Life

‘กันต์ กันตถาวร’ การหล่อหลอมจากครอบครัว ตัวตนที่ตั้งใจ และความสำเร็จในอาชีพพิธีกร

By: NTman July 8, 2020

ตลอดช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าชื่อของ ‘กันต์ กันตถาวร’ นั้นได้ถูกกล่าวขวัญถึงในฐานะพิธีกรดาวรุ่ง ที่ก้าวขึ้นสู่ระดับแถวหน้าของวงการ กับความโดดเด่นเรื่องปฏิภาณไหวพริบในการดำเนินรายการที่มีจังหวะจะโคน ลูกล่อลูกชนไม่แพ้ใคร รวมถึงสไตล์เฉพาะตัวซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญให้รายการต่าง ๆ ที่เขารับหน้าที่เป็นพิธีกรนั้นสนุกสนานน่าติดตามจนได้รับความนิยมไปทั่วบ้านทั่วเมือง

แต่ถ้าย้อนกลับไปไกลกว่านั้น เชื่อว่าอีกหลายต่อหลายคนต่างรู้จัก ‘กันต์ กันตถาวร’ ในฐานะพระเอกหนุ่ม คิวแน่น งานชุก ก่อนที่จะหายหน้าลาจอเลิกรับงานละครไปแบบดื้อ ๆ แล้วอะไรที่ทำให้คนหนึ่งคนที่กำลังอยู่ในจุดพีคของอาชีพนักแสดง เลือกหยุดทุกอย่าง ข้ามสายอาชีพมาเริ่มต้นใหม่ เรียนรู้ใหม่ เพื่อไล่ล่าความสำเร็จใหม่อีกครั้งในฐานะพิธีกร วันนี้เราจะพาทุกท่านไปถาม ‘กันต์’ ให้รู้เรื่องกันสักที

 

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

“ตอนนี้แต่งงานมีภรรยาแล้วครับ ส่วนเรื่องงานตอนนี้ผมทำอาชีพพิธีกรเป็นหลักประมาณ 99.99% เลยล่ะ” กันต์เริ่มต้นด้วยการอัพเดทชีวิต ณ ขวบปีนี้ของเขาให้เราฟัง ก่อนจะเล่าถึงสาเหตุคร่าว ๆ ที่หลายคนสงสัย ว่าทำไมจึงเลือกจะหยุดงานด้านการแสดงแล้วหันมาเอาดีบนเส้นทางพิธีกรอย่างเต็มตัว

“สาเหตุที่ยังไม่ได้รับงานแสดงเนื่องจากว่า ผมว่ามันใช้เวลาเยอะในการทำงาน ซึ่งจริง ๆ มันเป็นอาชีพที่ผมรักมากนะการแสดง แต่ผมว่าผมรักมันเกินไปจนไม่สามารถแยกได้ ผมเคยทุ่มเทเวลาให้กับการแสดงมากจนกราฟชีวิตฝั่งการทำงานนี้มันแหลมอยู่ด้านเดียว และชีวิตด้านอื่นมันจะถูกหดลงไป เลยเริ่มรู้สึกว่าต้องบาลานซ์ แต่ผมยังไม่สามารถบาลานซ์ได้ขนาดนั้น

และการทำอาชีพพิธีกรมันก็ตอบโจทย์กับสิ่งที่ผมต้องการตรงที่ว่ามันใช้เวลาสั้นกว่า ทั้งที่มันเหนื่อยกว่าการแสดงเยอะเลยนะครับ แต่ว่ามันจบ คือไปอัดรายการวันนี้จบ สองวันจบ อะไรประมาณนี้ และมันก็เป็นสิ่งที่เราสามารถคอนโทรลได้มากกว่าตอนที่แสดงละคร เวลาเราเป็นนักแสดงมันจะมีสิ่งเหนือการควบคุมเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงร่วม บท ผู้กำกับ คิวถ่าย ฝนตกไหม แดดออกหรือเปล่า มันเป็นสิ่งที่เกินคาดเดา

แต่พอมันเป็นมวลรวมของการเป็นพิธีกรแล้วอะครับ พิธีกรสำหรับผมมันคือคอนดักเตอร์ มันเหมือนผู้กำกับในตัวเองเลย ว่าเราต้องการภาพไหน เราต้องการให้รายการนี้เดินไปเส้นไหนในทิศทางใด และรายการต้องการอะไร ในแบบนั้นคือมันค่อนข้างจะควบคุมได้

เพราะฉะนั้นตอนนี้มันจะกลายเป็นว่า 99.99% ผมก็จะทำอาชีพพิธีกรเป็นหลัก แต่คงไม่ได้ทำแบบว่า 7 วันเหมือนสมัยเล่นละครแล้ว 7 วันทำงานทั้ง 7 วันเลย เดี๋ยวนี้ก็พยายาม Balance ให้เหลือประมาณ 4 วันหรือ 5 วัน เพื่อจะได้มีเวลาไปทำกิจกรรมในด้านอื่น ๆ บ้าง”

 

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

จากเหตุผลเรื่องความต้องการบาลานซ์ชีวิตให้ไม่มุ่งไปที่การทำงานเพียงอย่างเดียว อาจไม่ทำให้ชายคนหนึ่งเลือกตัดสินใจหยุดอาชีพการแสดงได้กะทันหันขนาดนั้น แต่มันมีหนึ่งโมเม้นต์สำคัญที่กันต์บอกกับเราว่า นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เขาเริ่มทบทวนตัวเองแล้วว่า นี่เรากำลังทำอะไรอยู่วะ?

“สมัยก่อนตอนเป็นนักแสดงเนี่ย เวลาเราเจอหน้าใครก็ทักทาย ไถ่ถามกัน เฮ้ย ช่วงนี้เป็นไงบ้าง เราก็บอก “โห ยุ่งว่ะ ทำงาน 7 วันเลย” คือเมื่อก่อนผมรู้สึกว่าการทำงาน 7 วันคือเท่ แปลว่าเราได้รับการยอมรับ และเรามีงานเยอะไง มีงานเยอะก็มีตังค์เยอะไง ก็เลยรับงานแบบหนักหน่วงมาก

ปกตินักแสดงจะรับได้สัปดาห์ละ 2 คิว แต่ผมรับ 3 คิว สรุป 7 วันผมถ่ายละคร 3 เรื่อง เป็นอย่างนี้มา 3 ปี โดยไม่มีวันหยุด มีธุรกิจส่วนตัวต้องรับผิดชอบอีก 5 บริษัท ใช้ชีวิตเหมือนเครื่องดีเซลที่ปั่นแล้วมันหยุดไม่ได้ ทำแล้ว ทำอีก อยู่อย่างนี้

จนวันนึงที่ผมซื้อบ้านใหม่ แล้วก็เชิญคุณพ่อคุณแม่มา อยากให้เค้าภูมิใจว่าเนี่ยเราทุ่มเททำงานหนักจนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้วนะ เราก็เลยบอกว่ามากินข้าวเช้ากันไหม เพียงแต่ว่า ณ วันนั้นสุดท้ายแล้วผมก็ไม่สามารถกินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ได้ เนื่องจากว่าผมจะต้องรีบไปถ่ายละครแต่เช้า โทรถามกองละครว่าผมสามารถกินข้าวกับที่บ้านก่อนได้หรือเปล่า เขาบอกไม่ได้เพราะว่ากันต์ให้คิวมาแล้วตั้งแต่เช้า

ซึ่งกองละครก็ไม่ผิดเพราะว่าเราให้คิวเขาไปแล้วจริง ๆ คุณพ่อคุณแม่ก็บอกว่าถ้างั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยกินข้าวกันใหม่วันหลังก็ได้ลูก

แต่ปรากฎว่าในวันรุ่งขึ้นที่ผมจะต้องออกจากบ้านเช้าตรู่ประมาณตี 5 หรือ 6 โมง พอเปิดประตูบ้านออกมาก็เจอข้าวเหนียวหมูปิ้งแขวนอยู่ที่หน้าลูกบิด ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าเป็นคนบอกป๊าม๊าเองว่าจริง ๆ อยากกินแค่ข้าวเหนียวหมูปิ้งทีนี้ก็เกิดเป็นภาพย้อนมาเลย จากที่สงสัยหมูปิ้งมาได้ไงวะ, อ๋อ แม่เอามาให้, แล้วนี่แม่ตื่นกี่โมง?

พอประมวลผลเสร็จสรรพนั่นแปลว่าคุณแม่ผมต้องออกจากบ้านแต่เช้า เช้ากว่าผมแน่ ๆ เพื่อไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง ซึ่งเป็นอาหารที่เรียบง่ายมาก คือไม่ใช่อาหารที่ต้องไปนั่งทานด้วยกัน แค่ซื้อมากินกันผมยังไม่มีปัญญาที่จะกินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่เลย เขาจะต้องไปซื้อเพื่อมาแขวนไว้ให้ที่ลูกบิดประตู แล้วก็กลับไป เพราะเขากลัวลูกจะเสียเวลาในการที่จะไปทำงาน

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

ผมก็เลยเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันไม่ตอบโจทย์แล้วหรือเปล่าวะ นี่เรากำลังทำอะไรอยู่วะ

คิดเรื่องข้าวเหนียวหมูปิ้งวน ๆ อยู่ในหัวเป็นชั่วโมง ข้าวเหนียวหมูปิ้งหรอ เฮ้ย ตังค์เราก็มีนะ แต่ทำไมแค่ข้าวเหนียวหมูปิ้งเรายังกินกับคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้วะ ก็เลยกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม คือผมรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำอยู่ไม่ตอบโจทย์ละ เพราะในวันที่ผมประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ผมรู้สึกว่าเราเก่งกว่าคนอื่น เราดีกว่าคนอื่นในวัยเท่า ๆ กัน ในรุ่นเดียวกัน เหมือนเราประสบความสำเร็จอยู่ตรงเส้นชัย

แต่ครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง ผู้คนรอบข้างผม เค้าไม่ได้มากับผมเลย ได้แต่ยืนแสดงความยินดี ปรบมือให้ยินดีด้วยนะ ในขณะที่ผมทิ้งทุกคนไว้ ไม่ได้พาใครมาด้วยเลย เราประสบความสำเร็จแค่หน้าที่การงาน แต่ชีวิตด้านอื่นเราไม่ได้สำเร็จไปด้วย มันก็เลยเกิดจุดเปลี่ยนว่าไม่เอาแล้วงานละคร”

 

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

“หลังจากตัดสินใจเลิกรับงานละคร ก็ต้องเริ่มหาอะไรทำต่อ เลยนั่งทบทวนคุยกับตัวเองประมาณสัก 2-3 เดือน จนนึกขึ้นมาได้ว่า เฮ้ยจริง ๆ แล้วเราอยากทำพิธีกร เพราะตอนเข้าวงการแรก ๆ ผมเริ่มต้นด้วยอาชีพดีเจ แต่มันนานจนเราลืมไปแล้วว่ามันเป็นอีกอาชีพที่เราชอบมาก เพราะว่ามันได้เป็นตัวของตัวเอง ดีเจแต่ละคนจะมีวิธีการพูดที่แตกต่างกัน จะมีสไตล์ที่แตกต่างกัน เราฟังแล้วเราจะรู้เลยว่าคนนี้คือใคร

เราก็เลยเจอแล้วว่าอาชีพพิธีกรมันเป็นอาชีพที่เรารักและเคยอยากจะทำนี่หว่า เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เคยคิดจะทำมันอย่างจริงจัง ก็เลยเอาเรื่องที่ว่าอยากทำพิธีกรไปปรึกษาทุกคน คุณพ่อ คุณแม่ คุณแฟน ผู้ใหญ่ เพื่อน ๆ ในวงการ และทุกคน Say No หมดเลย เหตุผลก็อย่างที่น่าจะเข้าใจกัน เพราะพอนักแสดงในประเทศไทย เมื่อขึ้นถึงระดับในการเป็นตัวเอก พระเอก นางเอกแล้ว มันคงไม่มีใครอยู่ดี ๆ จะไม่เอา และคงไม่มีใครอยู่ดี ๆ อยากจะหยุดแล้วก็ไปทำอย่างอื่น

ทางผู้ใหญ่ก็ยังบอกเลยว่าอย่าเพิ่งคิดแบบนี้ คนที่อยากมาเป็นพระเอกอย่างคุณน่ะมีอีกตั้งเท่าไหร่ เขาไม่ได้มาอยู่แบบคุณ แต่พอคุณได้อยู่จุดนี้แล้วคุณจะเดินหนีไปทำไม ถ้าคุณอยากเป็นพิธีกรทำไมคุณไม่รออีกสัก 10 ปี 15 ปี แล้วคุณค่อยทำในวันที่คุณไม่เล่นละครแล้วทำไมไม่ค่อยไปทำตอนนั้น

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

แต่ผมมีความคิดอีกแบบนึง คือถ้ารอจนถึงวันนั้นน่ะ ผมไม่ได้เลือกแล้วนะ ผมอาจจะถูกให้ทำเพราะจำเป็น หรือเพราะปัจจัยหลายอย่างบังคับให้ต้องทำมากกว่า เพราะว่าเอาง่าย ๆ ณ วันนั้นผมก็คงไม่ได้เป็นพระเอกแล้วไง ผมก็คงเป็นเพื่อนพระเอก เป็นพ่อพระเอก เป็นปู่พระเอกไปแล้ว หรือผมอาจจะถูกให้ไปทำเบื้องหลัง หรือไปทำอาชีพอื่น เพราะผมไม่สามารถทำตรงนี้ ยืนหยัดเป็นพระเอกแบบนี้ตลอดไปได้แล้วไง

แต่ถ้าผมเริ่มทำสิ่งที่ผมรู้สึกว่าผมสามารถเลือกเองตั้งแต่วันนั้นเลย มันแปลว่าถ้ามันพังก็พังเลยรู้เรื่อง อย่างน้อยฉันจะไม่โทษใคร ฉันโทษตัวเองเพราะฉันเลือกเอง แต่ถ้ามันไปได้หรือประสบความสำเร็จนั่นแปลว่า ใน Generation เดียวกัน อีก 10 ปีนับจากนี้ คนอื่นอาจจะเพิ่งเริ่มมาทำพิธีกร หรือเพิ่งเริ่มมาทำเบื้องหลัง แต่วันนั้นคือกลายเป็นว่าผมไปไกลแล้วนะ นี่คือเหตุผลที่ผมยังยืนยันที่จะเริ่มต้นใหม่ในสายงานพิธีกร”

 

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

หลังจากการตัดสินใจที่แน่วแน่ ในที่สุดผู้ชายคนนี้ก็ได้รับโอกาสบนเส้นทางใหม่ ในบทบาทพิธีกรหน้าใหม่ ซึ่งเขาได้เล่าย้อนไปถึงวันที่ชีวิตพิธีกรของ ‘กันต์ กันตถาวร’ ได้เริ่มต้นขึ้นจนถึงวันที่ได้การยอมรับและยืนอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าเป็นพิธีกรแถวหน้าอีกคนหนึ่งของประเทศไทย กับเรื่องราวการเรียนรู้ ปรับตัว ฝึกฝน ฝ่าฟัน ที่เจ้าตัวยอมรับเลยว่ามันไม่ง่าย

“ณ ช่วงเวลาผมเริ่มข้าไปทำรายการตั้งแต่แรกพิธีกรจะมีอยู่ 2 แบบ พิธีกรที่เป็นผู้นำสารจริง ๆ กับดาราที่มาเป็นพิธีกร คือดาราที่เป็นพิธีกรทุกคนจะรู้สึกแล้วว่าอ๋อ คนนี้ฉันรู้จัก แต่ฉันไม่เคยเข้าถึงสารนั้นจริง ๆ เพราะว่าฉันแค่รู้จักคุณ แล้วก็เลยฟังคุณ ซึ่งต่างจากพิธีกรอีกคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักเลย ไม่ได้มีชื่อเสียง แต่ส่งสารได้ดีเหลือเกิน ซึ่งตัวอยากเป็นพิธีกรที่คนฟังสาร ไม่ใช่แค่คนรู้จักว่าอ๋อ ไอ้นี่เป็นดาราแล้วผันมาเป็นพิธีกร  เพราะฉะนั้นผมจึงต้องพิสูจน์ตัวเองอีกหลายอย่างมาก

เพราะในตอนเริ่มต้นคือเราไม่รู้จักมันเลย รู้แค่ว่าเรามีทักษะการพูดการเป็นดีเจมาก่อน แต่เราไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วการทำพิธีกรอะไรคือความถูกต้อง อะไรคือข้อควรทำ อะไรคือข้อที่ไม่ควรทำ เราแค่รู้ว่าพิธีกรคือคนนำสาร แต่เราไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า คำว่าพิธีกรมันเท่ากับอะไร มันจึงกลายเป็นว่าเหมือนเราถูกโยนลงไปในสระว่ายน้ำแล้วก็หัดว่ายน้ำเอง ทำรายการแรกกันแบบงง ๆ

แต่พอมาศึกษาไปเรื่อย ๆ เรารู้สึกว่าเฮ้ย ถ้าเราจะต้องทำอาชีพนี้และต้องการพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นและคนรอบตัวเห็นก่อนเลยว่าเราทำแล้วมันจะต้องประสบความสำเร็จเท่านั้น เราต้องศึกษามากกว่าคนอื่น เราต้องเหนื่อยมากกว่าคนอื่นเราถึงจะได้มากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นก็เลยเริ่มศึกษาโดยวิธีโลว์เทคสุด ๆ คือให้เลขาไปนั่งดราฟต์รายการที่ผมรู้สึกว่ามันควรจะดู และพิธีกรเขานำสารได้ดี เช่น แฟนพันธุ์แท้ เช่น ทไวไลท์โชว์ เช่น เจาะใจ

คือผมนั่งดูทุก ๆ เทป นั่งดูไม่ใช่ดูแล้วเพลินนะ คือดูแล้วกดพอสแล้วก็จดเลคเชอร์ วิเคราะห์ว่าทำไมเขาถึงใช้คำนี้ กดพอสแล้วดูว่าทำไมวิธีการพูดของแต่ละคนในการนำสารเดียวกันมันถึงแตกต่างกัน คือถ้าวันนี้ผมเป็นผู้เข้าแข่งขันรายการแฟนพันธุ์แท้ หัวข้อแฟนพันธุ์แท้ ผมชนะบอกเลย คือผมรู้ไปถึงว่าพี่ตาพูดคำไหนในเทปไหน พี่กฤษณ์ทำกี่เทป หรืออะไรอย่างนี้ คือดูละเอียดแบบนั้น

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

นอกจากนี้ผมเองก็ยังได้เรียนรู้จากอาจารย์หลาย ๆ คน พี่พีเค น้าเน็ก หรืออะไรอย่างนี้นะครับ เค้าพูดมาว่า จริง ๆ แล้วพิธีกรมันเท่ากับอะไร มึงเคยถามตัวเองหรือยัง เราก็ตอบไปพิธีกรก็คือคนที่นำรายการไง เค้าบอกว่าจริง ๆ แล้วพิธีกรเท่ากับ Host ซึ่งก็คือเจ้าของบ้าน เปรียบเสมือนว่าทุกคนมาบ้านมึง ถ้าทุกคนสนุกแล้วไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ถ้าทุกคนน้ำหมดมึงต้องเติมน้ำ ถ้าเขาอิ่มน้ำแล้วไม่ต้องเสือกเอาน้ำไปให้เขา

ถามสิว่าห้องน้ำอยู่ตรงนี้จะเข้ามั้ย พูดง่าย ๆ พิธีกรคือการเป็นเจ้าบ้านที่ดีนั่นเอง เพราะฉะนั้นคุณจะต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับบ้านของคุณแล้วทำยังไงก็ได้ให้คนมาบ้านของคุณสนุกที่สุด และออกจากบ้านคุณไปโดยอยากกลับมาบ้านคุณอีก พอผมได้ข้อนี้มาผมเลยรู้สึกว่า อ๋อ…เราเข้าใจทันทีว่าการเป็นพิธีกรคืออะไร

หลังจากนั้นมาจากการศึกษา ฝึกฝน และประสบการณ์ ผมก็เลยเริ่มเข้าใจมันกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ ว่าจริง ๆ สคริปต์มันไม่ได้มีให้เราอ่าน สคริปต์มันมีไว้ให้เราเข้าใจ แล้วพอเราเข้าใจแบบนี้แล้วแปลว่าเราจะต้องทำตัวให้เป็นตัวเองให้มากที่สุด การเป็นธรรมชาติที่สุดก็คือต้องเป็นตัวเองไง เพราะฉะนั้นถ้าอ่านสคริปต์ สคริปต์มันมาจากคนเขียนสคริปต์ หรือครีเอทีฟ ซึ่งใครก็ทำได้ไม่ต้องเป็นเราก็ได้

ผมจึงเป็นคนที่แทบจะไม่จำสคริปต์เลย แต่ผมต้องรู้ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวผม ผมจะต้องรู้ทั้งหมดเพื่อผมจะได้เป็นเจ้าบ้านที่ดีให้กับทุก ๆ คนได้ และเกิดความเป็นตัวเองขึ้นมา เพราะการเป็นพิธีกรมันต่างจากนักแสดงตรงที่ว่า  การเป็นนักแสดงมันคือการเป็นคนอื่นให้คนเชื่อมากที่สุดว่าเราเป็นคนคนนั้น แต่การเป็นพิธีกรมันคือการเป็นตัวเองให้คนเชื่อมากที่สุดว่าเราเป็นคนแบบนั้นจริง ๆ มันจึงเป็น 2 เส้นขนานที่มันแทบจะแตกต่างกันคนละขั้วเลย

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

ส่วนเรื่องของความสำเร็จที่มันเกิดขึ้น ผมว่ามันเกิดจากการทำงานหนัก ศึกษาเข้าใจทุกกระบวนการ ตั้งแต่ผมและทีมงานทุก ๆ คน ผมดันโชคดีที่ได้ทีมงานที่เก่ง และพร้อมจะสอนผมได้ทุกคน พี่ตากล้องยังต้องสละเวลามาสอนผมเลย เช่นสมมติ 5 4 3 2 1 กล้องเครนกำลังลงมา ผมก็พูดเลย สวัสดีครับขอต้อนรับเข้าสู่รายการ… ยังพูดไม่ทันจบตากล้องสั่งคัทกลางอากาศ ผมก็แบบ โห การคัทกลางอากาศสำหรับการเป็นนักแสดงนี่มันใจแป้วมากเลยนะ กูทำอะไรผิดวะ ผมโดนคัทกลางอากาศในเทปแรกอยู่เกือบ 20 รอบ ณ วันนั้นคือพูดแล้วผมยังขนลุก  ยังจำภาพได้อยู่เลย ตอนนั้นคิดกับตัวเองว่า เฮ้ย  ตอนกูเป็นนักแสดงยังไม่เคยเจอแบบนี้เลย อะไรวะ 

แต่คือผมแค่รู้สึกว่าต้องรู้ บอกดิ ผมไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่บอกให้ผมรู้ผมก็จะโง่อยู่วันยันค่ำ ตอนนั้นก็ถามเลย “คัทผมทำไมครับ?” โปรดิวเซอร์ และ ทีมงาน แล้วก็เจ้าของรายการนั้นที่ผมทำ เค้าน่ารักมาก เค้าบอกว่ารู้ไหมว่าทำไมต้องคัท เอาอย่างนี้ เบรกกองเลย เบรกกองมานั่งคุยกัน กันต์รู้ไหมที่ถ่ายวันนี้กล้องกี่ตัว

ปกติที่ผมเคยเจอก็จะอยู่ที่ประมาณ 3 – 4 กล้อง แต่งานนี้ 16 กล้อง 16 เรคคอร์ด เหมือนเด็กอนุบาลต่อยกับเด็กมัธยม คิดในใจแย่แล้ว เหมือนเจอของยากทำไงดีวะเนี่ย  16 กล้อง 16 เรคคอร์ด แปลว่า 1 วิ มีภาพทั้งหมด 16 ภาพที่คนตัดต่อจะได้เลือกใช้ ภาพที่ถูกเลือกออกอากาศคือภาพที่ดีที่สุด ที่เล่าเรื่องมากที่สุด ที่สารมันครบที่สุด เพราะฉะนั้นเวลาที่คุณเห็นกล้องเนี่ย 5 4 3 2 แล้วบอกให้คุณรอคิว มันไม่ใช่เรื่องแค่ว่าหล่อไม่หล่อ มันเป็นเรื่องของว่าภาพมันยังไม่ถึง เห็นไหมว่ากล้องมันยังหยุด มันยังไม่ลงมา คุณพูดก่อนแปลว่าเสียงคุณมาแล้วตั้งแต่คนดูยังไม่เห็นหน้าคุณเลย แล้วคนดูจะดูทำไม ถ้างั้นฟังวิทยุสิ

จบประโยคนี้ โอ้โห ผมเก็ทเลยนะ จากความเข้าใจนี้มันทำให้ผมเข้าใจมวลรวมของรายการมากขึ้น ทำไมถึงต้องพูดแบบนี้ ทำไมถึงจะต้องไปทางนี้ ทำไมผมต้องรู้ไลน์กล้องทั้งหมด คือกลายเป็นว่าผมรู้ตั้งแต่การทำพิธีกร ยันโปรดักชันทั้งหมดว่าเราจะช่วยกันแก้ปัญหาได้ยังไง ผมก็เลยรู้สึกว่ารางวัลความสำเร็จที่ได้รับมาสำหรับผมมันก็มันต้องยกเครดิตให้กับทีมงานทุก ๆ คน มันไม่ใช่แค่พิธีกรที่เป็นผู้นำสารอย่างเดียว ถ้าสารมันไม่สละสลวยหรือสารมันไม่น่ามอง ไม่น่าฟังก็ไม่มีใครฟังอยู่ดี”

 

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

นอกจากความมุ่งมั่นตั้งใจ การฝึกฝน ความเพียรพยายาม รวมถึงทีมงานที่ดี ที่มีส่วนผลักดันให้เขาประสบความสำเร็จบนเส้นทางพิธีกร เขายังเล่าให้เราฟังว่า อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือสถาบันครอบครัว ที่คอยเลี้ยงดู หล่อหลอมจนเป็น ‘กันต์ กันตถาวร’ ในวันนี้

“ผมรู้สึกว่าการที่ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ มีอย่างทุกวันนี้ได้ ครอบครัวคือแรงผลักดันที่ดีที่สุด  ผมโชคดีที่เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น สนิทสนมกัน มีกันอยู่ 4 คน คุณพ่อ คุณแม่ ผม น้องสาว ผมเป็นเด็กเกเร ส่วนน้องเป็นเด็กเรียน คอนทราสต์กันมาก ๆ ต้องขอบคุณเลยที่พ่อแม่เลี้ยงผมมาได้ดี ไม่หลงทางเละเทะไปเสียก่อน กับวิธีอบรมสั่งสอนในเรื่องของความคิด ในเรื่องของว่าคุณต้องทำอะไร หรือไม่ควรทำอะไรก่อน

โอเค เค้าห้ามเรื่อง Process ระหว่างทางไม่ได้อยู่แล้วล่ะ แต่เขาวางปลายทางให้ว่า คุณจะทำอะไรก็แล้วแต่เรื่องของคุณนะ แต่คุณต้องรับผิดชอบตัวเองและสังคมให้ได้ เหมือนถนน 8 เลน ผมยังอุตส่าห์แหกคอกไปเกเร ต่อยตี หลุดไปอยู่ข้างทางอะไรแบบนี้ เค้าก็จะคอยตบ ๆ เข้ามาให้อยู่ใน 8 เลนนี้ แต่คุณจะวิ่งเลนไหนคือเรื่องของคุณ เขาไม่เคยบังคับอะไรเลย  แต่จะเป็นการคอยประคับประคองแล้วปล่อยให้เราเลือกเลย ชีวิตคุณ คุณเลือกเอง จนเราสามารถคิดเองได้ เลือกเส้นทางเองได้ว่าอะไรมันดีต่อเรา และคนที่รักเรา

นอกจากนี้สิ่งที่เราเห็นมาโดยตลอด คือการทำงานหนักของคุณพ่อ คุณพ่อเป็นคนที่ทำงานหนัก เป็นต้นแบบในชีวิตที่ดี เป็นต้นแบบในการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเห็นก็คือวันนึงเราอยากจะเป็นแบบพ่อของตัวเอง วันนึงเราอยากเป็นแบบนี้ เลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงดูครอบครัวได้

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

แล้วเราก็เรียนรู้จากการทำงานของป๊าว่า ป๊าเป็นคนจริงจังมาก จริงจังมากของป๊าหมายถึงว่าเค้าไม่ต้องการได้สตางค์เยอะที่สุดนะ โอเคใครก็อยากได้เงินอันนี้ต้องยอมรับ แต่ว่าเขาไม่ต้องการโฟกัสกับเงินที่เยอะที่สุดเพื่อที่จะไม่มีเวลาพาลูกพาเมียไปเที่ยวเลย เรารู้สึกว่าจริง ๆ แล้วมันก็ยิ่งตอกย้ำกับสิ่งที่เราคิดว่าการประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต น่าจะดีกว่าการสำเร็จในหน้าที่การงานเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ที่ผมได้มาจากครอบครัวก็จะเป็นความจริงจังกับเรื่องงาน และการตรงต่อเวลา ผมถูกปลูกฝังเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก เอาเป็นว่าช่วงวัยเด็กผมไม่เคยเป็นสายสักวัน ซึ่งการไปสายตอนนั้นถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่ผมซึ่งเป็นเด็กเกเรนี่กลับไม่เคยสายสักวันเลย โรงเรียนเข้า 8 โมง 7 โมงคือถึงแล้วนะ ไม่รู้มาทำไมเหมือนกัน

เคยถามป๊าทำไมต้องมาเช้าขนาดนี้ ขอนอนต่อสักครึ่งชั่วโมงได้มั้ย ป๊าตอบว่าไม่ได้ อย่าให้ใครรอเรา เวลาทุกคนมีค่า เพราะฉะนั้นคุณต้องทำตัวให้เคารพสิทธิผู้อื่นเสมอ รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองเสมอ นึกถึงตอนทำงานกลุ่มแล้วฉันพร้อม แต่อีกคนหนึ่งไม่พร้อมอะไรเลย รู้สึกยังไง รู้สึกแย่ใช่ไหม ดังนั้นเราอย่าเป็นคนนั้น

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

อีกเรื่องคือผมจะถูกป๊าปลูกฝังมาแบบนี้ว่า ณ การทำงานร่วมกัน หรือการอยู่ในหมู่มากของคนที่ทำงานร่วมกัน เราจะต้องเป็นคนที่ฟังมากที่สุด ไม่ใช่คนที่พูดมากที่สุด นี่ถือเป็นคำสอนแรก ๆ ของการเป็นพิธีกรเลยนะ ทั้งที่ป๊าผมไม่รู้หรอกว่าโตขึ้นผมจะเป็นอะไร หรือจะมาทำอาชีพพิธีกร พอมาคุยกับพี่ตา ปัญญา นิรันดร์กุลอีกเช่นกัน

พี่ตาบอกว่าพิธีกรที่ดีไม่ใช่คนพูดเก่ง ถ้าเป็นคนที่พูดเก่งเขาไปเป็นผู้ประกาศข่าว พิธีกรที่ดีคือคนที่ฟังเก่ง มันจึงตอบโจทย์กับสิ่งที่ผมต้องการ คือเวลาที่ผมทำงานประสาทสัมผัสผมจะเร็วมาก เพราะในการดำเนินรายการ พิธีกรอย่างผมต้องคอยฟัง ต้องรับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นรอบตัวผมบ้างเพื่อที่จะสามารถคุมมวลรวมทั้งหมดของรายการให้ได้

ดังนั้นสำหรับผมต้องยอมรับว่า คำว่าครอบครัว มันช่วยหล่อหลอมมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม มันจะมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของเราเสมอ แม้ว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่งเราอาจจะยังมองไม่เห็นแต่มันส่งผลต่ออนาคตเสมอ อย่างเช่นตอนนี้นึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ผมได้จากครอบครัวจะรู้เลยว่า อ๋อ เราเป็นแบบนี้เพราะอย่างนี้ว่ะ สิ่งที่ป๊าเคยบอกเอาไว้สุดท้ายก็ถูกนำมาใช้ในชีวิตจริง”

 

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

จากความผูกพันที่มี และการปลูกฝังดี ๆ จากครอบครัว ซึ่งหล่อหลอมให้เขาก้าวมาสู่จุดที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ ‘กันต์ กันตถาวร’ กำลังเริ่มบทบาทใหม่อีกครั้ง กับบทบาทหัวหน้าครอบครัว และนี่คือมุมมองของชายผู้ที่ให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัวเหนือสิ่งอื่นใด โดยเขาได้เปิดเผยให้เราฟังถึงแผนต่อไปในการสร้างครอบครัวของตัวเองเพื่อเติมเต็มความสำเร็จให้ครบทุกด้านของชีวิต

“ขอเล่าเรื่องชีวิตครอบครัวเพิ่มเติมอีกนิดนึง เพราะผมมองว่านี่คือชีวิตอีกด้านที่จะสามารถเติมเต็มความสำเร็จให้สมบูรณ์แบบ อย่างที่ผมเคยบอกไปว่า ผมไม่ได้ต้องการประสบความสำเร็จแค่ในด้านการงานเพียงอย่างเดียว ตอนนี้ก็ตามที่อัพเดทไปตอนแรก ผมแต่งงานมีภรรยาไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยกำลังมองเรื่องการมีลูก

จากที่ก่อนหน้านี้รู้สึกไม่อยากมีลูกเพราะกลัวดูแลเค้าได้ไม่ดีท่ามกลางสิ่งแวดล้อมสภาพสังคมที่โหดกว่าสมัยผมเด็ก ๆ มาก เมื่อก่อนจะเกเร จะทำอะไรไม่ดีสักทีต้องโคตรพยายาม แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันไวกว่านั้นมาก แค่คิดก็แทบจะมาถึงที่แล้ว ผมเองกว่าจะเป็นผู้เป็นคนได้แบบทุกวันนี้ก็ผ่านจุดเปลี่ยนมาแล้วหลายอย่าง ซึ่งมันทำให้เรากลัว

แต่พอได้คุยกับภรรยา  คุณพลอยเขาอยากมีลูกมาเติมเต็มชีวิตคู่ แล้วเขาก็บอกว่า ป๊าม๊ายังเลี้ยงผมที่เกเรมาได้เลย เธอก็ต้องทำได้สิ สรุปก็เลยตั้งใจจะมีลูกกันตั้งแต่ตอนนั้น  ซึ่งนอกจากเตรียมตัวผลิตทายาท ผมก็ได้เตรียมตัวสำหรับครอบครัวใหญ่เผื่อไว้ด้วยเหมือนกัน ก่อนอื่นต้องเล่าว่าผมเป็นคนปกติชนมาก คือถ้าไม่ได้มาทำงานผมก็ขาสั้นรองเท้าแตะหนีบ เสื้อยืด ใช้ชีวิตให้ง่ายที่สุด

แต่ในเรื่องอื่น ๆ อย่างเช่นที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัจจัยที่ผมมองว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของการเริ่มต้นสร้างครอบครัว ในเรื่องนี้ถ้าเราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้ เราจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตเราและคนที่อยู่รอบตัวเราเสมอ ซึ่งผมก็จะพยายามเลือกที่อยู่อาศัยที่มั่นใจว่าฟังก์ชันการใช้งานมันได้  ดีไซน์มันใช่ ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนเป็นที่อยู่แบบไหนก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดผมก็จะมองจากพื้นฐานนี้ก่อน โดยพยายามเลือกให้มันตอบโจทย์กับชีวิตเรา เรารวมไปถึงไลฟ์สไตล์การกินการใช้ชีวิตการเป็นอยู่  สมมติผมชอบกินอาหารชอบไลฟ์สไตล์แถวเอกมัย ทองหล่อ  ผมคงไม่ไปซื้อบ้านแถวบางซื่อแน่ ๆ

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

อีกเรื่องที่ผมให้ความสำคัญสำหรับแผนรองรับการขยายครอบครัว คือเรื่องของพื้นที่ อย่างที่บอกว่าส่วนตัวผมให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัวมาก เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แค่ Single family ก็คือไม่ใช่แค่ผม ภรรยา คุณลูก น้องหมา 5 ตัว แต่มันคือ Intergeneration Family คือการอยู่ร่วมกันของคนหลาย Gen หลายช่วงอายุ เพราะคำว่าครอบครัวสำหรับผมมันยังมี ป๊าม๊าผม น้องสาวผม คุณแม่ของภรรยา รวมถึงเพื่อนฝูงที่สนิทกันอีกนะ

ผมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกหล่อหลอมขึ้นมาเป็น Circle Life  ของเรา มันจะถูกแบ่งไปเป็นทีละ Circle ให้มันกว้างออกไป จากครอบครัว สู่ครอบครัวใหญ่ เพื่อนพี่น้องหรืออะไรอย่างนี้อะครับ การกลับมาเจอกันแต่ละครั้งเราควรจะมีความสะดวกสบายให้กับเค้าด้วย อย่างบ้านที่ผมทำจริง ๆ แล้วผมก็มีห้องไว้ให้คุณพ่อคุณแม่นะ ต่อให้เขาแทบจะไม่มาก็มีไว้ก่อน เอาไว้ชั้นล่างเพราะอะไรเพราะต่อไปเขาแก่กว่านี้ เขามาอยู่ด้วยกันกับเราคงไม่เดินขึ้นชั้น 3 แบบผมแน่นอน หรือไม่ผมก็คงจะต้องทำลิฟต์ให้กับเค้าแน่ ๆ ซึ่งนี่มันคือการเตรียมตัว วางแผนมองเผื่อไปถึงทุกคนทุกช่วงอายุในครอบครัว

 

LOCATION: MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC

อย่างสำหรับลูก โอเคตอนนี้เค้ายังไม่มาอยู่กับเรา ยังอยู่ในขั้นตอนการผลิต แต่ผมก็เตรียมพื้นที่เอาไว้ ซึ่งตอนนี้บ้านผมจะเว้นพื้นที่ไว้ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย เหลือไว้หนึ่งโซนกว้าง ๆ คือถ้าผมจะทำอะไรผมสามารถทำมันได้เลย อาจเป็นพื้นที่สำหรับกั้นโซนไว้กินอะไรกับเพื่อน ๆ เวลาเพื่อนมาบ้าน และที่แน่นอนคือจะต้องเตรียมไว้เป็นพื้นที่สำหรับเบบี๋ เพราะตรงจุดที่เหลือไว้มันเป็นพื้นที่กลางบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เราจะเห็นลูกเราได้ตลอด

นอกนั้นที่เตรียมไว้ก็เป็นเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก แล้วก็พวกระบบความปลอดภัยประตูสแกนลายนิ้วมือ กล้องวงจรปิด อะไรแบบนี้ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีมันไปไกลจนเราเพิ่งรู้ว่าเออมันมีแบบนี้ด้วยแฮะ ซึ่งอะไรเหล่านี้มันก็ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นเช่นกัน

ส่วนใครที่ต้องการไลฟ์สไตล์เมืองแบบชีวิตติดรถไฟฟ้า จริง ๆ แล้วปัจจุบันก็มีคอนโดกลางเมืองที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการตรงนี้ พร้อมกับการให้ความสำคัญเรื่องพื้นที่ชีวิตสำหรับคนทุกช่วงอายุ ได้ทั้งความสะดวกสบายด้านการเดินทาง แต่ยังคงไว้ซึ่งอารมณ์ของการอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตา ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีความพร้อมในการสร้างทางเลือกให้ตัวเองมากน้อยแค่ไหน

แต่ยังไงผมก็เชื่อว่าไม่ใช่เฉพาะแค่ตัวผมเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะใครก็ตาม ยังไงก็อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและครอบครัวอยู่แล้ว และถ้าคุณอยู่ในจุดที่มีทางเลือก ผมว่านี่ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ”

และนี่คือคำตอบของ ‘กันต์ กันตถาวร’ ที่สามารถคลายทุกข้อสงสัยที่มีต่อการข้ามสายอาชีพของเขา และไม่เพียงเท่านั้น ทุกเรื่องราวจากการพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ น่าจะช่วยตอกย้ำความสำคัญของสถาบันครอบครัว รวมถึงมุมมองที่มีต่อความสำเร็จของหลายคนที่อาจจะเปลี่ยนไป และหันมาให้ความสำคัญกับความสำเร็จในทุกมิติของชีวิต ทั้งด้านหน้าที่การงาน และครอบครัวมากขึ้น ซึ่งใครที่กำลังมองหาสิ่งเติมเต็มความสำเร็จให้กับชีวิตอีกด้านที่นอกเหนือจากการงาน คงไม่มีอะไรดีไปกว่าที่อยู่อาศัยที่ออกแบบพื้นที่ชีวิตเพื่อตอบสนอง Intergeneration Living  ที่พร้อมให้ทุกคนในครอบครัวได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ต้องบอกว่านี่ถือเป็นคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury โครงการแรก ๆ ที่ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยในรูปแบบ Intergeneration Living  ด้วยจุดเริ่มต้นผลสำรวจที่พบว่ายังมีคนไทยจำนวนมากต้องการอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ ในขณะที่ทุกคนยังคงต้องการพื้นที่ส่วนตัว จึงเป็นที่มาของการออกแบบที่รองรับวิถีการอยู่อาศัยแบบ ‘INTERGENERATION’ ที่ให้ความสำคัญในสร้างพื้นที่การอยู่ร่วมกันของคนทุกวัย ภายใต้แนวคิดที่ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นคือการแลกเปลี่ยน และการใช้เวลาอยู่ด้วยกันภายในครอบครัว จนเกิดเป็นโครงการ MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC คอนโดมิเนียมที่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้ชีวิต ในแบบ Intergeneration อย่างแท้จริง

กับจุดเด่นแรกต้องยกให้กับพื้นที่สำคัญที่สุด พื้นที่ที่ทุกคนในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันมากที่สุด นั่นก็คือพื้นที่อยู่อาศัยที่สร้างสรรค์ขึ้นมาภายใต้คอนเซ็ปต์ “DESIGNED FOR THE FINEST INTERGENERATION LIVING คอนโดที่ออกแบบเพื่อทุกเจเนอเรชั่น” มีพื้นที่กว้างขวาง จัดแบ่งเป็นสัดส่วน เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชันที่ตอบสนองการใช้ชีวิตในทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็น

 

  • LIVING ROOM:  ห้องนั่งเล่น และห้องทานอาหาร ที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่นำทุกคนมารวมกันโดยมีพื้นที่กว้างขวางสำหรับทุกคนในครอบครัวจะใช้เวลาอยู่ร่วมกัน

 

  • NOOK MULTI-PURPOSE SPACE: พื้นที่อเนกประสงค์ นี้สามารถกลายเป็นสถานที่โปรดของทุกคน ว่าเป็นจะเป็นมุมอ่านหนังสือการศึกษาสำหรับเด็ก ๆ มุมสำหรับอ่านหนังสือ ทานน้ำชาของคุณแม่ หรือเป็นมุมจัดสวนสำหรับคุณปู่

 

  • A SPACIOUS MASTER BEDROOM: ออกแบบมาให้มีสภาพแวดล้อมที่กว้างขวาง และมีพื้นที่เพียงพอสำหรับทุกคน

นอกจากนี้ยังใส่ใจในทุกรายละเอียด เริ่มตั้งแต่ประตูทางเข้า รวมถึงบานประตูต่าง ๆ ภายในห้อง ที่ออกแบบความกว้างให้เพียงพอสำหรับวีลแชร์, รางประตูบานเลื่อน รางผ้าม่าน ถูกย้ายขึ้นด้านบนฝ้าเพดาน เพื่อลดการเก็บฝุ่น และลดความเสี่ยงจากการสะดุด

อีกทั้งยังใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยติดตั้งระบบ ERV (ENERGY RECOVERY VENTILATION) ที่สามารถตรวจวัดอากาศภายในห้อง โดยตรวจวัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ และนำออกซิเจนเข้ามาในห้องอย่างอัตโนมัติเพื่อให้มีอากาศบริสุทธิ์ให้กับทุกคนในครอบครัว

พร้อมเพิ่มความปลอดภัยด้วยระบบ AI ที่ทุกคนในครอบครัวจะได้รับการบริการ การช่วยเหลือต่าง ๆ จากหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ ทำให้พื้นที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ห้องนอน ห้องพัก แต่ให้ความรู้สึกเหมือนกับบ้านที่ทุกคนในครอบครัวสามารถใช้ชีวิตได้อย่างดีที่สุด มีความสุขที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็ตาม

ทางด้านของทำเล ต้องยกให้เป็นอีกจุดเด่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะโครงการ MULBERRY GROVE Sukhumvit นั้นมีพิกัดที่เรียกได้ว่าเป็นทำเลทอง ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ใจกลางย่านธุรกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯ และเป็นศูนย์กลางของการดำเนินชีวิต และวัฒนธรรม ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีเอกมัย เพียง 250 เมตร โดยละแวกใกล้เคียงยังมีย่านธุรกิจ ศูนย์การค้าแหล่งความบันเทิง สถานศึกษา โรงพยาบาลชั้นนำ และระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบาย สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคนในครอบครัว

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะโครงการ MULBERRY GROVE Sukhumvit นั้นยังมาพร้อมจุดเด่นทางด้านบริการ และ Facilities อีกมากมาย ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้ชีวิตของคนทุกเจเนอเรชั่นอย่างแท้จริง  เริ่มจาก

 

  • INTERGENERATION WELL-BEING:  เสริมสร้างสุขภาวะที่ดีของคนทุกเจเนอเรชั่น ด้วย CAREGIVER ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่คอยให้คำปรึกษา และความช่วยเหลือตลอด 24 ชม., สระว่ายน้ำมากถึง 4 สระ ที่ถูกออกแบบตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงวัย ทั้ง INFINITY SKY POOL, HYDROTHERAPY POOL, THERMAL POOL และ CHILDREN’S POOL, SKY-HIGH GYM STUDIO ตอบโจทย์คนรักสุขภาพด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกายที่ครบครันจากแบรนด์ที่ดีที่สุด, PRIVATE SPA ห้องสปาส่วนตัวพร้อมอุปกรณ์ครบครัน, PRIVATE SKY-HIGH ONSEN ออนเซนส่วนตัว ที่สามารถจองล่วงหน้าเพื่อใช้บริการกับคนในครอบครัว, BALLET SUITE, PATIO GYM, YOGA SUITE ที่สามารถนำครูมาสอนได้ถึงที่โครงการฯ เป็นต้น

 

  • INTERGENERATION KNOWLEDGE:  พื้นที่แห่งการเรียนรู้สุดหลากหลายได้ที่โครงการฯ ด้วย PRIVATE STUDY STUDIO พื้นที่ส่วนตัวสำหรับทำงาน ทำการบ้าน หรือเรียนพิเศษ ที่สามารถจองเพื่อใช้งานส่วนตัวได้, THE MULBERRY’S LIBRARY ห้องสมุดที่จะรวบรวมหนังสือประเภทต่าง ๆ ไว้, CHILDREN’S ROOM ที่ถูกออกแบบเพื่อให้สภาพแวดล้อมช่วยส่งเสริมพัฒนาการให้เด็กทุกคนค้นพบความสามารถ และพัฒนาทักษะทางสังคมของพวกเขา

 

  • INTERGENERATION SOCIAL LIFESTYLE SUITE:  พื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ สานความสุข ทั้ง GRAND PRIVATE LIVING & DINING ROOM ห้องกิจกรรมต่าง ๆ สำหรับครอบครัว ภายในมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน, RESIDENCE LOUNGE เลานจ์สุดหรู พื้นที่สำหรับการพักผ่อน เพลิดเพลินกับทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยาและบางกระเจ้า พร้อมบริการ Afternoon Tea ฟรีทุกวัน, PRIVATE STYLE ATELIER ห้องแต่งตัว แต่งหน้า ทำผม และทำเล็บสำหรับคุณผู้หญิง ที่สามารถเรียกช่างมาเสริมความงามแบบส่วนตัวได้ ซึ่งโซนดังกล่าวสามารถจองการใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่นได้อย่างสะดวกสบาย

 

  • INTERGENERATION NATURE:  สร้างที่อยู่อาศัยให้อยู่คู่ธรรมชาติ กับ 3 สวนยั่งยืนบนพื้นดินโครงการ GOURMET COURTYARD สวนปลูกพืชผักสวนครัวที่ลูกบ้านสามารถมาร่วมกันปลูกผักไว้รับประทานเองได้ ซึ่งทางโครงการมีเจ้าหน้าที่ดูแลสวนผักเพื่อนำมาบริการให้สำหรับลูกบ้าน, ENGLISH COURTYARD สวนหน้าบ้านที่ออกแบบเป็นสวนในสไตล์อังกฤษ ที่สามารถให้ผู้อยู่อาศัยมาปิคนิคกันได้, INTERGENERATION COURTYARD พื้นที่สำหรับทุกเจเนอเรชั่นมาใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่จิบน้ำชาสำหรับคุณแม่ สนามเด็กเล่น บ้านต้นไม้ และพื้นที่ออกกำลังกายของผู้สูงอายุ

 

  • INTERGENERATION MULBERRY SERVICE:  ยกระดับคุณภาพชีวิต กับการบริการครบครัน ทั้ง WELLNESS MANAGER เจ้าหน้าที่ดูแลและให้คำปรึกษาด้านการออกกำลังกาย และดูแลสุขภาพ, COMPLIMENTARY AFTERNOON TEA มีบริการน้ำชา และอาหารว่างให้แก่ลูกบ้านฟรี, CONCIERGE SERVICE เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก และให้ความช่วยเหลือไลฟ์สไตล์ด้านต่าง ๆ, MULBERRY ACTIVITIES กิจกรรม หรือเวิร์คชอปต่าง ๆ ที่ทางโครงการจัดเตรียมไว้ให้สำหรับผู้อยู่อาศัยได้ร่วมสานความสุขในครอบครัวตลอดทั้งปี 

 

  • 30 – YEAR WARRANTY:  อุ่นใจด้วยการรับประกัน 30 ปี  ครอบคลุมองค์ประกอบหลัก 4 อย่าง ได้แก่ โครงสร้าง, หลังคา, ประตู และหน้าต่าง, ระบบสุขาภิบาล และระบบไฟฟ้า

 

  • AUTONOMOUS GARAGE:  พื้นที่จอดรถกว่า 100% พร้อมที่จอดระบบอัตโนมัติ ช่วยยกระดับประสบการณ์การจอดรถแบบใหม่ ที่ง่าย และสะดวกที่สุด พร้อมความปลอดภัยสำหรับทุกคนในครอบครัว

 

สำหรับใครที่กำลังมองหาพื้นที่ชีวิตที่จะมาเติมเต็มความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว MULBERRY GROVE Sukhumvit by MQDC คืออีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรพลาด แล้วคุณจะรู้ว่าความสำเร็จที่ครบทุกมิติชีวิตทั้งเรื่องการงาน รวมถึงครอบครัวนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว และพร้อมให้คุณสัมผัสได้จริง

สนใจดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่
https://www.mulberrygrove.com/projects/sukhumvit หรือโทร 1265

 

PHOTOGRAPHER: Krittapas Suttikittibut

NTman
WRITER: NTman
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line