World

NIHON STORIES: MIYAZAKI TSUTOMU นักฆ่าที่ชอบสะสมเหยื่อจนถูกเรียกว่า “ฆาตกรโอตาคุ”

By: TOIISAN September 9, 2020

“ของสะสมที่ขึ้นหิ้งของพวกคุณคืออะไร ?” บางคนอาจเป็นฟิกเกอร์ราคา 7 หลัก บางคนเป็นอัลบั้มวงดนตรีที่ชื่นชอบ กีตาร์ตัวเก่ง รถคันโปรด แต่คงไม่มีใครคิดสะสมมือของเด็กสาวที่ถูกฆ่าแบบ มิยาซากิ ทสึโทมุ (Miyazaki Tsutomu) ซ้ำร้ายคนที่ปลิดชีพเด็กและตัดมือออกจากร่างไร้วิญญาณก็คือตัวของทสีโตมุเอง

‘เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2008 สำนักข่าว AFP รายงานว่านักโทษคดีอาชญากรรมร้ายแรง มิยาซากิ ทสึโทมุ ถูกตัดสินประหารชีวิต หลังจากคดีความที่ยืดเยื้ออยู่นาน ทางด้านนายกรัฐมนตรีฟุคุดะ ยาสึโอะ กล่าวกับสื่อว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะยังคงให้มีโทษประหารต่อไป’

ความตาย การประหารชีวิต และเสียงร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเศร้าปนโกรธแค้นเริ่มต้นขึ้นจากคนคนเดียว เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนายทสึโทมุ ชายที่เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1962 ชีวิตวัยเด็กในโตเกียวของเขาไม่แตกต่างจากคนอื่นมากนัก ช่วงประถมกับมัธยมต้นเขาเป็นเด็กตั้งใจเรียน ได้คะแนนสอบเป็นที่น่าพอใจอยู่เสมอ แต่พอเข้าสู่ช่วงมัธยมปลายคะแนนของเขากลับตกลงเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ด้วยการเรียนที่ตกลงทำให้เขาพลาดเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเมจิเพื่อเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แถมยังโดนที่บ้านผลักไสไล่ส่งอีก

ทสึโทมุที่รู้สึกหลงทางหันไปเรียนถ่ายภาพในวิทยาลัยใกล้บ้าน เลยไปขออาศัยอยู่กับพี่สาวที่ออกจากบ้านมาอยู่ด้วยตัวเอง เพราะเขาไม่อยากรับความกดดันจากพ่อแม่ที่ต่อว่าถึงความล้มเหลวด้านการเรียนของเขา ประกอบกับตัวเขาเองมีความผิดปกติทางด้านร่างกาย เป็นโรคข้อกระดูกพร่องที่เป็นปมชีวิต เพราะทสึโทมุเป็นเด็กที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับพี่น้องร่วมสายเลือด

เด็กชายที่มีปมชีวิตหลายอย่างจึงสะสมความเครียดและความกดดันเอาไว้ในใจ แต่ในเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดเขาก็ยังมีคุณปู่ที่คอยอยู่ข้าง ๆ ปลอบใจเวลาเขาเศร้า อยู่เป็นเพื่อนเวลาร้องไห้ ปู่เป็นคนแนะนำให้เขาไปทำงานในโรงพิมพ์ก็ถูกไล่ออกเพราะเข้ากับคนอื่นไม่แถมยังไม่ตั้งใจทำงาน เอาเปรียบเพื่อน เก็บตัว เอื่อยเฉื่อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีปู่คอยปลอบโยน วันเวลาผ่านไปปู่มีอายุมากขึ้นจนสุดท้ายก็จากโลกนี้ไป ความตายของปู่ทำให้โลกของทสึโทมุคล้ายกับพังทลายลง เขาไม่มีที่พักพิงสุดท้ายอีกต่อไปแล้ว

ปกติจากที่เป็นคนเงียบ ๆ อยู่แล้ว หลังการตายของปู่ทสึโทมุเงียบขรึม ปลีกตัวออกจากสังคมยิ่งกว่าเก่า เขามีอาการหลายอย่างคล้ายกับคนเป็นโรคซึมเศร้า วันหนึ่งเขาทำสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดด้วยการแอบดูพี่สาวอาบน้ำแถมยังโดนจับได้ เขาโดนไล่ออกจากบ้าน ถูกพี่สาวกับพ่อแม่ต่อว่าอย่างหนัก แต่แทนที่จะสำนึกทสึโทมุกลับคลุ้มคลั่งพุ่งเข้ามาทำร้ายพ่อแม่และพี่สาวจนเจ็บตัวไปตาม ๆ กัน

วี่แววความวิกลจริตเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ในที่สุดเขาเริ่มวางแผนฆาตกรรม เหยื่อรายแรกคือ คอนโน มาริ เด็กผู้หญิง 4 ขวบ ในเดือนสิงหาคมปี 1988 ทสึโทมุอาศัยจังหวะที่ผู้ปกครองเผลออุ้มมาริขึ้นรถแล้วขับหนีไปย่านชานเมือง จากนั้นบีบคอจนเด็กตัวเล็ก ๆ หมดลมหายใจ การทำอนาจารแบบไม่สอดใส่พร้อมถ่ายวิดีโอไว้ เมื่อเสร็จกิจก็ถอดเสื้อผ้าของเหยื่อออกจนหมด ทิ้งร่างเปลือยเปล่าไว้แถวเนินเขา ขับรถกลับห้องและเก็บเสื้อผ้าของเหยื่อไว้เป็นที่ระลึก

หลังได้ลิ้มลองการสังหารครั้งแรก ทสึโทมุพึงพอใจจนทำให้มีครั้งที่สองตามมา เหยื่อรายต่อมาคือเด็กสาววัย 7 ขวบ ชื่อโยชิซาวะ มาซามิ ระหว่างที่เธอกำลังเดินอยู่บนทางเท้าในย่านเปลี่ยว เขาจอดรถ ฉุดเธอขึ้นรถ ขับพาออกไปนอกเมือง แล้วทำทุกอย่างเหมือนกับตอนที่ทำกับ คอนโน มาริ ซ้ำร้ายยังทิ้งร่างของมาซามิไว้ข้าง ๆ กับเหยื่อรายแรกอีก

ทสึโทมุยังไม่ยอมหยุดแม้จะมีผู้บริสุทธิ์ตายเพราะเขาไปแล้วถึงสองคน เขามองหาเหยื่อรายที่สาม เป็นเด็กวัย 4 ขวบ เธอชื่อว่า นัมบะ เอริกะ เขาแอบตามมาพักหนึ่งจนรู้ว่าไปบ้านเพื่อน ดักรออยู่นานจนเธอออกจากบ้าน ระหว่างที่เด็กสาวกำลังเดินกลับบ้านคนเดียวทสึโทมุเข้าจู่โจมบังคับให้เธอขึ้นรถ แล้วพาไปยังลานจอดรถนากุริ จังหวัดไซตามะ ขู่ให้เธอถอดเสื้อออกจากเพื่อให้เขาถ่ายภาพเก็บไว้ เมื่อได้ตามที่ต้องการก็ฆ่าเธอทิ้ง มีเพศสัมพันธ์กับศพและทิ้งร่างที่หมดประโยชน์ไว้ข้างถนน สร้างความสะเทือนใจกับผู้พบศพเป็นอย่างมาก

ศพผู้เคราะห์ร้ายรายที่สี่และสุดท้ายมีชื่อว่า โนโมโตะ อายาโกะ ไม่รู้ว่าทสึโทมุพึงพอใจอะไรกับเด็กสาวคนนี้มากกว่าคนอื่น ๆ ในตอนแรกเขาทำแบบเดิมทุกอย่าง ดักรอ บังคับขึ้นรถ ขู่ให้เด็กสาวถอดเสื้อผ้าเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้ศพครั้งเดียวแล้วทิ้ง ทว่านำร่างของอายาโกะกลับบ้านไปด้วย ใช้ชีวิตอยู่กับร่างไร้วิญญาณนาน 2 วัน จนร่างเริ่มขึ้นอืดส่งกลิ่น ทสึโทมุจึงหั่นศพออกเป็นชิ้น ๆ แยกใส่ถุง บางส่วนทิ้งไว้ในสุสานใกล้ที่พัก ห้องน้ำสาธารณะ ส่วนหัวเอาไปไว้แถวเนินเขา แต่เลือกเก็บมือเอาไว้กับตัว

หลังสังหารเด็กไปถึง 4 คน เขาหยุดแผนการครั้งต่อไปเนื่องจากเริ่มมีเด็กหายตัวไปตามหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ในช่วงต้นปี 1989 เขาเห็นข่าวความเศร้าโศกของครอบครัวเหยื่อรายแรกที่ตามหาลูก ส่วนร่างของเหยื่อรายที่สามถูกพบก่อนใครเพื่อน พร้อมกับการให้สัมภาษณ์ของครอบครัวผ่านสื่อว่า “อย่างน้อยเธอกลับมา แม้ว่าเธอจะตายไปแล้วก็ตาม”

ประโยคนั้นกระตุ้นความรู้สึกบางอย่าง ทสึโทมุจึงกลับไปนำร่างของมาริจังเผาจนเหลือเท้ากระดูก เอาเถ้ากระดูกใส่กล่องวางทิ้งไว้หน้าบ้านตระกูลคอนโน ทางด้านครอบครัวเมื่อพบกับกล่องปริศนาจึงนำของข้างในไปตรวจในแล็บและพวกเขาต้องพบกับผลอันน่าเศร้า เถ้ากระดูกที่วางไว้หน้าบ้านมีดีเอ็นเอตรงกับ คอนโน มาริ ทุกประการ จากนั้นโทรไปยังบ้านของคอนโดแต่ไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่หายใจแรง ๆ ใส่ (โคตรโรคจิต) แล้ววางหูไป

ในเดือนกรกฎาคม 1989 ทสึโทมุถูกจับกุมในข้อหากระทำอนาจาร หลังจากพยายามบังคับให้เด็กสาวคนหนึ่งถอดเสื้อออกในห้องน้ำสาธารณะ แต่ผู้ปกครองที่กำลังตามหาลูกมาเจอเข้าจึงจับตัวเขาส่งตำรวจ เมื่อมีผู้ชายท่าทางพิกลก่อคดีเกี่ยวกับเด็ก ตำรวจจึงสอบสวนหนักขึ้นจนทสึโทมุยอมรับสารภาพว่าเขาฆ่าเด็กผู้หญิงไปแล้ว 4 คน จำต้องบอกกับตำรวจว่าชิ้นส่วนศพที่ยังไม่เจอของเหยื่อรายสุดท้ายถูกทิ้งอยู่ที่ไหนบ้าง

เมื่อจับตัวฆาตกรต่อเนื่องได้ เจ้าหน้าที่จึงบุกค้นห้องพักของทสึโทมุแล้วพบกับม้วนวิดีโอมากกว่า 5,700 ม้วน นิตยสารผู้ชาย การ์ตูน และหนังสือโป๊อีกเป็นตั้ง เทปส่วนใหญ่เป็นเทปเกี่ยวกับแอนิเมะ บ้างก็เป็นภาพลามก คลิปอนาจารผิดกฎหมาย รวมถึงเจอหลักฐานชั้นดีอย่างเทปบันทึกตอนที่เขาล่วงละเมิดทางเพศเหยื่อคดีฆาตกรรม ที่ต้องเกณฑ์เจ้าหน้าที่มาเกือบหมดกรมเพื่อไล่ดูวิดีโอทั้งหมดของทสึโทมุ ด้วยความชอบสะสมและลงลึกกับความชอบมาก ๆ จึงทำให้สื่อญี่ปุ่นส่วนใหญ่เรียกเขาว่า “ฆาตกรโอตาคุ” ทั้งที่จริงแล้วไม่ควรเอาคำว่าโอตาคุมาใช้กับผู้ก่อคดีร้ายแรง

พอถูกเจ้าหน้าที่ถามว่าแล้วมือที่หายไปของเหยื่อรายที่สี่อยู่ที่ไหน เขาก็พูดด้วยท่าทางสบาย ๆ ว่าเขากินไปแล้ว กินด้วยการหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วจิ้มกับซอสโชยุ แถมยังเล่าอีกด้วยว่าตอนหั่นศพเขาได้เอาเลือดใส่ถุงและดื่มกินยามว่างอีกต่างหาก

ช่วงที่เขาถูกจับคงไม่มีข่าวไหนถูกจับจ้องได้เท่าฆาตกรฆ่าเด็ก มีครั้งหนึ่งระหว่างคุมตัวไปยังสถานที่ก่อเหตุ ทสึโทมุถูกคนในละแวกกรูเข้ามาจะทำร้ายจนเกิดเหตุวุ่นวายและต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่คุ้มกัน ช่วงที่ขึ้นศาลเขาพยายามเปลี่ยนหนักให้เป็นเบาด้วยการบอกว่ามีเสียงกระซิบของ(อ่านไม่ผิดหรอกครับ) คอยบอกว่าต้องทำอย่างไรกับเหยื่อ เพราะหากเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดปกติทางจิต โทษประหารชีวิตจะเหลือเพียงแค่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลตลอดไป แต่ทางผู้พิพากษาก็ปัดคำกล่าวอ้างนี้ตกไป
พ่อของทสึโทมุรู้สึกรับไม่ได้กับสิ่งที่ลูกชายทำ เขาตัดสินใจกระโดดสะพานฆ่าตัวตายหนีความอับอายและความผิดหวังครั้งใหญ่ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งข่าวร้ายกับลูกชาย ทสึโทมุไม่ได้มีท่าทีเสียใจกับการตายของพ่อเท่าไหร่นัก แต่หมกมุ่นเกี่ยวกับการพิจารณาคดีมากกว่า เพราะเขาพยายามยื่นอุทธรณ์หลายครั้งว่าตัวเองมีอาการทางจิตจากการใช้ยา ได้ยินเสียงในหัว และเห็นภาพหลอน

สุดท้ายฆาตกรฆ่าเด็กถูกศาลตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 17 มิถุนายน 2008 ท่ามกลางคำสาปแช่งของชาวญี่ปุ่นที่ขอให้เขาตายอย่างทรมาน เนื่องจากตลอดเวลาที่ทสึโทมุมาขึ้นศาลเขาไม่เคยแสดงท่าทีเสียใจเลยสักครั้ง เขาชิลมากเสียจนเคยพูดกับสื่อว่า “ตอนนี้ผมเป็นคนดัง” หรือการฝากนักข่าวไปบอกกับครอบครัวผู้เสียชีวิตว่า “สิ่งที่ผมทำ (ฆ่าเด็ก) มันคือความเมตตานะครับ” จนกระทั่งเขาถูกนำตัวไปยังสถานที่ประหารก็ยังคงไม่มีท่าทีสำนึกผิดจนถึงวาระสุดท้าย

 


Source : 1 / 2
Source Photo :  1  / 2 / 3 / 4

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line