Leonardo DiCaprio เพราะชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องได้รับรางวัล

ในวงการฮอลลีวู้ด มีนักแสดงมากมายที่ไปยืนรอต่อคิวเข้าแถว และหวังว่าสักวันหนึ่งอาจได้มีโอกาสได้รับบทให้ได้มีตัวตนอยู่ในภาพยนตร์ของวงการนี้สักครั้ง จริงอยู่ ว่าสุดท้ายก็มีนักแสดงมากหน้าหลายตาได้เข้าไป แต่ก็ไม่น้อยที่เมื่อเงินหมด และทนอยู่ไม่ไหว ก็ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปในที่สุด และเขาคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ได้มีโอกาสเข้าไปแสดงเป็นตัวประกอบในวงการนี้ จนกระทั่งมีคนเห็นแววทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงเจ้าบทบาทในปัจจุบัน ถูกต้องแล้วครับ เขาคนนี้ Leonardo DiCaprio

ถึงแม้ว่า Leonardo DiCaprio จะเกิดในเมืองที่เป็นเมืองอุตสาหกรรมภาพยนตร์อันดับหนึ่งของโลกอย่าง Hollywood ที่มลรัฐ แคลิฟอร์เนีย แต่เขาก็เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่มีความข้องเกี่ยวกับการแสดงเลย โดยเขามีพ่อเป็นนักวาดการ์ตูนชื่อดังให้กับ Underground comix ส่วนแม่ของเขาก็เป็นชาวรัสเซียที่อพยพครอบครัวสมาอยู่ในอเมริกา เชื่อไหมครับ ว่านักแสดงชื่อดังของเราคนนี้ ไม่มีเลือดอเมริกันไหลเวียนอยู่ในร่างกายเลย โดยลีโอมีสายเลือดวนเวียนอยู่ในร่างกายกว่า 3 สัญชาติ ก็คือ เยอรมัน และอิตาลี่ จากฝั่งพ่อ และรัสเซีย จากฝั่งแม่ และครั้งหนึ่งลีโอได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียว่า “ผมเป็นลูกครึ่งรัสเซีย” แต่ช่วงชีวิตในวัยเด็กส่วนมากของเขากลับเติบโตที่เยอรมัน และหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าลีโอสามารถพูดภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่วเสมือนภาษาอังกฤษเลยทีเดียว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งชีวิตที่แปลกไม่ใช่เล่น

ลีโอก้าวเข้ามามีบทบาทครั้งแรกในวงการจากการถ่ายแบบโฆษณา และวีดีโอเพื่อการศึกษา ตั้งแต่วัยเด็ก นอกจากนี้เขายังได้มีโอกาสเล่นภาพยนตร์ซีรี่ย์สำหรับเด็ก เรื่อง Romper Room หลังจากนั้นเมื่อเขาอายุเกิน 5 ขวบ ซึ่งเป็นอายุที่เกินอายุนักแสดงของซีรี่ย์เรื่องนี้ เขาก็ได้มีโอกาสไปแสดงซีรี่ย์เรื่องอื่นๆ ต่อมา จากการตามพี่ชายคนละแม่ของเขาไปแคสต์งานตามกองถ่ายต่างๆ จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสไปเล่นละครเวทีหลายๆ เรื่อง และมีโอกาสเข้าไปเล่นละครเวทีเรื่อง Parenthood ทำให้เขาได้รับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ของเวที Young Artist Awards

และจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาได้มีโอกาสไปเล่นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ก็เกิดขึ้น โดยเขาได้มีโอกาสถูกทาบทามให้เข้าไปเล่นในภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่อง Critters 3 และในปี 1991 ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เริ่มออกฉาย เนื่องจากเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก จึงทำให้ลีโอถูกวิจารณ์ว่า “เด็กผมสีบลอนด์คนหนึ่งที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเชิงลึกเลย” แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้ของเขา เป็นประตูทำให้ค่ายทีวียักษ์ใหญ่อย่าง ABC รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ จึงได้ชวนเขามาเล่นในซีรี่ย์ซิตคอม เรื่อง Growing Pains

จนกระทั่งในปี 1992 ชีวิตของลีโอก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นโดยป๋าดันอย่าง Robert De Niro โดยลีโอได้ถูกเขาผู้นี้คัดเลือกเองกับมือ จาก 1 จาก 400 นักแสดงรุ่นเยาว์ เพื่อให้เขาได้มาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง This boy’s life หลังจากนั้นชีวิตของลีโอก็ก้าวเข้าสู่วงการฮอลลีวู้ดอย่างเต็มตัว

ในปี 1993 ลีโอได้รับบทบาทให้เป็นนักแสดงหลักร่วมกับนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง Johnny Depp ในภาพยนตร์เรื่อง  What’s Eating Gilbert Grape ซึ่งจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้เขาถูกสื่อเรียกว่า “นักแสดงที่น่าจับตาที่สุด” โดยจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงนักแสดงยอดเยี่ยม ในรางวัล Golden Globe และ Academy Award

ในปี 1995 ลีโอก็ดังข้ามฝั่งไปถึงยุโรป โดยการชักนำของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Sony Picture และ Sharon Stone โดยเธอได้แนะนำลีโอให้เข้าสู่ธุรกิจหนังยุโรป แถมยังบอกค่ายหนังว่าจะเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้นักแสดงที่เธอเป็นคนแนะนำมาเอง หลังจากนั้นทำให้ลีโอได้มีโอกาสเล่นในภาพยนตร์เรื่อง Romeo and Juliet ซึ่งจากเรื่องนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักอย่างวงกว้างในท้ายที่สุด

ปี 1997 เป็นปีที่ชีวิตของลีโอเปลี่ยนไปตลอดกาล ลีโอได้มีโอกาสเล่นในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง Titanic ของ James Cameron และภาพยนตร์เรื่องนี้เคยครองตำแหน่งอันดับหนึ่งของ Box Office ติดต่อกันยาวนานกว่าสิบปี กว่าจะมีภาพยนตร์ของผู้กำกับคนเดียวกันนี้มาทำลายลง จากภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้เขากลายเป็นซุปเปอร์สตาร์อีกคนหนึ่งไปโดยปริยาย จากกระแสที่ถาโถมไม่หยุดหย่อนของ Titanic ที่โด่งดังไปทั่วโลก

ปัจจุบันรายได้ของลีโอต่อภาพยนตร์หนึ่งเรื่องอยู่ที่ประมาณ 25 ล้านดอลลาห์สหรัฐ หรือราวๆ 825 ล้านบาท แต่สิ่งที่ยังค้างคาใจคือ ลีโอยังไม่เคยได้รับรางวัล Oscar เลยแม้แต่ครั้งเดียว (ลีโอได้รับรางวัลจากสถาบันอื่นอยู่บ้าง โดยเฉพาะในปี 2014 ที่ลีโอในบท The Wold of Wall Street กวาดรางวัล Best Actor Award จากหลากหลายสถาบัน เช่น Golden Globe, People’s Choice เป็นต้น) แต่ก็ไม่ได้ทำให้ลีโอท้อแท้ ยังคงผลิตผลงานยอดเยี่ยมให้พวกเราชมกันอย่างต่อเนื่อง นี่แหละคือตัวอย่างที่พิสูจน์ได้ดีที่สุดว่า ถึงแม้การที่คุณทำอะไรก็ตามในชีวิต แล้วคุณมีความสุขกับมัน มีคนชื่นชอบ เท่านั้นก็เพียงพอ ไม่จำเป็นว่ามันจะต้องมีรางวัลอะไรสำหรับคุณ เพราะเพียงรางวัลของความสุขที่คุณได้ มันก็คุ้มค่ามากพอแล้ว