Life

ชีวิตคือเรื่องเล่าที่เราเชื่อ: บทเรียนเด็ดจากภารโรงสถานีอวกาศผู้เชื่อว่าตัวเองส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์!

By: PSYCAT September 27, 2019

“ชีวิตคืออะไร?” เราเชื่อว่าถ้าถามคำถามนี้กับคนร้อยคนอาจได้คำตอบร้อยแบบ ชีวิตอาจเป็นการผจญภัย ชีวิตอาจเป็นการได้ทำเพื่อคนที่เรารัก หรือชีวิตอาจเป็นความทุกข์ ในแต่ละครั้งที่เราถามหาความหมายหรือคำนิยามของชีวิตจากผู้คน เรามักได้คำตอบที่ทำให้เราต้องครุ่นคิดหรือถึงขั้นพลิกมุมมองต่อชีวิตตัวเองไปเลย

วันนี้ UNLOCKMEN อยากพามาสัมผัสอีกความหมายของชีวิต ชีวิตในฐานะเรื่องเล่าและต้องเป็นเรื่องเล่าที่เราเชื่อ รับรองว่ามันจะเปลี่ยนมุมมองคุณไปตลอดกาล

พลังของเรื่องเล่าที่เราบอกตัวเอง

นอกจากคำถามที่ว่า “ชีวิตคืออะไร?” แล้ว เราอยากถามคุณต่อว่า “หน้าที่ของภารโรงคืออะไร?” คุณอาจตอบว่าทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมของตึก คุณอาจตอบว่าเก็บกวาดเช็ดล้างเมื่อมีคนทำอะไรหกเลอะเทอะ หรือคุณอาจตอบว่าคอยเปิดปิดประตูขององค์กรนั้น ๆ ตามเวลาที่ได้รับคำสั่ง นี่คือนิยามหรือเรื่องที่เราเล่าเพื่อบรรยายหน้าที่ของภารโรงคนหนึ่ง แต่พลังของเรื่องเล่าที่ภารโรงคนหนึ่งเชื่อว่าตัวเองทำกลับมีความหมายมากกว่านั้น

ย้อนกลับไปในช่วงที่มวลมนุษยชาติกำลังมุ่งมั่นกับภารกิจส่งมนุษย์ไปพิชิตดวงจันทร์ มีเรื่องเล่าว่าประธานาธิบดีผู้ทรงอิทธิพลเดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานีอวกาศเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของภารกิจยิ่งใหญ่ เขาเดินไปตามโถงทางเดินและแวะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่บ้าง จนกระทั่งเจอภารโรงที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่าง

ประธานาธิบดีจึงหยุดเพื่อทักทายภารโรงคนนั้น “คุณกำลังทำอะไรอยู่?” ก่อนที่ภารโรงประจำสถานีอวกาศจะสบตาประธานาธิบดี และตอบออกมาอย่างภาคภูมิใจว่า

“ผมกำลังเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยมนุษย์ไปพิชิตดวงจันทร์อยู่ครับ”

กวนตีนจัง! ตอบไม่เห็นตรงคำถามเลย ใครหลายคนอาจคิดแบบนี้ แต่ประธานาธิบดีกลับไม่ได้คิดแบบนั้นและคิดว่าทัศนคติและสิ่งที่ภารโรงคนนี้เชื่อนี่แหละที่ทำให้ภารโรงเห็นความสำคัญของสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ทิ้งทุกรายละเอียด เพราะการทำความสะอาดของเขา ไม่ใช่แค่เพื่อทำความสะอาด แต่เขาทำความสะอาดอยู่ในสถานีอวกาศที่ทุกคนกำลังมุ่งมั่นพิชิตดวงจันทร์กันอยู่และเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภารกิจนี้สมบูรณ์แบบ

นักวิทยาศาสตร์ที่สวนมาจะไม่ต้องลื่นล้มถ้ามีใครทำของเหลวอะไรหก นักบินอวกาศได้มีสุขภาพจิตที่ดีจากการใช้ห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมอ่อง สิ่งเหล่านี้คือพลังของเรื่องเล่าที่ภารโรงคนนี้เชื่อ ในขณะที่ตัวประธานาธิบดีเองก็มองเห็นค่าของทุกรายละเอียดของคนตัวเล็ก ๆ ในภารกิจยิ่งใหญ่นี้ยิ่งขึ้นจากเรื่องเล่าของภารโรง

คนอื่นบอกว่าเราเป็นอะไร ไม่สำคัญเท่าเราเชื่อว่าเราเป็นอะไร

ชีวิตของเราจึงอาจมีนิยามสารพัดที่มาจากคนอื่น เราอาจเป็นพนักงานเงินเดือนตัวเล็ก ๆ ในสายตาหัวหน้า เราอาจเป็นลูกชายตัวน้อยของแม่อยู่เสมอ เราอาจเป็นเพื่อนที่ไม่เอาไหนในสายตาเพื่อนอีกคนที่รวยกว่า แต่การนิยามตัวเอง มีเรื่องเล่าของตัวเองจะช่วยให้เราเห็นคุณค่าและความหมายในสิ่งที่เราทำ

ในขณะที่ถ้าเราไม่มีเรื่องเล่าที่เราเชื่อให้ชีวิตตัวเอง บ่อยครั้งเราอาจรับเอาสิ่งที่คนอื่นบอกว่าเราเป็น มาทำให้เราเศร้า ท้อ เหนื่อยหรือไขว้เขว ถ้าสำหรับมาตรฐานสังคมการเป็นภารโรงมันดูเป็นอาชีพเล็ก ๆ และเราคิดว่ามันก็แค่อาชีพเล็กตามที่ใคร ๆ ก็พูดกัน มันง่ายที่เราจะทำงานให้ผ่าน ๆ ไป เหนื่อยไปในแต่ละวัน ไขว้เขวและเฝ้าถามตัวเองว่าเราทำอะไรอยู่ที่นี่ เพราะเราไม่เห็นความสำคัญอะไรของหน้าที่นี้เลย

แต่การมีเรื่องเล่าที่เราเชื่อเป็นของตัวเอง ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่รับฟังคำวิจารณ์ คำแนะนำหรือความเห็นของคนอื่น แต่หมายความว่าเราจะเปิดใจกว้างรับฟังคำวิจารณ์นั้น ๆ เพราะเราจะเห็นว่าเขาวิจารณ์สิ่งที่เราทำ ไม่ได้วิจารณ์ตัวตนเรา แถมเราจะยิ่งทำตัวตนที่เราเชื่อให้ดีขึ้นไปอีกได้ด้วยการรับฟังคนอื่นนั่นเอง

ชีวิตที่มีสิ่งที่เชื่อ = ชีวิตที่มีความสุข

การเล่าความหมายของชีวิตที่เราเชื่อให้ตัวเองฟัง ไม่ใช่แค่ทำให้เราเห็นความหมายของสิ่งที่เราทำ และใส่ใจกับรายละเอียดของชีวิตเท่านั้น แต่สิ่งที่เชื่อจะทำให้เรามีความสุขด้วย เพราะคนเราไม่ได้มีความสุขเพราะเราสบายอยู่ตลอดเวลา หรือมีชีวิตที่ไม่มีความทุกข์เลย แต่เราต้องการชีวิตที่ถ้าจะสุขหรือทุกข์ต้องมีอะไรที่เชื่อรออยู่

สิ่งที่เราเล่าให้ตัวเองฟังและสิ่งที่เราเชื่ออาจเป็นอะไรก็ได้ การช่วยเหลือผู้อื่น การได้ทำในสิ่งที่รัก ฯลฯ แต่ถ้ามันคือสิ่งที่เราบอกตัวเองว่าอยากไปถึง ต่อให้หลายครั้งเราเหนื่อย เราต้องอดหลับเอานอนเพื่อทำมัน ต้องล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่เรารู้ว่าปลายทางคือสิ่งที่เราหวังไว้เราก็มีความสุขได้

จินตนาการง่าย ๆ ว่าถ้าเราคือมนุษย์ที่รวยล้นฟ้า ไม่ต้องทำอะไรชีวิตก็ไม่มีทางอดอยาก อยากซื้ออะไรก็ได้ซื้อ อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ไป เหมือนว่าชีวิตมีแต่ความสบาย แต่ถ้าเราดันเชื่อในเรื่องที่ว่า “ถ้าผมพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ให้ได้สักครั้งในชีวิต ผมคงนอนตายตาหลับ” แล้วเราก็พาตัวเองจากบ้านหรูหรา พาตัวเองออกจากเตียงอบอุ่น ไปลำบากลำบน เหน็ดเหนื่อยเพื่อยอดเขานั้น

ถามว่าตอนนอนอยู่บ้านเราสบายกว่าตอนหนาวเหน็บปีนเขาเสี่ยงตายไหม? สบายกว่าแน่นอน แต่ความรู้สึกตอนที่เราไปถึงยอดเขาที่เราเชื่อต่างหากคือความสุข ไม่ใช่การนอนอยู่บ้าน (แต่ถ้าคุณเชื่อเรื่องการนอนอยู่บ้าน ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด มันขึ้นอยู่กับว่าเราเชื่ออะไร และเราล้วนยอมสบายบ้างไม่สบายบ้างเพื่อสิ่งที่เราเชื่อ เพราะมันทำให้เราเป็นสุขในภาพรวมนั่นเอง)

 

“ชีวิตคุณคืออะไร?” มาถึงตรงนี้คุณอาจมีเรื่องเล่าที่เชื่อรออยู่ในหัวแล้ว หรืออาจยังไม่มีก็ค่อย ๆ หาคำตอบค่อย ๆ แต่งเติมไป แล้วยึดเป้าหมายที่เราเชื่อไว้ รับฟังคำวิจารณ์จากผู้คนรอบตัวเสมอ เพื่อไปให้ถึงสิ่งที่เชื่อได้ดีกว่าเดิม เมื่อถึงจุดนั้นเราเชื่อว่ามันจะคุ้มค่าแน่นอน

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line