EVENT

“JAM FEST” เทศกาลดนตรีสุดเจ๋งที่เกิดจากส่วนผสมอันแสนลงตัว

By: SPLESS October 25, 2019

ผู้ชายอย่างเราต่างหลงใหลในความสนุกและบรรยากาศของเทศกาลดนตรีคุณภาพ และในปีที่ผ่านมาหากใครมีโอกาสเดินทางไปร่วมสนุกกับงาน JAM FEST ซึ่งจัดขึ้นโดยค่ายเพลง What The Duck และ Jameson คงจะรู้สึกได้ถึงความสนุกสนาน รวมถึงได้ซึมซับประสบการณ์ทางดนตรีอันยอดเยี่ยม จนต้องเฝ้ารองานครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้น

มาในปีนี้เทศกาลดนตรีอย่าง JAM FEST กลับมาอีกครั้งแบบยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม แต่ก่อนที่เราจะได้พบกับความสนุกของ JAM FEST 2019 เรามาอุ่นเครื่องด้วยการทำความรู้จัก ความเป็นมา รวมถึงสิ่งพิเศษที่เราจะได้พบกันในงานครั้งนี้ ผ่านบทสนทนากับสองหัวเรือใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังอย่าง พี่มอย-สามขวัญ ต้นสมพงษ์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งค่ายเพลง What The Duck และคุณเควนติน จ็อบ Managing Director จาก Pernod Ricard Thailand

เริ่มกันที่คุณเควนติน จ็อบ ปีนี้เป็นปีที่เท่าไหร่ของการทำงานในประเทศไทยแล้ว
หลังจากเข้ามาทำงานในเมืองไทย มองเห็นทิศทางและความท้าทายอะไรในตลาดเครื่องดื่มของเมืองไทยบ้าง

คุณเควนติน: ผมเริ่มต้นทำงานกับทาง Pernod Ricard Thailand มาประมาณ 20 ปี ส่วนในประเทศไทยปีนี้เข้าสู่ปีที่ 3 แต่ก่อนหน้านี้เคยมีโอกาสมาประเทศไทยเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซึ่งจากมุมมองของผม คนไทยนิยมดื่มวิสกี้กันมาก ไม่ว่าจะเป็น 100PIPERS หรือ Chivas Regal

ขณะเดียวกันเมื่อเวลาผ่านไป รูปแบบหรือความชอบการดื่มของคนไทยก็แตกต่างไปด้วย คนรุ่นใหม่เริ่มมองหาเครื่องดื่มที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน ๆ และ Jameson คือการปฏิวัติที่แตกต่างและกำลังได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ เราก็พยายามเผยแพร่รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของ Jameson ออกไปให้ผู้คนในเมืองไทยได้รู้จักกันมากขึ้น

เราเริ่มตั้งแต่ 5 ปีก่อน โดยเริ่มจากบาร์และเหล่าบาร์เทนเดอร์มากมายในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างพื้นที่ที่คนจะได้มีโอกาสมาลองสัมผัสรสชาติของ Jameson ด้วยตัวเอง สร้างการบอกต่อแบบปากต่อปาก โดยไม่ต้องพึ่งแคมเปญโฆษณาใหญ่  ๆ เพื่อให้ผู้คนได้ดื่มด่ำรสชาติที่นุ่มนวลของ Jameson ที่ผ่านการกลั่นทั้งหมด 3 ครั้งจนเกิดเป็นรสชาติที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบ

อะไรที่ทำให้คุณ เควนติน จ็อบ และ Jameson ให้ความสนใจในงานเทศกาลดนตรีในประเทศไทย

คุณเควนติน: เราคิดว่า Jameson มีความเหมาะสมกับตลาดเพลงอินดี้หรือเพลงทางเลือกในประเทศไทยมาก ๆ  หลังจากเราใช้เวลาหลายปีกับการเริ่มต้นในบาร์เล็ก ๆ มากมาย จนเมื่อปีที่แล้ว เราได้ร่วมงานกับค่ายเพลง What The Duck และจัดงาน JAM FEST ครั้งแรกขึ้นมา ทำให้เราได้เห็นถึงผลตอบรับอันยอดเยี่ยมจากคนที่มาร่วมงานว่า พวกเขาชื่นชอบในการดื่ม Jameson ซึ่งเราคิดว่ายังสามารถที่จะสร้างเทศกาลดนตรีให้ดีขึ้นและยิ่งใหญ่กว่าที่เคยทำมาได้ และอยากให้ทุกคนได้เห็นกันใน JAM FEST ของปีนี้

ศักยภาพอะไรในค่ายเพลง What The Duck ที่ทำให้ Jameson ตัดสินใจสร้างเทศกาลดนตรี JAM FEST ร่วมกันขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

คุณเควนติน: เรามองเห็นศักยภาพในการทำงานและความเป็นมืออาชีพของพวกเขา และงานในปีที่แล้วก็วิเศษมาก ผมชอบมาก ๆ ทีมของเราทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ดังนั้นเราก็ต้องการทำงานร่วมกับกลุ่มคนที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน รวมถึงผลตอบรับที่เราได้กลับมาคือทุกคนที่ต่างชื่นชอบงานที่จัดขึ้น

สำหรับ JAM FEST ในปีนี้ผมคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะอยากให้ทุกคนมาสัมผัสด้วยตัวเองโดยทาง Jameson และ What The Duck ได้สร้างเทศกาลดนตรีที่ดีกว่าเดิม เจ๋งกว่าเดิม รวมถึงยิ่งใหญ่กว่าเดิมเพื่อรองรับคนที่จะมาร่วมงานที่มีเพิ่มมากขึ้น

อะไรคือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง JAM FEST และ Jameson ในเทศกาลดนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งนี้

คุณเควนติน:ความลงตัวที่ยอดเยี่ยมระหว่างเราทั้งสองคือ เทศกาลดนตรีที่ดีจะต้องเริ่มจากการมีกลุ่มศิลปินที่ยอดเยี่ยมและ What The Duck ก็มีสิ่งนั้น แน่นอนว่าเมื่อมีเครื่องดื่มที่ดีอยู่ในงาน ทุกอย่างจะต้องออกมาเป็นเทศกาลดนตรีที่ดีอย่างแน่นอน

สำหรับ JAM FEST ครั้งนี้ทาง Jameson เตรียมเมนูเครื่องดื่มพิเศษอะไรไว้สำหรับคนที่มาร่วมงานบ้าง

คุณเควนติน: แน่นอนว่าเมื่อคนที่มาร่วมงานได้สนุกกับเหล่าศิลปินมากมายในงาน คุณก็ต้องการดับกระหายและเติมพลังให้ตัวเอง และใน JAM FEST ครั้งนี้ทาง Jameson ได้เตรียมเครื่องดื่มแก้วพิเศษที่มีส่วนผสมระหว่าง Jameson, Ginger และ Lime ซึ่งผสมผสานออกมาเป็นรสชาติที่ลงตัว เป็น 3 ส่วนผสมที่สมบูรณ์แบบ ดื่มง่าย และจะดับกระหายให้ผู้ที่มาร่วมงานทุกคนได้ตลอดทั้งคืน

มาที่พี่มอยกันบ้างครับ JAM FEST 2019 ครั้งนี้ คนที่มาร่วมงานจะได้พบกับความพิเศษอะไรบ้างครับ

พี่มอย: JAM FEST  คืองานที่รวมหลายอย่างเข้าด้วยกัน และเราก็เลือกสรรทุกอย่างที่ดีที่สุดเข้ามาในงาน ไม่ว่าจะเป็นวงดนตรี เรื่องของร้านอาหาร แม้จะกระทั้งแผนการรองรับว่าถ้าเกิดฝนตกขึ้นมาจะต้องทำยังไง

ถ้าพูดถึงเรื่องศิลปิน เราพยายามสร้างส่วนผสมที่ลงตัวขึ้นมา ซึ่งผมขอเรียกว่า “ดนตรีที่เป็นทางเลือก” เป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้คนที่ชอบฟังเพลง เหมือนกับคนที่เลือกดื่ม Jameson คือไม่ได้ต้องการจะดื่มเครื่องดื่มอะไรที่รสชาติเหมือนคนอื่น การฟังเพลงก็เหมือนกัน ซึ่งผมมองว่าในประเทศไทย มีคนกลุ่มนี้ค่อนข้างเยอะ ก็ตรงกับความเป็น What The Duck เพราะเราเองก็ไม่ใช่ค่ายเพลงอินดี้มาก ๆ ขณะเดียวกันเราก็ไม่ใช่ค่ายเพลงแมสไปเลย เราก็มีทางเลือกของเรา และเชื่อว่าก็มีคนกลุ่มที่ชอบเสพดนตรีแบบนี้ ชอบดื่มแบบนี้เหมือนกันอยู่

สำหรับ Main Stage เราคิดว่าจะทำยังไงดี ที่จะเอาคนกลุ่มอายุตั้งแต่ 20 – 30 ปี มารวมอยู่ในที่เดียวกัน เวทีนี้เลยจะมีความหลายหลากของศิลปินผสมผสานกันอยู่ เริ่มตั้งแต่วงทีโบน (T-Bone) ที่เป็นวงเร็กเก้รุ่นใหญ่ซึ่งหลายคนรู้จักกันดี และผมคิดว่าดนตรีของทีโบน สามารถเสพได้ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงผู้ใหญ่ รวมถึงมี Indie Pop รุ่นเก๋าอย่าง P.O.P ที่ทุกคนน่าจะชอบกัน

ขณะเดียวกันในเวทีนี้ก็มีส่วนผสมของวงเลือดใหม่เข้ามาด้วยอย่าง Safeplanet ซึ่งกำลังมาแรงมาก นั้นคือความพยายามของเราที่อยากทำ Main Stage ให้มีการผสมร่วมของวงดนตรีทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ที่ทุกคนในงานสามารถฟังและรู้สึกสนุกร่วมกันได้

ต่อมาคือเวทีด้านนอก ปีที่แล้วเราไม่ได้ทำเวทีข้างนอกแบบเป็นทางการมากนัก จะเป็นเวทีที่อยู่ในพื้นที่ตลาดและร้านอาหารซึ่งเราเกิดไอเดียว่าอยากให้มีดนตรีอะคูสติกมาเล่นเฉย ๆ สำหรับผมรู้สึกว่าเวทีกลางแจ้ง ค่อนข้างประสบความสำเร็จ เพราะมีคนไปนั่งดู นั่งรอฟังศิลปินเยอะกันเลย งานปีนี้เราก็เลยมาตั้งโจทย์ว่าจะทำยังไงให้เวทีนี้ดีขึ้นกว่าเดิม

เพราะเราอยากทำเวทีข้างนอกให้เป็น Outdoor Stage อีกเวทีไปเลย โดยเลือกวงที่ครบเครื่องมากขึ้น อย่างเขียนไขและวานิช ซึ่งผมมองว่ามาแรงมาก รวมถึงวงอย่าง Plastic Plastic ซึ่งก็หาชมได้ยาก นอกจากนี้ยังมีวงดนตรีอินดี้ที่ฟังสบาย ๆ รวมอยู่ เพื่อตอบโจทย์คนที่ออกมาจาก Main Stage ที่อยากจะนั่งพักหรือทานข้าวกัน ให้ได้นั่งฟังเพลงสบาย ๆ กัน

มีอีกเวทีหนึ่งคือ DOOD Stage ซึ่งเป็นเวทีที่ถูกครีเอตโดยพี่เมื่อย Scrubb ก่อนหน้านี้เขาทำโปรเจกต์พิเศษเป็น Organizer เล็ก ๆ  ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดคอนเสิร์ตตามบาร์ต่าง ๆ โดยเอาวงดนตรีที่เรียกว่า Unsigned หรือไม่ได้มีค่ายมาเล่น DOOD Stage จะเป็นเวทีที่รวมวงดนตรีที่ทำเพลงด้วยตัวเองทั้งหมด มารวมตัวกันและปีที่แล้วก็ประสบความสำเร็จเพราะตอนนั้นเราทำเป็นห้องเล็ก ๆ แต่มีคนมารอดูเยอะมาก

เทศกาลดนตรีที่เราสร้างขึ้นมา นอกจากจะมีวงดนตรีที่หลายคนรู้จัก มีเพลงที่ฟังสบาย เรายังมีกลุ่มวงดนตรีที่คนอาจไม่เคยรู้จักเลย แต่อยากจะให้เขาลองได้เสพได้ลองฟังกันดู ดังนั้นในเรื่องวงดนตรีผมคิดว่า JAM FEST จะมีรูปแบบที่หลากหลาย คนที่อยากฟังแมส ๆ และสนุกกับเพื่อนก็เดินเข้า Main Stage ถ้าอยากฟังดนตรีสบาย ๆ ก็ลองไปนั่ง Outdoor Stage หรือคนที่อยากฟังดนตรีที่ไม่เคยฟังมาก่อน ก็ลองไปเยือน DOOD Stage กันดู ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นผสมผสานที่ลงตัวมาก ๆ

สำหรับคนที่เคยมาในปีที่แล้ว ปีนี้จะมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเพิ่มขึ้นมาบ้าง

พี่มอย: ด้วยความที่ปีที่แล้วเราได้เสียงตอบรับจากคนที่มาร่วมงานกันเยอะมาก ส่วนเราเองก็อยากเลือกสรรสิ่งดี ๆ ทุกอย่างให้คนที่มา ปีที่แล้วเราได้เรียนรู้ปัญหาอะไร เราก็พยายามไม่ให้เกิดซ้ำอีก ยกตัวอย่างปีที่แล้ว Main Stage คนเยอะมากมาปีนี้เราก็เพิ่มแอร์เข้าไป ในส่วนของเวทีข้างนอกมาปีนี้เราก็สร้างออกมาให้เป็นทางการมากขึ้น และเรื่องของห้องน้ำที่เราเพิ่มให้มีใช้กันสะดวกมากขึ้น

รวมถึงปีนี้เราได้ย้ายตลาด ซึ่งปีก่อนเคยอยู่ด้านหน้ามาที่ด้านหลัง จะมีร้านอาหารมาของขายของกินเพิ่มมากขึ้น มีพื้นที่กว้างมากขึ้น มีพื้นที่ที่ Jameson ทำเพิ่มเป็นจุดนั่งพัก ให้คนได้นั่งทานอาหาร นั่งพัก ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เราตั้งใจทำให้คนที่มาร่วมงาน ได้รู้สึกสนุกกับทุกช่วงเวลามากขึ้นกว่าเดิม

วงดนตรีที่ผสมผสานความหลากหลายมากถึง 27 วง รวมถึงโซนต่าง ๆ ที่เตรียมพร้อมมากขึ้น ในเรื่องเครื่องดื่มการเข้ามาเติมเต็มของ Jameson จะช่วยให้งานครั้งนี้สนุกมากแค่ไหน

พี่มอย: แน่นอนครับ ฟังดนตรีต้องมีเครื่องดื่มที่จะมาช่วยเติมเต็มความสนุกสนาน ให้มีความสุขไปกับเพื่อน ๆ และคนรอบตัว ต้องบอกก่อนว่าค่าย What The Duck ของเรากำลังเข้าสู่ปีที่ 5 เป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับการเข้ามาในประเทศไทยของ Jameson ซึ่งเขาก็ให้การสนับสนุนและร่วมงานกันมาตั้งแต่ช่วงแรกเลย ตั้งแต่งานในร้านเล็ก ๆ ที่มีคนดู 200-300 คน

เราทำงานร่วมกันมาตลอด เพราะเห็นตรงกันว่าเรามีกลุ่มเป้าหมายร่วมกัน จนมาถึง JAM FEST ในปีที่ แน่นอนว่าศิลปินในที่เราเลือกมาและเครื่องดื่มของ Jameson คือส่วนผสมที่ลงตัวกัน เราเชื่อว่าส่วนผสมนี้จะทำให้ทุกคนที่มาร่วมงานรู้สึกสนุกสนานกับงานในครั้งนี้แน่นอนครับ

คงเห็นกันแล้วว่า งานอีเวนต์เจ๋ง ๆ เทศกาลดนตรีดี ๆ ย่อมเกิดมาจากส่วนผสมที่ดีเดินทางมารวมตัวกัน เหมือนกับค่ายเพลง What The Duck ที่ตั้งใจคัดเลือกศิลปินคุณภาพถึง 27 วง ที่มีหลากหลายแนวดนตรีมาผสมผสานกัน และ Jameson ที่เฟ้นหาเครื่องดื่มรสชาติเยี่ยมมาเพิ่มความสนุก และดับความกระหายของคนที่มาร่วมงานทุกคนด้วยรสชาติอันแสนนุ่มนวลลงตัว

SPLESS
WRITER: SPLESS
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line