Entertainment

ชีวิตและการเดินทางของ “Sahred Toy” นักวาดมาดทะเล้นเจ้าของลายเส้นสุดกวน

By: unlockmen June 4, 2015

หากพูดถึงชื่อนักวาดภาพประกอบในเมืองไทย หลายๆ คนอาจจะทำหน้าสงสัย และส่ายหน้าว่าไม่เห็นจะรู้จักเลย แต่ถ้าคุณได้เห็นลายเส้น หรือผลงานของพวกเขาเหล่านั้นแล้ว เชื่อเลยว่าต้องร้อง อ๋อ! ไปตามๆ กัน จริงๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่เรารู้จักผลงานของเขา แต่เรากลับไม่รู้จักชื่อของเขาเหล่านั้น หนุ่มมาดกวนที่เรามีโอกาสได้ไปคุยกับเขาอาจเป็นหนึ่งในนักวาดภาพประกอบที่มีผลงานคุ้นตา แต่คุณอาจไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขาก็เป็นไปได้ หนุ่มคนนี้เป็นเจ้าของนามปากกา “Sahred Toy” (เสลดทอย)

128ff9f6abe285bb3c373231b523e67c

“ต๊อด-อารักษ์ อ่อนวิลัย” หรือ Sahred Toy คือนักวาดภาพประกอบที่มีลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ ชวนให้ติดตาม เขามีผลงานมาแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพประกอบลงกล่องเหล็กของถุงยางอนามัย Durex หรือโฆษณาคิดถุ๊ง คิดถุงของ 7/11  แถมยังมีคาแรคเตอร์ภาพวาดสุดติดตา ก็คือ จู๋ปลอมที่มีสีชมพูน่ารัก ขัดกับความหมายของมัน รวมถึงผลงานหนังสือที่ทำกับสำนักพิมพ์แซลมอนอีกหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น India Diary ,Tokyo Diary และล่าสุด Korea Diary ทำให้เราติดภาพว่าเขาเป็นหนุ่มนักวาด นักเขียนหนังสือท่องเที่ยว แล้วการเดินทางสำคัญอย่างไร ทำไมเขาจะต้องออกเดินทาง แล้วเขาได้อะไรบ้างจากการออกเดินทางท่องเที่ยว ถ้าคุณพร้อมแล้วมาท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กันในโลกของต๊อดได้เลย

224669-5เริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่เมื่อไร แล้วทำไมถึงเลือกเขียนเรื่องท่องเที่ยว

จริงๆ ไม่ได้เรียกเขียนหนังสือครับ เขียนหนังสือไม่ได้ด้วย ทุกวันนี้ก็ยังเขียนไม่ค่อยได้ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราลาออกจากงานมาแล้วอยากใช้ชีวิตช่วง 20-30 โดยที่แบบไม่คิดถึงเงินเลยอะไรงี้ อยากใช้ชีวิตให้สุดๆ ก็ได้เงินก้อนนึงไปอินเดีย เลยกะว่าจะอยู่ครึ่งปี แต่อยู่แค่สองเดือนเงินก็หมดแล้ว ก็เลยกลับอะไรงี้ แล้วช่วงสองเดือนนั้นเราก็โพสต์ลงโซเชี่ยลโน่นนี่นั่น แล้ว บ.ก.แซลม่อนเค้ามาเห็น เค้าเลยถามว่ามาเขียนหนังสือไหม คือก่อนหน้านั้นเคยเขียนการ์ตูนให้เค้ามาก่อน แต่คราวนี้เป็นเขียนด้วยแล้วก็เขียนภาพประกอบด้วย ก็เลยกลับมาที่ไทยแล้วก็เริ่มเขียนหนังสืออินเดียไดอารี่เป็นเล่มแรก

tod

หนังสือท่องเที่ยวแบบ Sahred Toy คุณคิดว่ามันมีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น 

เราว่ามันไม่ใช่ท่องเที่ยวด้วย เพราะมันนำเที่ยวไม่ได้เลย คือผมจะพยายามบอกทุกคนที่ซื้อไปว่า มันไม่ใช่หนังสือไกด์บุ้คนะ เพราะมันไม่ได้มีสาระในแบบที่พกไปเที่ยวได้อะไรอย่างเงี้ย มันเป็นเรื่องเล่าของเรามากกว่า เราไม่ได้โฟกัสไปที่ว่าทำอย่างไรให้แตกต่างจากชาวบ้านเค้า เราว่าถ้าพยายามเป็นอย่างนั้นมันจะพยายามฝืนตัวเองให้หนีคนอื่น เคยคิดเรื่องนี้อยู่สักพักนึงเหมือนกันนะ พอเขียนไปสักพักก็รู้สึกว่าช่างมันเถอะจะเหมือนคนอื่นหรือไม่เหมือนก็แล้วแต่ ให้มันเป็นเรื่องของเขา แต่เรามาเขียนในแบบของเรา มันสนุกกว่า

Processed with VSCOcam with a6 preset

กว่าจะเขียนเสร็จออกมาแต่ละเล่ม มันมีอุปสรรคเยอะไหม

โห หนังสือแมร่งมีอุปสรรคทุกเล่มอะ หนังสือมันยากสำหรับผมนะ เขียน 200 หน้าให้มันเสร็จนี่แบบเป็นงานที่โหดอะ แล้วอีกอย่างผมไม่ได้มาสายเขียนหนังสือ คือเราชอบอ่านหนังสือก็จริง แต่ว่าเราเขียนหนังสือให้เป็นประโยคยาวๆ ต่อเนื่องกันไม่เป็นฮะ เราทำได้แค่แบบกวนตีนในเฟสบุ้คเฉยๆ สั้นๆ อะไรแบบนี้ ปัญหาสำหรับผมคือ ทำไงให้เราเขียนหนังสือยาวๆๆ ต่อๆ กันให้เป็นหนังสือหนึ่งเล่มอะ อันนี้ต้องใช้ความพยายามมากๆ สำหรับผมนะ

84500 1394429350_1กล่อง Durex ฝีมือ Sahred Toy

ทราบมาว่าการที่คุณได้ไปอินเดีย ส่งผลให้ลายเส้นของคุณเปลี่ยนไป อยากรู้ว่าคุณไปเจออะไรมา ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อย

ผมว่ามันเป็นสกิลของประสบการณ์อะ เราไปโดยที่ไม่คาดหวังอะไรเลย ไปใช้ชีวิต ไปทิ้งชีวิตเฉยๆ พอกลับมาเราก็ไม่รู้ว่าเราได้มาจากไหนนะ แต่ถ้าให้เดาคงเหมือนเราหยุดวาดไปพักนึงตอนอยู่ที่โน่น พอกลับมาเหมือนแบบมันอั้นอะ เราก็วาดรัวๆๆๆ แล้วบวกกับเราไปเห็นสิ่งนู้นสิ่งนี้จากอินเดีย เอาเข้าจริงลายเส้นทุกวันนี้มันก็ไม่ได้ลิ้งกับอินเดียเท่าไร แต่ผมว่ามันได้อะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ มันเป็นภาวะสูญญากาศที่ผมไม่รู้ว่าเราเอาก้อนอะไรพวกนี้มาจากไหน อยู่ๆ มันก็มา

“ผมเป็นคนที่แบบถ้ารู้ว่าตัวเองมองโลกในแง่ร้ายมากๆ จะพยายามคิดให้มันเป็นเรื่องตลก”

เราสังเกตเห็นว่าคุณเป็นคนตลก ลายเส้นก็สุดกวน เนื้อหาในหนังสือก็สนุก แล้วมันมีเรื่องในต่างแดนที่ทำให้คนอย่างคุณขำไม่ออกบ้างหรือเปล่า

คือไม่เคยถึงขั้นนั้นอะ โดยส่วนตัวอะ ผมเป็นคนที่แบบถ้ารู้ว่าตัวเองมองโลกในแง่ร้ายมากๆ จะพยายามคิดให้มันเป็นเรื่องตลก คือถ้าเจอเรื่องประหลาดๆ มากๆ ผมก็จะแบบแค่นี้แมร่งไม่ตายหรอก ไปเที่ยวมันไม่มีทางตายอะ มันก็คือไปสนุก ไปเรียนรู้อะไรอย่างนี้มากกว่า

2d95149469ac4a50a3bf869f390ccab5ภาพจากหนังสือ Tokyo Diary 

เคยไปสร้างวีรกรรมอะไรมันส์ๆ ในต่างแดนไหม ขอแบบเด็ดๆ เลยนะ

ไม่มีเลย (หัวเราะ) การเที่ยวของผมคือแบบ ถ้าคนอื่นไปด้วยก็คือเบื่ออะ เพราะผมไม่ได้เจาะจงไปที่แลนด์มาร์คอะ ผมจะไปเที่ยวแบบชุมชน อย่างไปญี่ปุ่นเนี่ยผมไปทุกย่านเลยนะที่เขาว่าดังๆ แต่ก็ไม่ได้เจาะจง ผมก็จะเข้าไปในซอยแบบไม่มีแผนที่เข้าไปเรื่อยๆ จนแบบไปเจอที่ๆ มันคล้ายสำเพ็งเมืองไทยมากๆ เจอขยะ แบบเห้ย ที่ญี่ปุ่นมันไม่มีขยะไม่ใช่เหรอวะ ไปเจอที่ๆ ไม่มีใครมาแนะนำว่ามันมีอย่างนี้อยู่ อันนี้เป็นความสนุกของผมมันอาจเบสิคสำหรับคนอื่นนะ

ไม่มีเรื่องแปลกๆ มันส์ๆ ที่รู้สึกอยากกลับมาเล่าให้เพื่อนฟังเลยเหรอ

อ่อ คือมันมีตอนที่ไปอินเดีย คือผมไปแล้วผมก็ไปเจอตึกที่เขาทำเกี่ยวกับพวกสายตา แล้วคือผมก็สายตาสั้น ไม่อยากใส่คอนแทคก็เลยทำเลสิคที่นั่นเลย (หัวเราะ) ผมก็บอกเพื่อนว่าเห้ย อยากทำเลสิคว่ะ ถูกกฎเมืองไทยใช่ป่ะ ผมก็แบบทำเลย ทำแบบไม่มีความรู้อะไรเลย เอาจริงๆ คือมันดูปัญญาอ่อนมาก คือถ้าตาบอดก็ไม่รู้จะทำไง แต่อย่างที่บอกผมเป็นคนที่ไม่คิดอะไรกับชีวิตเยอะ  แต่มันเป็นเรื่องใหญ่มากนะในสเกลของเขาอะ คือแบบไปเจาะตา เอาเลเซอร์จี้ตาดำ คือมันดูเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่เราไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะ มันก็มีเรื่องที่เราอยากทำอีกนะ อย่างนั่งรถไฟไปเรื่อยๆ ในอินเดียโดยไม่รู้สถานี แต่เพื่อนบอกมึงอาจจะตายได้เลยนะเว้ย ก็เลยไม่ทำ (หัวเราะ)

ทำเลสิคมาแล้ว สุดท้ายก็ยังต้องใส่แว่นอยู่ดี เพราะอะไร มันไม่หายเหรอ

คืออันนี้มันก็เป็นความเวรอย่างหนึ่ง คือเราไปทำเลสิค แล้วเลสิคจริงๆ มันควรจะหาย คือผมสั้นมากอะ 900 มันควรจะเหลือ 0 ผมทำเสร็จ ก็แบบทำไมมันยังฝ้าๆ วะ ก็คุยกับหมอ คุยไม่ค่อยรู้เรื่องด้วยนะ หมอก็บอกว่าเนี่ย หายแล้ว แต่มันกำลังฟื้นตัวอยู่ หมอบอกมันต้องใช้เวลาพอสมควร เนี่ย! ผ่านมาสองปีแล้ว (หัวเราะ) ผมไปเช็คมา เขาบอกยังเหลืออีก 200 โดนเพื่อนด่าหนักเลย (หัวเราะ)

“คืองานที่ผ่านมาจนมาถึงวันเนี้ย มันถูกหล่อหลอมด้วยการที่เราไปเห็นโลกโน่นนี่นั่น เหมือนอย่างที่เขาบอกอะ เอากะลาพลิกออก แล้วเราก็ได้เห็นโลกมากขึ้น”

พอไปเที่ยว ไปเจออะไรมาเยอะๆ มันส่งผลกับการวาดภาพของคุณไหม ได้อะไรจากมันบ้าง

ผมว่ามันได้มาโดยไม่รู้ตัวอะ อย่างที่บอกว่ามันเหมือนเป็นภาวะสูญญากาศ จริงๆ มันได้เยอะนะ คืองานที่ผ่านมาจนมาถึงวันเนี้ย มันถูกหล่อหลอมด้วยการที่เราไปเห็นโลกโน่นนี่นั่น เหมือนอย่างที่เขาบอกอะ เอากะลาพลิกออก แล้วเราก็ได้เห็นโลกมากขึ้น เราก็รู้สึกว่าศิลปะเมืองไทยมันยังอีกไกลนะกว่าจะไปถึงระดับนั้นได้ มันยังมีอีกหลายอย่างที่เราสามารถไปได้ แต่เรายังอยู่แค่นี้อยู่ ผมก็พยายามจะก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นโดยก้าวข้ามผ่านเรื่องทะลึ่งๆ นั่นมากกว่า

Processed with VSCOcam with a6 preset

จากที่ไปเที่ยวมาหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลี คุณยังรู้สึกว่าเมืองไทยน่าอยู่ อยู่ไหม

มันมีสองมุมอะ มุมแรกผมเรียกว่ามุมปลอบประโลม กับมุมความจริง (หัวเราะ) คือหลังจากที่ผมไปญี่ปุ่นอะ กลับมาแบบ โอ้โห! ด่าไทยยับเลยนะ ผมว่าหลายๆ คนเป็นอย่างนี้ ผมคุยกับเพื่อน เพื่อนก็เป็นอย่างนี้ ไปญี่ปุ่นกลับมาแบบเมืองไทยแมร่งไม่มีระเบียบเลยว่ะ ทุกอย่างที่ไร้ระเบียบวินัยมันอยู่ในอินเดียและเมืองไทยอะในความรู้สึกผม ผมก็แบบทำไมเราไม่เรียบร้อย ขณะเดียวกันไอ้ความสมบูรณ์แบบของมันเนี่ย ก็มีความเวรอยู่ อย่างญี่ปุ่นเนี่ย เจริญแล้วแต่ทำไมยังมีคนฆ่าตัวตายทุกชั่วโมง ทุกชั่วโมงอยู่ อย่างเกาหลีก็มีอัตราฆ่าตัวตายสูงมาก เพราะสังคมเค้าแข่งขันสูงมาก ไม่ได้ชิลแบบเรา ประเทศเราแบบอยู่แล้วชิล อยู่แล้วสบายใจอะ แต่ที่โน่นเค้าต้องแข่งขันกันทุกวินาทีอะ อย่างเกาหลีอะผมศึกษามา เขาแบบแข่งขันกันทุกวันในที่ทำงานอะ ถ้าวันนี้ทำไม่ดี อาจจะโดนไล่ออกได้ทุกเมื่อ เจริญก็จริงแต่มันมีความตึงเครียดในสังคมอยู่ ถ้าให้เลือกจริงๆ เราก็ไม่อยู่หรอก

y4l24

เคยจินตนาการถึงเมือง หรือประเทศต่างๆ ไว้อย่างสวยหรู พอไปถึงแล้วผิดหวัง มันไม่ใช่อย่างที่คิดบ้างไหม

อย่างญี่ปุ่นเรามีภาพในหัวมันก็เป็นแบบนั้น อินเดียก็สุดๆ อย่างที่เราคิดจริงๆ ส่วนเกาหลีเนี่ยเป็นประเทศที่ไม่อยู่ในความสนใจของผมเลย ไปเห็นเกาหลีเราก็แบบมันเจริญกว่าที่เราคิดเยอะอะ ในช่วงเวลาแค่หนึ่งช่วงอายุคนอะ มันโตไวมาก แต่ก็ไม่ผิดจากที่คิดนะ ผมว่าส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ นะ จะมีก็เรื่องวิถีชีวิตมากกว่า ที่แต่ละประเทศเขาจะแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง

คุณคิดว่าการเดินทางท่องเที่ยว มันกลายเป็นเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ไปแล้วหรือเปล่า สังเกตจากกระทู้ต่างๆ ในเว็บไซต์ ที่ชวนเราออกไปเที่ยว ไปผจญภัย

ผมว่าถ้ามันจะเป็นเทรนด์ก็ดีนะ ผมว่าเด็กยุค Gen Y กับ Gen X มันแตกต่างกันทุกช่วงอะ อย่าง Gen Y ผมรู้สึกมันเป็นยุคที่เราแบบใช้เงินง่าย จ่ายเงินง่าย เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราชอบ ค่าประสบการณ์ การได้ไปต่างประเทศผมว่าพอเราได้ไปเห็นอะไรดีๆ กลับมา มันทำให้เราอยากสร้างสรรค์อะไรบางอย่าง ผมก็เลยรู้สึกว่าประสบการณ์มันสำคัญมากนะ แล้วผมว่าการเที่ยวมากๆ มันไม่ได้เกิดขึ้นในทุกช่วงอายุของเราอะ มันจะอยู่ในช่วงของเด็กที่เพิ่งจบมา วัยรุ่น อะไรอย่างนี้มากกว่า ถ้ามันเป็นเทรนด์ก็ช่างมัน ผมรู้สึกว่าการไปเที่ยวเป็นเรื่องที่ดีนะ มันเป็นการเปิดโลก เห็นอะไรที่มากกว่าเมืองไทย ถ้ามีตังก็ไปเที่ยวซะ (หัวเราะ)

Processed with VSCOcam with a6 preset

แล้วการเดินทางมันมีผลอะไรกับชีวิต และให้อะไรกับคุณบ้าง

คือไม่รู้นะ ผมรู้สึกว่าหลายๆ อย่าง ทำให้มุมมองเราเปลี่ยนไปอะ อย่างเรื่องค่านิยม ประเพณีบางอย่าง สิ่งที่พูดได้พูดไม่ได้ ดูอย่างงานของผมก็ได้ ผมวาดอะไรที่มันดูเสื่อมๆ เป็นเรื่องของเซ็กส์อะไรพวกนี้ ผมอะสนุกที่ได้ทำในประเทศไทย ประเทศอื่นมันอาจพูดได้ไม่สนุกเท่านี้ เราก็ไม่ได้วาดให้มันเห็นแล้วไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ เราอิงให้มันมาทางศิลปะ อย่างต่างประเทศเขาก็มีเรื่องพวกนี้อะ บ้านเรามีปลัดขิก อย่างขบวนแห่จู๋ของญี่ปุ่น บางอย่างเราไปยึดติดอะ เรามีดราม่าเยอะมาก มันทำให้เราไม่กล้ากระดิกตัว พอเราได้ออกไปเที่ยว ไปต่างประเทศ เรากลับมาเราก็จะแบบช่างแมร่งอะ ประเทศอื่นเขาก็พูดได้อะ พอเรากล้าทำอะไรแตกต่างมากๆ ถึงแม้มันจะผิดหรือถูกก็ตาม มันก็ช่วยเพิ่มให้ประเทศเรามีความแปลกเพิ่มขึ้น มีหนทางต่อยอดไปอีก ผมอยากให้เรามีทางเลือกเยอะขึ้นแบบที่ก้าวผ่านขีดจำกัดอย่างเรื่องประเพณี เป็นต้น

ถ้าให้พูดถึงหนังสือเล่มล่าสุดของคุณอย่าง Korea Diary คุณอยากแนะนำอะไรให้คนได้อ่าน

หนังสือเล่มนี้ไม่มีอะไรเลยครับ (หัวเราะ) คือเล่มเนี่ยมันมาจากการที่ผมได้ตั๋วฟรีไปทำงานที่เกาหลีในงานเอเชี่ยนเกมส์ ผมก็เลยเขียนหนังสือซะเลย แต่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเกาหลีเลย ไปเที่ยวแล้วก็เลยกลับมาเล่า แต่ว่าเกาหลีเนี่ยถ้าให้พูดถึงสถานที่เที่ยวมันไม่มีอะไรให้เล่าเลยจริงๆ มันเหมือนกันไปหมด แต่ความเจ๋งของมันคือวิถีชีวิตคนที่แบบสุดโต่งมาก ประเทศที่เริ่มต้นจากศูนย์แต่กลายมาเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว มันต้องมีความบ้าอะไรบางอย่าง อย่างการที่เขาขยันกันแบบสุดๆ ผมรู้สึกว่าเกาหลีกับญี่ปุ่นเนี่ยเขาขยันกันอย่างบ้าคลั่งมาก เราก็จะเล่าเท่าที่เรารู้สึก แล้วก็เป็นเรื่องชีวิตของเราที่ไปอยู่ที่นั่นครับ

ได้วางแผนทริปต่อไปแล้วหรือยัง

ยังไม่มีครับ ผ่อนบ้าน (หัวเราะ)

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line