Style

ตำนานกว่า 100 ปี ต้นตำรับพื้น Air และโลโก้ 3 ขีดตัวจริง ก่อนจะถูกขโมยไป “หมีฟินแลนด์ Karhu”

By: Thada August 18, 2017

หากพูดถึงแบรนด์ที่ชื่อ Karhu อาจจะไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อนี้มากนัก แต่ทางฝั่งยุโรปแบรนด์นี้ถือว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่แพ้แบรนด์ใด ๆ ในโลก เนื่องจากพวกเขาเริ่มต้นกิจการตัดเย็บรองเท้าผ้าใบมากว่า 100 ปี แถมที่สำคัญพวกเขายังเป็นต้นตำรับสัญลักษณ์ 3 ขีด กับนวัตกรรมพื้น Air เจ้าแรกอีกด้วย

ดังนั้นวันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN จึงขอนำประวัติของแบรนด์ Karhu โดยคร่าว ๆ มาฝากกัน

1910

ก่อนอื่นเลยแบรนด์ Karhu ก่อตั้งเมื่อปี 1916 โดยใช้ชื่อเดิมว่า Ab Sportatiklar Oy และสร้างกิจการรองเท้าเล็ก ๆ อยู่กลางเมือง Helsinki ประเทศ Finland ซึ่งพวกเขาจะขายอุปกรณ์เกี่ยวกับการเล่นสกีโดยเฉพาะ

และในปีถัดมาพวกเขาถึงจะเริ่มผลิตรองเท้าวิ่งออกมาจำหน่าย โดยมอบให้นักวิ่งท้องถิ่นอย่าง Hannes Kolehmainen ใส่วิ่งในการแข่งขันมาราธอนที่ประเทศสหรัฐอเมริกัน จึงเป็นจุดต้นทำให้มีการพูดถึงรองเท้าจากประเทศ Finland

1920

แต่แล้วหลังจาก 4 ปีให้หลังจากการก่อตั้ง พวกเขาได้ทำการเปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น Karhu ซึ่งมาจากคำว่า “หมีแห่งฟินแลนด์” นอกจากนี้พวกเขายังได้เป็นสปอนเซอร์หลักให้กับทัพนักวิ่ง Finland ซึ่งขุนพล The Flying Fin ก็สามารถคว้าเหรียญทองได้ 9 เหรียญจาก 8 ปี ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก  ทำให้คนเริ่มพูดถึงเจ้ารองเท้ายี่ห้อนี้กันอย่างแพร่หลาย

1930

แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในประเทศจะตกต่ำฝืดเคืองแค่ไหน แต่ธุรกิจของ Karhu ก็ยังเจริญก้าวหน้าในหมู่นักวิ่ง เพราะพวกเขาได้ขยายการผลิต และจ้างคนเพิ่มขึ้น เพื่อที่ผลิตรองเท้าให้ได้ตามความต้องการที่มากขึ้น

1940

แต่แล้วธุรกิจก็มาถึงคราวสะดุด เพราะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาล Finland สั่งให้บริษัทหันมาผลิตเครื่องแบบ และอุปกรณ์ทหารเพื่อส่งให้กองทัพ แทนที่จะผลิตอุปกรณ์กีฬาเหมือนเช่นเคย ธุรกิจจึงชะลอตัวไปสักพักใหญ่ ๆ กว่าจะกลับมาฟื้นตัว

1950

หลังจากสงครามผ่านพ้นไป และมหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนกลับมาอีกครั้งในปี 1952 ซึ่งจัดขึ้นในเมือง Helsinki ประเทศ Finland นักกีฬาจากประเทศเจ้าภาพสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่ง นักกรีฑาทั้งหลายต่างกวาดเหรียญรางวัลเป็นว่าเล่นด้วยการสวมใส่รองเท้าจาก Karhu

ซึ่งในขณะนั้นเองพวกเขายังใช้สัญลักษณ์สามแทบ เป็นสัญลักษณ์ประจำแบรนด์ ก่อนที่ในเวลาต่อมาโลโก้นี้จะถูกขอซื้อโดยตระกูล dassler ผู้เป็นเจ้าของ adidas

1960

หลังจากขายสัญลักษณ์สามขีดไปให้กับ adidas  พวกเขาจึงต้องพยายามดีไซน์โลโก้แบบใหม่เพื่อมาแทนที่ จนกระทั่งได้เป็นโลโก้รูปตัว M ซึ่งย่อมาจากคำว่า “Mestari” ที่แปลว่าแชมป์เปี้ยน

1970

ในช่วงยุค 70s พวกเขาเริ่มมีการออกแบบรองเท้าให้มีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น จนสามารถคิดค้นนวัตกรรม ชุดพื้นกลางรองเท้าแบบ air cushion ซึ่งจะรองรับแรงกระแทกของ ขา และเข่า และได้จดสิทธิบัตรให้กับรุ่น “Karhu Champion” เป็นรองเท้ารุ่นแรกที่มีนวัตกรรมนี้เกิดขึ้น

1980

แต่แล้วความน่าเจ็บใจก็เกิดขึ้นตรงนี้ เมื่อพวกเขาสามารถคิดค้นนวัตกรรมชุดพื้น air ออกมาได้ ตัวแทนจากบริษัท Karhu ได้ถูกเชิญให้ไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยผู้เชิญคือ Blue Ribbon Sport หรือที่เรารู้จักกันในนาม Nike เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดต่าง ๆ

แต่ในเวลาต่ออีกมาไม่นานหลังจากทีมวิจัยของ Karhu เดินทางกลับ Finland ทาง Nike ก็ได้เปิดตัวนวัตกรรม air ซึ่งพวกเขาบอกว่าได้ไอเดียนี้มาจาก NASA

จากเหตุการณ์ดังกล่าว Karhu ก็ไม่ได้สนใจอะไร โดยพวกเขาหันมาเริ่มผลิตรองเท้ากีฬาไลน์อื่น ๆ แทนอย่างเช่น บาสเก็ตบอล จนเกิดเป็นรองเท้ารุ่น Harlem Air

1990

Kahru ยังคงพยายามจะผลิตนวัตกรรมออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน อาทิ Ortix และ Fulcrum Star เพียงแต่ในยุคนี้เป็นยุคที่แบรนด์รองเท้ากีฬาเกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งแบรนด์ Kahru ก็ไม่ได้มีแผนจะขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ด้วย ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักเพียงในวงแคบเท่านั้น

2000

ในยุคมิลเลเนียม Kahru ก็ได้แบ่งรองเท้าเป็นสองไลน์อย่างชัดเจน คือโซนไลฟ์สไตล์ที่เริ่มไปจับมือกับร้านรองเท้าชื่อดังมากมายในยุโรป รวมถึงอเมริกาให้มาทำการ collaboration รองเท้ารุ่นพิเศษต่าง ๆ ซึ่งทำให้รองเท้าของ Kahru จะมีจำหน่ายแบบจำกัด และหาค่อนข้างหายาก

ส่วนในไลน์กีฬายิ่งไม่ต้องพูดถึง หากนับเฉพาะในประเทศไทยเราเชื่อว่าแทบไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำเพราะแม้กระทั่งช้อปขายยังไม่มีเลย จึงไม่น่าแปลกใจหากคนจะออกอาการงง ๆ  เมื่อพูดถึงรองเท้ายี่ห้อ Kahru

Current

ในปัจจุบัน Karhu ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาผลิตรองเท้าออกกำลังกายเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้ แต่ปัจจัยน่าจะมากจากราคาที่ค่อนข้างสูงสำหรับสนีกเกอร์ (ราว ๆ 5,xxx – 8,xxx บาท)  กับขาดการโปรโมตโฆษณาที่ดี ทำให้ Karhu ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ยกเว้นแต่ในชาว Finland หรือโซนยุโรปที่ยังมีการใส่รองเท้ายี่ห้อนี้อยู่

แต่นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์กีฬาแล้ว พวกเขาก็ยังมีรองเท้าสนีกเกอร์คลาสสิคหลาย ๆ รุ่น ที่ผสานเอาเทคโนโลยีสไตล์รองเท้าวิ่งมาบวกกับดีไซน์ที่มีความเป็นไลฟ์สไตล์ ถึงขนาด Kanye West ยังหยิบยกเอารองเท้ารุ่น Fusion 2.0 มาสวมใส่เลย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ไม่คิดว่ารองเท้าแบรนด์นี้จะได้รับความนิยมในบ้านเราสักเท่าไหร่ หรือกลายเป็นกระแสขึ้นมา เพียงแต่ที่เราอยากจะนำมาเล่าเพื่อให้ทุกท่านรับรู้ถึงประวัติศาสตร์ของแบรนด์เก่าแก่อีกหนึ่งแบรน์ดของโลก ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งแรงโปรโมตแต่ก็สามารถอยู่ด้วยตัวเองกว่า 100 ปี แบบไม่ต้องง้อใคร

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line