ่งในผู้บัญชาการของโครยอ สามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดายด้วยฮวาชา และอาวุธชนิดอื่นๆ

ในปี ค.ศ. 1392 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสำคัญของเกาหลี ราชวงศ์โครยอถูกล้มล้าง และเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การปกครองโดยราชวงศ์โชซ็อน ในขณะนั้นโชมูซอนที่มีอายุมากแล้วได้เกษียณจากราชสำนัก ออกมาใช้ชีวิตอย่างสงบในช่วงบั้นปลาย ก่อนจะเสียชีวิตลงในอีกสามปีต่อมา ฮวาชารุ่นแรกที่เขาสร้างขึ้นสามารถยิงธนูได้ 50 ดอก

“เหตุใดเราจึงไม่ทำให้มันยิงได้หลายร้อยดอกภายในครั้งเดียว” นี่คือแนวคิดในการสร้างฮวาชาเวอร์ชันใหม่ในปี ค.ศ. 1451 ซึ่งเป็นรัชสมัยของพระเจ้ามุนจง (Munjong of Joseon) กษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งโชซ็อน พระองค์ได้สั่งให้พัฒนาฮวาชาที่สามารถยิงธนูได้ 200 ดอกในครั้งเดียว ฮวาชาถูกนำมาใช้เป็นอาวุธสำหรับป้องกันเมืองชายแดนทางตอนเหนือจากเผ่าเร่ร่อน

ฮวาชารุ่นใหม่ยังคงมีโครงสร้างหลักเหมือนรุ่นเก่า แต่มีการพัฒนาให้ทันสมัย และโหดกว่าเดิมหลายเท่า ตัวโครงสร้างหลักมีรูปร่างคล้ายรถเข็น ส่วนล้อจะถูกยึดด้วยเดือยไม้ และเพลาเหล็ก ตัวรถใช้ไม้สนในการสร้างแทนเหล็ก เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่า สามารถเคลื่อนย้ายเพื่อปรับกลยุทธ์ในสนามรบโดยใช้พลทหารเพียงแค่ 2-4 คน ส่วนด้านหลังของเครื่องจะมีแขนจับแนวขนานสองข้าง เพื่อให้พลทหารสามารถปรับองศาการยิง โดยการหมุนขยับขึ้นลงได้

ในส่วนของการยิง ฮวาชาจะใช้ลูกธนูที่มีน้ำหนักเบา แตกต่างจากปืนใหญ่ และปืนครกในดินแดนตะวันตกยุคกลางที่ใช้ลูกเหล็กหนักเป็นกระสุน โดยลูกธนูจะถูกใส่ในแท่นยิงด้านบนของเครื่องที่ทำมาจากไม้ มีช่องทรงกระบอกจำนวน 200 ช่องสำหรับบรรจุลูกธนู การใช้งานคล้ายปืนใหญ่ที่เราเคยเห็น มีการจุดชนวนสำหรับยิง เมื่อชนวนถูกจุดโดยสมบูรณ์ ฮวาชาจะทำการยิงฝูงธนูจำนวนมหาศาลเข้าโจมตีเป้าหมายภายในเวลาไม่กี่วินาที นอกจากนี้ยังสามารถบรรจุลูกธนูแบบติดหัวดินระเบิดได้อีกด้วย

ฮวาชาคืออาวุธที่สมบูรณ์แบบในยุคนั้น แต่ทุกสิ่งบนโลกย่อมมีข้อด้อย เมื่อสภาพอากาศแปรปวน ก่อให้เกิดลมแรง ฝนตก และความชื้นสูง พลทหารที่ประจำการจะต้องใช้สัญชาตญาณ และประสบการณ์ในการปรับองศาการยิงของฮวาชาให้เหมาะกับสถานการณ์ตรงหน้า เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน เพราะฮวาชามีระยะการยิงที่ 100-150 เมตร แต่ถ้าหากพุ่งถึงเป้าหมายเมื่อไหร เชื่อมั่นได้เลยว่าศัตรูไม่มีทางรอดได้ เพราะความแรงสุดขั้วจากการยิง ที่มีทั้งหัวธนูแบบติดดินระเบิด และหัวธนูแบบธรรมดา สามารถพุ่งทะลุผ่านโล่ และชุดเกราะของศัตรูได้แบบสบายๆ เมื่อหากนำมาติดตั้งบนพื้นที่สูง และใช้ลูกธนูที่มีน้ำหนักเบาขึ้น จะสามารถทำระยะการยิงเพิ่มได้มากถึง 300-500 เมตร


ช่วงปี ค.ศ. 1592 ญี่ปุ่นวางแผนบุกโชซ็อนอีกครั้ง ไดเมียวโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) แห่งญี่ปุ่น ได้ส่งทหารจำนวน 158,000 นาย ยกพลบุกโชซ็อน อันเป็นเหตุนำไปสู่สงครามอิมจิน (Imjin War) ที่กินเวลายาวนาน 7 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1592-1598 เป้าหมายที่แท้จริงของญี่ปุ่นคือการยึดครองคาบสมุทรเกาหลีเพื่อยกกำลังพลบุกพิชิตจีน ทางราชวงศ์โชซ็อนไม่ยินยอมให้ญี่ปุ่นรุกล้ำผ่านดินแดนของตน แต่กองทัพซามูไรอันเกรียงไกรก็สามารถยกพลขึ้นบกที่เมืองปูซานได้สำเร็จ สามารถยึดครองคาบสมุทรเกาหลี เมืองท่า และป้อมปราการสำคัญได้หลายแห่ง สถานการณ์ดูเหมือนว่าโชซ็อนไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป และทางราชวงศ์หมิงของจีนได้กดดันให้โชซ็อนขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกไปโดยเร็วที่สุด กองทัพโชซ็อนจึงได้นำอาวุธมหาประลัยที่ดีที่สุดของพวกเขาออกมาใช้งาน ฮวาชาคือไฟแห่งความหวังที่จะช่วยให้โชซ็อนรอดพ้นจากสงครามที่ไม่มีวันชนะใน 2 สมรภูมิรบครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์เกาหลี ได้แก่

1. ยุทธการฮันซาน (Battle of Hansan)

2. ยุทธการแฮงจู (Battle of Haengju)

ศึกยุทธการฮันซาน (Battle of Hansan) กองทัพเรือโชซ็อนที่นำทัพโดยอี ซุน ชิน (Yi Sun sin) แม่ทัพเอกคนสำคัญแห่งกองทัพเรือโชซ็อน ที่ได้รับฉายาว่า “แม่ทัพเรือไร้พ่าย” ฮวาชา และปืนใหญ่ถูกนำมาติดตั้งบนเรือรบ พานโอกซอน (Panokseon) ซึ่งเป็นเรือรบระดับสูงที่มีขนาดใหญ่ 70 -100 ฟุต ถูกใช้งานควบคู่กับเรือเต่าหุ้มเกราะหนัก และเรือรบจำนวน 12 ลำ ทำสงครามเพื่อสกัดกั้นกองทัพเรือญี่ปุ่นจำนวน 100 ลำที่กำลังเคลื่อนทัพเข้ามา จากอาวุธที่มีประสิทธิภาพ และความสามารถของแม่ทัพอี ซุน ชิน ที่เตรียมพร้อมรับมือสงครามในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของกำลังพล เสบียงอาหาร อาวุธที่มีประสิทธิภาพ และการปกครองที่ทำให้เหล่าทหารศรัทธา พร้อมที่จะสู้เพื่อแม่ทัพ และแผ่นดินจนตัวตาย สิ่งเหล่านี้คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้โชซ็อนสามารถกวาดล้างกองทัพเรือญี่ปุ่นได้หลายครั้ง และในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1593 กองทัพเรือโชซ็อนสามารถทำลายเรือรบญี่ปุ่นได้หลายลำ ทำให้กองทัพเรือญี่ปุ่นเสียเปรียบอย่างหนักจนต้องถอนทัพกลับ โชซ็อนจึงเป็นผู้ชนะ และสามารถปกป้องชายฝั่งทางใต้ได้สำเร็จ

ศึกยุทธการแฮงจู (Battle of Haengju) โชซ็อนนำทัพโดยนายพลควอนยูล (Gwonyul) ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีกำลังทหารทั้งหมดราวๆ 2,800 นาย ต้องปกป้องป้อมปราการแฮงจูจากกองทัพญี่ปุ่นจำนวน 30,000 นาย ซึ่งนำทัพโดยผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นระดับสูงได้แก่ คาโต คิโยมาสะ (Kato Kiyomasa) และยูคิตะ ฮิเดอิ (Ukita Hideie)

การโจมตีเริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1593 กองทัพซามูไรพร้อมปืนคาบศิลา บุกเข้าล้อมป้อมปราการแฮงจู และทำการโจมตีครั้งใหญ่จำนวน 9 ครั้ง ถึงแม้จำนวนทหารโชซ็อนจะเสียเปรียบหลายเท่า แต่ก็สามารถต้านทานการโจมตีได้ด้วยการขว้างก้อนหิน , ยิงธนูไฟ และเทเหล็กร้อนใส่กองทัพซามูไรที่บุกเข้ามาบริเวณป้อมปราการ เมื่อหนังสงครามเรื่องนี้เดินทางมาถึงช่วงเวลาสำคัญ พระเอกของเรื่องจึงต้องปรากฏตัว ฮวาชาจำนวน 40 เครื่อง ที่ถูกติดตั้งบนป้อมปราการถูกนำมาใช้งาน จากจำนวนที่หนาแน่นของทหารญี่ปุ่นยิ่งเข้าทาง

ฮวาชาทุกเครื่องถูกจุดชนวน ฝูงธนูหลายพันดอกพุ่งโจมตีกองทัพญี่ปุ่นจากระยะไกลเหมือนเม็ดฝน จากการสู้รบที่ยืดเยื้อส่งผลให้กองทัพญี่ปุ่นสูญเสียกำลังพลไป 10,000 นาย ฮวาชากลายเป็นฝันร้ายที่ทำลายขวัญกำลังใจของทหารญี่ปุ่นแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี และทำให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูง 3 นายของญี่ปุ่นได้รับบาดเจ็บ กองทัพญี่ปุ่นจำเป็นต้องถอนทัพออกจากภูมิภาคนี้ไป เป็นอีกหนึ่งชัยชนะครั้งสำคัญที่ทำให้โชซ็อนสามารถรักษาบ้านเมืองเอาไว้ได้

เป็นสัจธรรมที่ทุกสิ่งบนโลกเมื่อเกิดมาแล้วย่อมมีวันดับสูญ เมื่อเวลาผ่านไปนานมากขึ้น ฮวาชาก็กลายเป็นอาวุธตกยุค เนื่องจากมีอาวุธที่ร้ายแรง และทันสมัยเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม ฮวาชาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในอาวุธทางการทหารที่สำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์เกาหลี มีการประกอบฮวาชาขึ้นใหม่ตามต้นฉบับ เพื่อศึกษาวิธีการทำงาน และทดสอบยิงเพื่อดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จากผลลัพธ์ที่ได้ยิ่งทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าฮวาชาเป็นอาวุธที่อันตรายแค่ไหนในยุคนั้น โดยในปัจจุบันเราสามารถพบเห็นฮวาชาของจริงได้ในพิพิธภัณฑ์ และอุทยานแห่งชาติของประเทศเกาหลีใต้

 


Written by: JSTK

 

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line