ในวันที่ทำงานหนักจนนาฬิกาอนุญาตให้นอนพักได้อีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะเริ่มวันใหม่ ในวันที่ฝนตกรถติดน้ำท่วมจนกลับบ้านไม่ได้ ในวันที่ความเศร้าทั้งหลายกัดกินใจ ใครหลายคนอาจจะการฟังเรื่องตลกเป็น Safe Zone คอยฮีลใจในวันที่เหนื่อยล้า ไม่ว่าจะมุกกัดจิกสังคมไทยของ ‘โน้ต-อุดม’ / การเล่าเรื่องแบบคนเลวไม่กลัวพระเจ้าของ Louis C.K. / หรือความปั่นของกลุ่มสแตนอัพคอเมดี้ a Katanyu Comedy ก็ตาม ทุกคนล้วนมีมุกตลกที่คอยชุบชูใจของตัวเองกันทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนชอบเสียงหัวเราะแบบไหน UNLOCKMEN อยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับ ‘ราคุโกะ Rakugo’ ศิลปะการเล่าเรื่องตลกของประเทศญี่ปุ่น วัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยความประณีต เป็นอะไรที่มากกว่าเรื่องตลก เพราะนี่คือความงามของการเล่าเรื่องเพื่อสร้างเสียงหัวเราะ ที่สืบทอดต่อกันมากว่า 400 ปีแล้ว ! Rakugo คืออะไร ? ความหมายของคำว่า ‘ราคุโกะ’ นั้นแปลได้ประมาณว่า “ถ้อยคำที่ร่วงหล่น (Fallen Words)” ซึ่งนอกจากจะใช้เพื่อแสดงภาพของการเล่าเรื่องแบบเป็นจำลองบทสนทนาคู่กับการบรรยายไหลยาวแล้ว ยังใช้สื่อถึงท่อนพันช์ไลน์ส่วนสำคัญในช่วงก่อนจบการแสดงที่เรียกว่า ‘โอชิ (Oshi)’ อันมีความหมายว่าหยดอีกด้วย ในการแสดงราคุโกะนั้นจะใช้นักแสดงเพียงคนเดียว ซึ่งจะถูกเรียกว่า ‘ราคุโกะกะ (Rakugoka)’ สวมชุดกิโมโน พร้อมอุปกรณ์เพียง 2 อย่างติดตัว คือ
ถ้าให้อธิบายชีวิตของตัวเองในปี 2020 อีกสักครั้งหนึ่ง คิดว่าพอจะทำกันแบบที่ไม่เจ็บปวดเกินไปได้มั้ยครับ .. ผมสามารถตอบแทนได้เลยว่า “ไม่ได้” การมาถึงของโรคระบาด Covid-19 (Coronavirus Disease Starting In 2019) ที่ไม่คาดคิด สร้างรูโหว่ให้ชีวิตของพวกเราแบบที่เรียกคืนมาไม่ได้อีกแล้ว ในแบบที่ต่างกันออกไป จนปีนั้นทุกคนบนโลกไม่อยากรีแคปภาพรวมชีวิตของตัวเองกันเลย แต่เราจะขอพูดถึงปีแห่งความเลวร้ายนั้นกันอีกครั้ง โดยวางพินของ Google Map ปักไปที่ประเทศญี่ปุ่น และ Street View ที่ย่านคึกคักของนักท่องเที่ยวรู้จักกันดีอย่าง ‘คาบุกิโจ (Kabukicho)’ ย่านโคมแดงที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยโฮสต์คลับ / คาบาเร่ย์ / คาสิโนใต้ดิน และอื่น ๆ อีกมากมาย ในช่วงเวลาของเมื่องที่ไม่เคยหลับใหลนั้นเอง มีเหล่าเด็ก ๆ ที่หลงทางจากสภาพสังคมอันแสนโหดร้ายรวมตัวกันอยู่ พวกเธอถูกเรียกว่า Toyoko Kids เด็กสาวอายุเพียง 14-15 ปี ที่เป็นอีกภาพสะท้อนความดำมืดของสังคมญี่ปุ่นในช่วงเวลาแห่งความสับสัน ย้อนกลับไปในปี 2019 ก่อนช่วงเวลาที่ Covid-19 จะระบาดไม่นาน ณ
ถ้าหากว่าบางจังหวัดมีของขึ้นชื่อเรื่องอาหารท้องถิ่น บางที่โดดเด่นด้วยประวัติศาสตร์ วิวที่สวยกว่าใคร หรือ เกาะที่เต็มไปด้วยแมวและของฝากที่เป็นแมวขนาดจิ๋ว เกาะแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเคยมีของขึ้นชื่อที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งสิ่งนั้นคือ ‘สาวงาม’ ที่พร้อมมอบประสบการณ์ทางเพศที่ยอดเยี่ยมแก่ผู้มาเยือน วาตากาโนะ (Watakano) คือ ชื่อของเกาะในจังหวัดมิเอะ ที่เคยถูกเรียกว่า “เกาะแห่งการค้าประเวณี” สรวงสวรรค์ทางเพศขนาดย่อมที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดและอู้ฟู่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นในช่วงปลายยุค 70-80s ที่พร้อมเปิดเกาะต้อนรับผู้มาเยือนเพศชายทุกอาชีพ ตั้งแต่ข้าราชการ ตำรวจ ยันมนุษย์เงินเดือนทั่วไป ซ้ำยังเดินทางแสนสะดวกด้วยเรือเพียงแค่ 4 นาที ประชากรราว 1 ใน 4 ของเกาะ หรือผู้คนประมาณ 270 คน ล้วนเป็นผู้ประกอบกิจการทางเพศ การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของเกาะขนาด 1.5 ตารางกิโลเมตร ล้วนเกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี แรกเริ่มเดิมที วาตากาโนะเป็นเกาะแวะพักสำหรับนักเดินทางช่วง ค.ศ. 1600-1800 เมื่อไหร่ที่ทะเลคลั่ง คลื่นลมแรง นักเดินเรือจากโอซาก้าที่ต้องการไปยังเอโดะ มักหยุดแวะพักที่เกาะแห่งนี้ รู้ตัวอีกทีเกาะที่ใช้แวะพักระหว่างการเดินทาง ก็กลายเป็นเกาะที่มีหญิงบริการเริ่มจับจองพื้นที่เพื่อรอเหล่านักเดินทางเสียแล้ว ซึ่งการค้าทางเพศแรกเริ่มบนเกาะแห่งนี้ ถือว่าผิดกฎหมายแบบเต็ม ๆ วันเวลาผ่านไป รูปแบบการบริการยอดนิยมในช่วง 70-80s จะเน้นแบบ ‘สั้น’
คนญี่ปุ่นเล่นสเก็ตบอร์ดไหม? แล้วทำไมคนที่ถือแผ่นบอร์ดในญี่ปุ่นจะต้องมักถูกมองว่าเป็นอันธพาล NIHON STORIES หาเหตุผลเพื่อตอบคำถามคาใจมาให้แล้ว คำว่าสเก็ตบอร์ด skateboard ในญี่ปุ่นมักออกเสียงว่า ‘sukeetoboodo’ ส่วน skateboarders มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า ‘sukebo’ ที่รับอิทธิพลมาจากสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะการวัฒนธรรมสเก็ตบอร์ดผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูด ชาวสเก็ตรุ่นแรกเริ่มมากจะรวมตัวกันวาดลวดลายอยู่บนบอร์ดในซอยแคบๆ ที่มีลานโล่ง แม้แสงไฟของเสาไฟสาธารณะจะเป็นแค่แสงสลัว แต่หากเดินผ่านแล้วสังเกตดี ๆ ก็จะเห็นเหล่าวัยรุ่นขาโจ๋ลากแผ่นบอร์ดติดล้อกันไปมาอยู่เป็นอิสระ แม้การเล่นสเก็ตบอร์ดในปัจจุบันจะกลายเป็นกิจกรรมที่ใครก็สามารถมีส่วนร่วมได้ แต่พอย้อนกลับไปยังหลายสิบปีก่อน กลุ่มแก๊งที่เล่นสเก็ตบอร์ดในญี่ปุ่นมักถูกมองว่าเป็นพวกเกเร ทำตัวไร้สาระ นิสัยไม่เป็นมิตร ต่อต้านสังคม และค่อนข้างไม่น่าคบหา ผิดเพี้ยนกับหลายพื้นที่บนโลกที่ในเวลาเดียวกันไม่ได้มองว่าคนเล่นสเก็ตบอร์ดมีภาพลักษณ์แย่เท่ากับที่คนญี่ปุ่นมอง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนในลานโล่ง ๆ ที่จอดรถ หรือสวนสาธารณะ ก็มักเห็นป้ายตัวใหญ่ที่เขียนว่า ‘ห้ามเล่นสเก็ตบอร์ด’ เป็นผลมาจากการต่อต้านวัฒนธรรมป๊อปของอเมริกันชนในญี่ปุ่น บ่อยครั้งที่วัยรุ่นชายถือสเก็ตบอร์ดเดินเข้าสถานีรถไฟฟ้า แล้วจะถูกเจ้าหน้าที่เรียกเพื่อขอค้นกระเป๋า เป็นความคิดแบบเหมารวมที่กาหัวไว้ก่อนแล้วว่าอาจเป็นพวกป่วนเมือง เรียกร้องความสนใจ หรือมีโอกาสพกอาวุธสูงกว่าคนอื่น ๆ ในสังคม ฮิกาอิ โยชิโระ (Higai Yoshiro) ช่างภาพสเก็ตบอร์ดรุ่นเก๋าวัย 55 ปี นั่งย้อนจินตนาการถึงการหัดเล่นในช่วงแรกว่า “รู้สึกถึงสายลมแห่งแคลิฟอร์เนีย โคล่าและเสื้อยืดฮาวาย มันให้ความรู้สึกสดชื่น”
ย้อนกลับไปยังวันที่ 27 มกราคม 2012 สำนักข่าว CNN รายงานข่าวภัยพิบัติใหญ่ที่เกาะญี่ปุ่น เมื่อเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิโถมเข้าใส่จังหวัดฟูกูชิมะ ส่งผลให้โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดความเสียหาย กัมมันตภาพรังสีจากโรงงานรั่วไหลออกมาโดยรอบ รัฐบาลต้องสั่งอพยพประชาชนในพื้นที่กว่า 1.6 แสนคนโดยด่วน ชาวบ้านที่ตื่นตระหนกจำต้องทิ้งบ้าน ทรัพย์สิน รวมถึงสัตว์เลี้ยงไว้ข้างหลัง เพื่อรักษาชีวิตตัวเองให้รอดปลอดภัยก่อน การรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีจากโรงงานนิวเคลียร์ในช่วงแรก ส่งผลให้สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงที่ถูกทิ้งไว้ได้รับสารเคมีอันตราย สัตว์เลี้ยงเพื่อบริโภคอย่างโคและสุกรจำนวนมากในหลายหมู่บ้าน จะถูกเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อทำการุณยฆาต ก่อนฝังทั้งหมดลงดิน เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อสัตว์ที่มีสารเคมีปนเปื้อนออกสู่ตลาด ทว่าสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าจำนวนมากยังคงถูกทิ้งไว้ในดินแดนที่ไม่มีผู้อาศัย สัตว์หลายชนิดในบริเวณรอบที่ใกล้โรงฟ้าไฟนิวเคลียร์พากันล้มตาย เหลือไว้เพียงซากเน่ารอวันย่อยสลายเหลือแต่กระดูก กลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียนส่งกลิ่นตลบอบอวล บางตัวที่อ่อนล้าพยายามเอาตัวรอด ทว่าน้ำในแอ่งก็เต็มไปด้วยสารพิษ ต้นไม้ใบหญ้าก็อาบสารเคมี อากาศที่หายใจก็ไม่สะอาด เมืองที่ตายแล้วกำลังคร่าสิ่งมีชีวิตให้หมดลงไปเรื่อยๆ มีเพียงวันเวลาอันยาวนานเท่านั้นที่จะให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเอง แล้วชาวฟูกูชิมะบางส่วนที่ต้องหนีไปก่อนหน้านี้ได้กลับบ้านอีกครั้ง ทว่ามีชายคนหนึ่งตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ดินแดนรกร้าง ตั้งมั่นกับตัวเองว่าจะไม่ย้ายไปไหน อยู่ต่อเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกที่กำลังทุกข์ทรมาน มัตสึมูระ นาโอโตะ (Matsumura Naoto) คือชื่อของชายคนสุดท้ายที่ยืนหยัดอยู่ในเมืองโทมิโอกะที่ร้างไร้ผู้คน โทมิโอกะเป็นหนึ่งในชุมชนที่อยู่ในพื้นที่จำเป็นต้องลี้ภัยหลังการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไดอิจิ ก่อนเกิดเหตุระเบิดที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มัตสึมูระเลี้ยงหมาไว้หนึ่งตัว และมักผูกมิตรกับสัตว์อื่นในชุมชนเสมอ ทุกคนในชุมชนจะรู้ว่าเขาชอบเอาอาหารไปเลี้ยงแมวจรจัดท้ายหมู่บ้าน ส่วนหมาจรจัดที่ดุแค่ไหนก็ยอมไว้ใจมัตสึมูระ หลังเกิดเหตุระเบิดไม่คาดฝัน ประชาชนส่วนใหญ่ที่อพยพไม่ได้นำสัตว์เลี้ยงไปด้วย หมาแมวจำนวนมากถูกปล่อยทิ้งไว้ตามเดิม เพราะใคร ๆ ก็คิดว่าเดี๋ยวก็คงได้กลับบ้าน ด้านมัตสึมูระที่ต้องอพยพออกมาเหมือนกับคนอื่น
เมื่อเอ่ยถึง ‘นิวเคลียร์’ ในวงสนทนา สิ่งแรกๆ ที่จะได้ยินคือนิวเคลียร์จากการต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้ง ‘Little Boy’ ที่ถูกทิ้งลงสู่เมืองฮิโรชิมะ ตามด้วย ‘Fat Man’ ที่ล้างผลาญเมืองนางาซากิ นอกจากนี้นิวเคลียร์ในความทรงจำของใครหลายคนอาจยังนึกถึง ‘เชอร์โนบิล’ เมื่อเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศยูเครนเกิดระเบิด เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในฟูกุชิมะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะญี่ปุ่น นับเป็นโศกนาฏกรรมที่ล้วนเกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ด้วยกันทั้งหมด UNLOCKMEN จะพาผู้อ่านย้อนไปยังอดีตเพื่อพบกับเหตุการณ์น่าสะพรึงจากภัยธรรมชาติ และคูณความรุนแรงสองเท่าด้วยสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างนิวเคลียร์และสารเคมีร้ายแรง เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นนับแสนต้องพลัดถิ่น ไม่สามารถกลับบ้านหลังเดิมได้นานหลายสิบปี และทุกอย่างนับจากจุดเริ่มต้นไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ญี่ปุ่นนับเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวและสึนามิบ่อยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และภัยพิบัติทั้งสองก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2011 แผ่นดินไหวกว่า 9 ริกเตอร์ สะเทือนไปยังโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ไดอิจิในเมืองฟูกูชิมะ หากคิดว่าแผ่นดินไหวเข้าขั้นย่ำแย่แล้ว เคราะห์ยังซ้ำกรรมยังซัดญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องด้วยสึนามิสูงราว 15 เมตร ซัดผ่านแนวกั้นกำแพงที่สูงเพียง 10 เมตร ทะลักเข้าสู่โรงงานและเตาปฏิกรณ์ ทำให้ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินไม่สามารถใช้งานได้ ระบบหล่อเย็นของเตาปฏิกรณ์ 3 จาก 6 เครื่องหยุดทำงาน ความร้อนในเตาพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก๊าซไฮโดรเจนภายในเตาปฏิกรณ์จึงระเบิด สร้างความเสียหายใหญ่หลวงจนสารเคมีอันตรายเล็ดลอดออกมาจากโรงงาน เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐทราบถึงความผิดปกติครั้งใหญ่ พวกเขาทำอะไรไม่ได้มากนอกจากสั่งอพยพประชากรในละแวกใกล้เคียงในรัศมี 20
‘ญี่ปุ่น’ ถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องอัตราการฆ่าตัวตายสูงติดอันดับโลกเสมอ จนถูกนับเป็นเมืองที่มีความเครียดสูงที่สุดเมืองหนึ่งของโลกไปแล้ว ด้วยเหตุผลหลายอย่างทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ การแข่งขันทางธุรกิจ การทำงาน รวมถึงพื้นที่ที่จำกัด และค่านิยมหลายอย่างที่อาจส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เกิดความเครียด เมื่อเครียดจนไม่รู้จะทำอย่างไร คนบางส่วนจึงเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองเพื่อปิดกั้นการรับรู้ถึงปัญหาต่าง ๆ ไปตลอดกาล การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกก็แวะเวียนไปยังญี่ปุ่นเช่นกัน ในตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังเผชิญหน้ากับการระบาดระลอกสองที่ยากจะควบคุม แม้ตอนแรกจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศจะยังไม่สูง ซ้ำผลสำรวจของสื่อแทบทุกสำนักยังระบุตรงกันว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในญี่ปุ่นช่วงแรกที่รัฐบาลต้องสั่งล็อกดาวน์ สามารถลดความเครียดของชาวญี่ปุ่นได้อย่างน่าตกใจ แต่ตอนนี้ความเครียดที่หายไปได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นจนน่าใจหาย ช่วงต้นปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการฆ่าตัวตายของชาวญี่ปุ่นช่วงเดือนเมษายนว่าลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ๆ ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมษายนคือช่วงเวลาเดียวกับที่โควิด-19 ระบาดหนัก รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนให้อยู่แต่ในบ้านและอย่าออกจากเคหสถานหากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ รวมถึงการปิดเทอมของเหล่านักเรียน ส่งผลให้ทุกคนได้อยู่บ้าน และมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ประชาชนญี่ปุ่นถูกสั่งให้อยู่แต่บ้าน เหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เดิมทีต้องตื่นแต่เช้าแต่งตัวออกไปทำงาน ยืนเบียดเสียดบนรถไฟ แล้วค่อยเดินกลับบ้านแบบหมดเรี่ยวหมดแรง แปรเปลี่ยนเป็นนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน หักเวลาเดินทางไป-กลับ มาเป็นเวลาที่จะได้นอนมากขึ้นกว่าเดิมสักนิดหน่อย บางคนมีครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แม่บ้านได้นั่งคุยกับสามีและลูกที่อยู่ในช่วงปิดเทอม ส่วนเด็ก ๆ ก็ไม่ต้องออกไปเผชิญกับไวรัสที่กระจายอยู่ทั่ว สมาชิกในครอบครัวร่วมชายคาเดียวกันมีโอกาสพูดคุยมากขึ้น ทั้งหมดส่งผลให้มวลความเครียดของชาวญี่ปุ่นลดลง แต่ข่าวน่ายินดีนี้เป็นเพียงแค่ช่วงแรกของการระบาดเท่านั้น ภาพในระดับครอบครัวชนชั้นกลางจนถึงสูงทั้งในเมืองและต่างจังหวัดเป็นเพียงส่วนเล็กของสังคมใหญ่ ภาพรวมในระดับประเทศช่วงการระบาดของไวรัสไม่น่าดูเท่าไหร่นัก
‘แม้ยากูซ่าคือกลุ่มคนที่มีจำนวนไม่น้อยในสังคมญี่ปุ่น แต่คนญี่ปุ่นที่มีอาการฮิคิโคโมริ มีมากกว่ายากูซ่าถึง 10 เท่า’ ฮิคิโคโมริ ซินโดรม (Hikikomori Syndrome) หมายถึง ชื่อที่นิยามถึงบุคคลผู้ปฏิเสธการเข้าสังคม เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปใช้ชีวิต ไม่ไปโรงเรียน ไม่ไปทำงาน บางคนจะไม่สุงสิงกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว บางคนหนักข้อถึงขั้นไม่คุยกับใครเลยแม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้อง โดยระยะเวลาการตัดขาดที่จะทำให้ถูกนับว่าเป็นฮิคิโคโมริจะเริ่มต้นจาก 6 เดือน จนถึงตลอดชีวิต ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขคาดว่าทั่วประเทศญี่ปุ่น มีคนเป็นฮิริโคโมริมากถึง 1.15 ล้านคน ถือว่าเป็นจำนวนที่มากจนรัฐบาลต้องกลับมาถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่า ความผิดพลาดอะไรที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นนับล้านเลือกปิดกั้นตัวเองออกจากผู้คน ตัวเลข 1.15 ล้านคน คือจำนวนคร่าว ๆ ที่ทางกระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ ทว่า จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคิโคโมริ ซินโดรม มองว่า ตัวเลขดังกล่าวคือเสี้ยวเดียวของชาวญี่ปุ่นที่กำลังเผชิญกับอาการนี้ โดยเขาคิดว่าน่าจะมีคนญี่ปุ่นกว่า 2 ล้านคนที่ประสบอาการดังกล่าว และตัวเลขนี้จะพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี จนถึงหลักสิบล้านคน จุดเริ่มต้นของการเกิดอาการฮิคิโคโมริมีหลายสาเหตุด้วยกัน แต่ละคนก็มีเรื่องราวต่างกันออกไปโดยเฉพาะกับความผิดหวังขั้นรุนแรง เด็กบางคนตัดสินใจเลือกเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพราะผลคะแนนสอบไม่เป็นอย่างหวัง บางคนผิดหวังเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือสะเทือนใจจากการถูกเพื่อนร่วมชั้นรังแก ผู้ใหญ่ที่ตกงานมาเป็นเวลานานบางคนอาจรู้สึกหมดกำลังใจจะใช้ชีวิตต่อ หมดกำลังใจ รู้สึกด้อยค่าในตัวเอง
การปล้นธนาคารหรือปล้นรถขนเงิน คือสิ่งที่เห็นบ่อยครั้งในการ์ตูน วรรณกรรม และภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนญี่ปุ่น บ้างก็สามารถปล้นเงินจำนวนมหาศาลได้สำเร็จเพราะใช้ทีมงานจำนวนมากควบคู่กับการวางแผนรัดกุม แต่ส่วนใหญ่มักจะโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัวได้คาที่หรือตามจับกันได้ภายหลัง ทว่าชายหนุ่มคนหนึ่งกลับสร้างวีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ที่ตราตรึงชาวญี่ปุ่นยุค 60s ด้วยการปล้นเงินราว 300 ล้านเยน แล้วหนีไปอย่างชิล ๆ โดยไม่มีใครสามารถตามจับได้ เรื่องราวอื้อฉาวแห่งยุคเกิดขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคม 1968 ณ มหานครโตเกียว ขณะที่รถขนเงินของธนาคารนิปปอนทรัสต์ (Nippon Trust Bank) สาขาโคกูบุนจิ พนักงานทั้งหมด 4 คน นำเงินสดเต็มคันรถออกจากธนาคาร ขณะที่รถกำลังแล่นอยู่กลางถนน บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งไม่ต่างจากวันอื่น ๆ แต่กลับมีชายคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขี่รถจักรยานยนต์ที่ตำรวจใช้ในเวลาราชการตีขนาบพร้อมบอกให้คนขับรถขนเงินค่อย ๆ ชะลอความเร็ว และอย่าตื่นตระหนกหรือเบรกกะทันหัน สร้างความงุนงงให้กับเจ้าหน้าที่ธนาคารที่อยู่บนรถเป็นอย่างมาก หลังคนขับตบไฟเลี้ยวนำรถขนเงินจอดเข้าข้างทาง เขาลงมาคุยกับชายที่เขาคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ชายคล้ายตำรวจได้แจ้งกับพนักงานว่าตัวเองได้รับรายงานว่ารถขนเงินคันนี้ไม่ได้กำลังขนแค่เงินสด แต่ยังขนระเบิดเวลาติดมาด้วย หากเป็นแค่คำพูดลอย ๆ ของคนคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงคนเดียว อาจไม่ทำให้พนักงานทั้ง 4 คน ที่มากับรถขนเงินเชื่อสนิทใจ อย่างไรก็ตาม ชายคนดังกล่าวไม่รอช้าไซโคต่อว่าไม่รู้เหรอว่าก่อนหน้านี้ทางธนาคารนิปปอนทรัสต์ได้รับจดหมายข่มขู่หลายครั้ง ประกอบกับบ้านพักของผู้จัดการธนาคารสาขาที่ขนเงินออกมาก็เคยถูกวางระเบิด ยังไม่ทันได้ทีเวลาให้พินิจพิจารณา อยู่ ๆ
UNLOCKMEN เชื่อว่าหลายคนจะต้องรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อของ อิโตะ จุนจิ (Ito Junji) หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า ‘อิโต้ จุนจิ’ กันสักครั้ง ในตอนนี้เขาได้กลายเป็นนักเขียนมังงะสยองขวัญที่ระดับปรมาจารย์ของญี่ปุ่นไปเสียแล้ว ด้วยลายเส้นละเส้นเรื่องที่อ่านแล้วชวนให้คลื่นเหียน บางครั้งอ่านแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจปนวิตกกังวล เมื่ออิโต้พาผู้อ่านทั้งหลายมาถึงจุดสิ้นสุดของเรื่อง ก็ยังทำให้เราตกตะกอนกับสิ่งที่อ่านได้อย่างไม่ยากเย็น จนพานให้ตั้งคำถามว่า ‘แล้วชายที่ขึ้นชื่อว่าเชี่ยวชาญเรื่องขนหัวลุกแบบนี้ จะมีชีวิตที่โลดโผนแตกต่างจากคนอื่นหรือไม่ ?’ ชีวิตก่อนจะกลายเป็นนักเขียนชื่อดัง เริ่มต้นจากเดินชายธรรมดาที่เกิดในวันที่ 31 กรกฎาคม 1963 ในจังหวัดกิฟุที่อยู่ระหว่างเมืองหลวงเก่ากับเมืองหลวงใหม่อย่างเกียวโตกับโตเกียว บ้านที่เขาโตมาในวัยเด็กเป็นบ้านขนาดเล็ก ไม่ได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศสวยงาม ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองแต่อยู่ใกล้กับอุโมงค์ใต้ดินที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น รวมถึงแขกเหรื่ออย่างสารพัดสัตว์ และแมลงไม่พึงประสงค์ หากทุกคนจะเข้าห้องน้ำต้องเดินออกมาจากตัวบ้าน การขับถ่ายในยามค่ำคืนคือสิ่งไม่พึงประสงค์ลำดับต้น ๆ ของเด็กชาย อิโต้ต้องทำธุระในห้องน้ำกับบรรยากาศชวนขนลุก พลางดูฝูงจิ้งหรีดจำนวนมากกระโดดไปมา สักพักก็ต้องใช้ตาคอยมองหาว่าจะมีจิ้งจกหรือสัตว์มีพิษชนิดอื่นที่ไม่ได้รับเชิญหรือไม่ เชื่อเลยว่าห้องน้ำกับบรรยากาศรอบบ้านเป็นอีกส่วนสำคัญที่ผลักดันศักยภาพเรื่องความสยองขวัญให้กับเขา อิโต้เริ่มสนใจงานเขียนและการ์ตูนสยองขวัญจากการที่ดูพวกพี่สาวอ่านผลงานของ คาซึโอะ อุเมะซึ (Kazuo Umezu) และชินอิจิ โคกะ (Shinichi Koga) ที่ในเวลานั้นพวกกลายเป็นนักวาดการ์ตูนสยองขวัญระดับแนวหน้า พอเห็นพวกพี่สาวพูดคุยถกเถียงกันบ่อยเข้า เขาก็เริ่มหยิบนิตยสารการ์ตูนมาอ่านบ้างเพื่อจะได้ตามบทสนทนาทัน พอเริ่มอ่านงานประเภทนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ อิโต้รู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนรู้สึก ซ้ำยังสนุกสนาน มองเห็นมิติหลากหลายที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเรื่อง