หนุ่มขี้เหงาระวังจะตายก่อนวัยอันควร

ความเหงาเป็นเรื่องปกติค่ะ ไม่ว่าใครก็เหงากันทั้งนั้น แม้แต่คนที่มีแฟน ก็ต้องมีช่วงเวลาที่สุขเศร้าเหงาใจเป็นธรรมดา เรียกว่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทุกเพศทุกวัย คนที่สามารถจัดการกับความเหงาที่ตัวเองมีได้ ก็อาจจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้

พอเราพูดว่าความเหงาเป็นเรื่องปกติ แต่การที่คนเหงามากๆ จนไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกที่ตนเองมีได้ หรือไม่สามารถหาทางออกให้กับมันได้ ก็อาจเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน เพราะมีผลงานวิจัยที่ออกมาเตือนหนุ่มขี้เหงาให้ระวังผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งอาจทำให้คุณจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร

หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินว่าความเหงาอันตรายกว่าการสูบบุหรี่จัดเสียอีก บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องอำกันเล่นๆ แต่นักวิจัยได้เปิดเผยแล้วว่าความเหงาอาจส่งผลถึง 30 % ในการคร่าชีวิตคุณก่อนวัยอันควร โดยวัดจากกลุ่มตัวอย่างที่นำมาทำการวิจัย 3.4 ล้านคน ซึ่งมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 66 ปี Dr. Julianne Holt-Lunstad แห่ง Brigham Young University ได้พูดถึงคนที่รู้สึกเดี่ยวดาย และคนที่มีความเป็นอยู่อย่างโดดเดี่ยว ว่าทั้งสองกลุ่มเราจำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพราะมีกลุ่มคนที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่ก็ยังรู้สึกเหงาอยู่ และความเหงานั่นก็ส่งผลเสียต่อร่างกายพอๆ กับการสูบบุหรี่ เป็นโรคอ้วน และติดแอลกอฮอล์

แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มนักวิจัยออกมาแย้ง และสงสัยในเรื่องของการเปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่างจากผลงานวิจัยชิ้นนี้ว่าการนำกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุเฉลี่ยถึง 66 ปี ที่ถือเป็นกลุ่มคนเหงา มาเทียบกับกลุ่มวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงของโรคจากการดื่มสุรามากเกินไป เพราะมันไม่น่าจะนำมาเปรียบเทียบกันได้ และขอให้มีการวิจัยกลุ่มตัวอย่างในอายุเฉลี่ยอื่นต่อไป

ถึงอย่างไรก็ตามความเหงาที่เกิดจากความรู้สึกอ้างว้าง และความเหงาที่เกิดจากการอยู่อย่างเดียวดาย ต่างมีผลทำให้สุขภาพจิตเสื่อมถอยลง และแน่นอนมันส่งผลต่อสุขภาพร่างกายให้แย่ลงไปด้วย การดูแลสุขภาพจิตตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าความเหงาเพียงอย่างเดียวจะทำให้คุณจากโลกนี้ไปในขณะที่อายุยังน้อย (หากคุณไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าขั้นหนัก) มันก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตที่ไม่เคยดูแลตัวเองเลย การกินแต่อาหารไม่มีประโยชน์ปัจจัยเหล่านี้ก็มีผลทำให้คุณอยู่ไม่ถึงแก่เหมือนกันค่ะ แต่เหตุผลนี้ก็ดูเป็นการหาข้ออ้างจีบสาวแล้วบอกเขาว่าผมไม่อยากตายไวได้เหมือนกันนะเนี่ย

source : edition.cnn.com, nhs.uk