หากเอ่ยถึงนักแสดงชื่อว่า โอกุริ ชุน (Oguri Shun) หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักหรือนึกไม่ออกว่าชุนที่ว่าหน้าตาเป็นอย่าง แต่พอเอ่ยว่า “คนที่เล่นเป็น ทาคิยะ เก็นจิ” หนุ่ม ๆ สายลุยที่ชื่นชอบหนังชาวแยงกี้ญี่ปุ่นจะต้องร้องอ๋ออย่างแน่นอน เพราะคุณจะต้องเคยเห็นเขาสักครั้งและนึกในใจว่า ‘ไอหมอนี่แม่งเท่ว่ะ’ เหมือนกับเราแน่นอน วันนี้ UNLOCKMEN จะเล่าเรื่องราวแต่ละก้าวกว่าโอกุริ ชุน จะกลายเป็นนักแสดงชายที่ได้รับบทเป็นตัวละครจากการ์ตูนบ่อยที่สุดคนหนึ่งในวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น เขาก็ต้องสั่งสมประสบการณ์ เล่นได้ทุกบทบาทตั้งแต่พระเอก ตัวร้าย แมลงสาบ ต้องรับฟังคำวิจารณ์ร้าย ๆ เก็บเกี่ยวบารมีเรื่อยมาไม่ต่างจากนักแสดงระดับตำนานคนอื่น ทีวีซีรีส์เรื่องแรกในชีวิตของชุนคือเรื่อง Hachidai Shogun Yoshimune (1995) แต่ฝีมือการแสดงของเขาฉายแววกับผลงานเรื่อง ‘GTO คุณครูพันธุ์หายาก’ (GTO: Great Teacher Onizuka ปี 1998) กับบทบาท โยชิกาวะ โบรุ เด็กชายที่ถูกรังแก สะท้อนถึงสังคมด้านมืดในโรงเรียนญี่ปุ่น จากนั้นในปี 2000 เล่นเป็นผู้มีความผิดปกติทางด้านการได้ยิน (หูหนวก) ในเรื่อง Summer Snow ความสามารถด้านการแสดงของเขายอดเยี่ยมไม่น้อยไปกว่าหน้าตาที่ถูกชมเชยอยู่เสมอ
เป็นเวลานานกว่า 60 ปี มาแล้วที่โลกได้รู้จักกับสัตว์ประหลาดดึกดำบรรพ์สุดยิ่งใหญ่อย่างก็อตซิลลา (Godzilla) ที่เกิดขึ้นจากความคิดสุดสร้างสรรค์ของ ทานากะ โทโมยูกิ (Tanaka Tomoyuki) ที่ได้ดูหนังจากฝั่งฮอลลีวูดเรื่อง The Beast from 20,000 Fathoms (1953) แล้วเกิดแรงบันดาลใจว่าในเมื่ออเมริกันทำหนังสัตว์ประหลาดได้ แล้วทำไมชาวญี่ปุ่นถึงจะมีสัตว์ประหลาดเป็นของตัวเองบ้างไม่ได้ นายทานากะได้พบกับผู้กำกับนามว่า ฮอนดะ อิจิโระ (Honda Ishiro) ภาพยนตร์สัตว์ประหลาดของพวกเขามีชื่อว่า ‘โกจิระ’ จากการทำคำว่า กอริลลา มารวมกับคำว่าคุจิระ ที่มีความหมายว่าปลาวาฬ เพราะเจ้าโกจิระตัวนี้ปรากฏตัวมาจากท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่ยังมีพื้นที่อีกมากมายที่มนุษย์ยังไม่สามารถย่างกรายไปถึง ทานากะ โทโมยูกิ ก็อดซิลลาเป็นสัตว์โบราณจากยุคที่โลกยังมีไดโนเสาร์ มันรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ นอนหลับใหลอยู่ในถ้ำที่ลึกสุดของก้นมหาสมุทรมานานนับล้านปี ทว่าการจำศีลของมันต้องจบลงเมื่อมนุษย์ทดลองนิวเคลียร์จนเกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ที่สะเทือนไปถึงถิ่นที่อยู่ของก็อดซิลลา ปีศาจร้ายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลกได้ตื่นขึ้นแล้ว ก็อดซิลลาขึ้นสู่เหนือน้ำและพบกับเกาะญี่ปุ่น มันทำลายล้างเมืองจนย่อยยับ ทุกอย่างพังพินาศราบเป็นหน้ากลอง ซึ่งการทำลายล้างของก็อดซิลลาสร้างความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาให้กับชาวญี่ปุ่นที่ได้รับชมเป็นอย่างมาก สัตว์ร้ายที่ทำลายเมืองตัวนี้ไม่ต่างอะไรกับลิตเติ้ลบอย (Little Boy) กับ แฟตแมน (Fat Man) ที่ถูกปล่อยลงสู่เมื่อฮิโรชิม่าและนางาซากิเลยสักนิด เพียงเปลี่ยนจากระเบิดนิวเคลียร์สองหัวมาเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่เท่านั้นเอง ฮอนดะ อิจิโระ หากคิดว่า UNLOCKMEN
หลายครั้งหลายหนที่มักได้ยินวลีที่ว่า “ดนตรีคือภาษาสากล” ด้วยท่วงทำนอง จังหวะการเข้ากันของดนตรีหลากชนิด อารมณ์เพลง ทุก ๆ อย่างมักทำให้คนที่พูดต่างภาษาหรือต่างเชื้อชาติสามารถฟังแล้วรู้สึกมีความสุขหรือทุกข์ระทมได้ไม่ยาก แม้บางครั้งไม่รู้ความหมายของเพลงเหล่านั้นเลยก็ตาม วัฒนธรรม ‘เจร็อก’ หรือ Japanese Rock เป็นอีกหนึ่งแนวดนตรีจากญี่ปุ่นที่สามารถครองใจผู้ฟังได้ทั่วโลก แม้เจร็อกแรกเริ่มรับวัฒนธรรมดนตรีร็อกมาจากฝั่งอังกฤษและอเมริกา พวกเขาไม่ได้ลอกมาทั้งหมด แต่ปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์ของตัวเอง ทุกอย่างที่สื่อออกมาผ่านเพลง แฟชั่นบนเวที การแสดงโชว์น่าประทับใจ ล้วนเป็นตัวของตัวเองจนทำให้เจป๊อปโด่งดังไปทั่วโลกได้ง่าย ๆ เพราะคนรุ่นก่อนยังไงก็ต้องเคยได้ยินชื่อของ L’arc en Ciel (ลาร์ค ออง เซียล) X-Japan (เอกซ์เจแปน) รวมถึงวงร็อกรุ่นใหม่อย่าง One Ok Rock (วัน โอเค ร็อก หรือ วันโอคุ ตามการเรียกของชาวญี่ปุ่น) ช่วงเวลาหนึ่งเจร็อกกลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปความสนใจในแนวเพลงของผู้คนก็เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา กระแสของเจร็อกเริ่มซา พร้อมกับถูกแทนที่ด้วยเจป๊อปที่ส่งให้วงไอดอลทั้งชายและหญิงเติบโตอย่างรวดเร็ว ในช่วงที่กระแสป๊อปกำลังเดินหน้าอย่างเต็มกำลังก็เกิดวงร็อก One Ok Rock ในปี 2005 ที่คงไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะสร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีให้กับโลกได้ขนาดนี้ ก่อนมารวมตัวกันจริงจังพร้อมมีต้นสังกัดในปี 2007
“ของสะสมที่ขึ้นหิ้งของพวกคุณคืออะไร ?” บางคนอาจเป็นฟิกเกอร์ราคา 7 หลัก บางคนเป็นอัลบั้มวงดนตรีที่ชื่นชอบ กีตาร์ตัวเก่ง รถคันโปรด แต่คงไม่มีใครคิดสะสมมือของเด็กสาวที่ถูกฆ่าแบบ มิยาซากิ ทสึโทมุ (Miyazaki Tsutomu) ซ้ำร้ายคนที่ปลิดชีพเด็กและตัดมือออกจากร่างไร้วิญญาณก็คือตัวของทสีโตมุเอง ‘เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2008 สำนักข่าว AFP รายงานว่านักโทษคดีอาชญากรรมร้ายแรง มิยาซากิ ทสึโทมุ ถูกตัดสินประหารชีวิต หลังจากคดีความที่ยืดเยื้ออยู่นาน ทางด้านนายกรัฐมนตรีฟุคุดะ ยาสึโอะ กล่าวกับสื่อว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะยังคงให้มีโทษประหารต่อไป’ ความตาย การประหารชีวิต และเสียงร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเศร้าปนโกรธแค้นเริ่มต้นขึ้นจากคนคนเดียว เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนายทสึโทมุ ชายที่เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1962 ชีวิตวัยเด็กในโตเกียวของเขาไม่แตกต่างจากคนอื่นมากนัก ช่วงประถมกับมัธยมต้นเขาเป็นเด็กตั้งใจเรียน ได้คะแนนสอบเป็นที่น่าพอใจอยู่เสมอ แต่พอเข้าสู่ช่วงมัธยมปลายคะแนนของเขากลับตกลงเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ด้วยการเรียนที่ตกลงทำให้เขาพลาดเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเมจิเพื่อเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แถมยังโดนที่บ้านผลักไสไล่ส่งอีก ทสึโทมุที่รู้สึกหลงทางหันไปเรียนถ่ายภาพในวิทยาลัยใกล้บ้าน เลยไปขออาศัยอยู่กับพี่สาวที่ออกจากบ้านมาอยู่ด้วยตัวเอง เพราะเขาไม่อยากรับความกดดันจากพ่อแม่ที่ต่อว่าถึงความล้มเหลวด้านการเรียนของเขา ประกอบกับตัวเขาเองมีความผิดปกติทางด้านร่างกาย เป็นโรคข้อกระดูกพร่องที่เป็นปมชีวิต เพราะทสึโทมุเป็นเด็กที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับพี่น้องร่วมสายเลือด เด็กชายที่มีปมชีวิตหลายอย่างจึงสะสมความเครียดและความกดดันเอาไว้ในใจ แต่ในเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดเขาก็ยังมีคุณปู่ที่คอยอยู่ข้าง ๆ ปลอบใจเวลาเขาเศร้า อยู่เป็นเพื่อนเวลาร้องไห้
เรื่องความเชื่อถือเป็นเรื่องเรื่องละเอียดอ่อน ค่อนข้างส่วนตัว และยากที่จะพูดถกเถียงกัน เห็นได้ชัดจากความเชื่อเรื่องศาสนา ความเชื่อเรื่องบุคคล หรือสิ่งลี้ลับ ที่ทำให้เพื่อนสนิทสามารถตีกันมานัดต่อนัด จึงทำให้คนส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกันว่าหากความเชื่อไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือไม่ทำให้เขาเสียคนจนสิ้นเนื้อประดาตัว ก็ปล่อยให้เขาเชื่อต่อไปเถอะครับ อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้ใครสักคนเชื่อในสิ่งที่ตัวศรัทธาอาจใช้ไม่ได้กับลัทธิ ‘โอมชินริเกียว’ (Aum Shinrikyo) เพราะตัวของศาสนากับสมาชิกในลัทธิเคยสร้างเหตุการณ์สะเทือนขวัญจำไม่ลืมให้กับเกาะญี่ปุ่น ‘อาซาฮาระ โชโกะ’ ศาสดาของลัทธิโอมชินริเกียว ในทุกศาสนาหรือลัทธิต่างต้องมีผู้นำหรือศาสดา อาซาฮาระ โชโกะ (Asahara Shoko) ถือเป็นศาสดาของลัทธิโอมชินริเกียว ก่อนจะมาเป็นโชโกะ ชายคนนี้มีชื่อจริงว่า มัตสึโมโตะ ชิซูโอะ (Matsumoto Chizuo) เด็กชายที่เติบโตมากับพี่น้องอีก 6 คน แถมบ้านยังมีฐานะยากจน และตัวเขาเองก็มีปัญหาสุภาพ การมองเห็นไม่เหมือนกับคนทั่วไปเพราะตาซ้ายบอดสนิทส่วนตาขวาเห็นแบบลาง ๆ วัยเด็กของชิซูโอะแสนจะธรรมดา ได้ผลการเรียนระดับปานกลาง คบค้ากับกลุ่มนักเรียนอันธพาล เมื่อมีเวลาว่างก็มักรีดไถเงินจากนักเรียนที่เด็กกว่า พอเรียนจบมัธยมปลายเขาก็มีเงินเก็บมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ชิซูโอะเคยฝันว่าอยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโตเกียว แต่เขาไม่ใช่คนหัวดีขนาดนั้นจึงผิดหวังจากการสอบ พยายามทำให้ตัวเองอยู่รอดด้วยการต้มยาสมุนไพรขายอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ชิซูโอะสามารถหลอกขายยาได้หลายครั้ง เขาพบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง มีลูกด้วยกันถึง 6 คน งานของเขาคือการขายยาสมุนไพร เปิดคลินิกหลอกคนไข้จนถูกตำรวจจับในปี 1982
สงครามโลกครั้งที่ 2 คือความขมขื่นที่โลกไม่มีวันลืม ไม่ใช่แค่กับคนบุกโจมตียึดครอง แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นเองก็รับความเจ็บปวดไม่แพ้กัน พวกเขาโดนนิวเคลียร์ถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ชาวโอกินาวะต้องเจอกับจิตวิทยาปั่นประสาทจากกองทัพญี่ปุ่น จนท้ายที่สุดคนญี่ปุ่นได้รู้ความจริงว่าสมเด็จพระจักรพรรดิผู้เปรียบเสมือนพระเจ้าก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนย้อนกลับไปยังสมรภูมิที่โอกินาวะ เวทีต่อสู้อันดุเดือดในสงครามมหาเอเชียบูรพามีผู้เสียชีวิตนับแสนคน สัมผัสความทรงจำอันปวดร้าวของชาวโอกินาวะที่เป็นเพียงแค่ ‘คนนอก’ ในสายตาของกองทัพญี่ปุ่น และการหมดสิ้นอำนาจของสมเด็จพระจักรพรรดิ ญี่ปุ่นกระโจนเข้าสู่สงครามส่วนหนึ่งเกิดจากความเชื่อมั่นแบบชาตินิยมรุนแรงของญี่ปุ่น แปรเปลี่ยนเป็นลัทธิทหารนิยม พวกทหารเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองว่าประเทศตนยิ่งใหญ่จนสามารถสยบโลกได้ รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มปรับค่านิยมทางการศึกษา ให้เด็ก ๆ ท่องจำว่า “สมเด็จพระจักรพรรดิคือบิดาของชาวญี่ปุ่น และเราต้องมีหน้าที่จงรักภักดีต่อสมเด็จพระจักรพรรดิ” เริ่มเกิดการขยายอำนาจทางการทหาร ล่าอาณานิคมตามแบบชาติตะวันตก แถมตัวสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะก็ทรงมองว่าสงครามเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้นเมื่อเยอรมนีบุกโปแลนด์ ตามด้วยสงครามหาเอเชียบูรพาในทวีปเอเชีย ช่วงปลายของการต่อสู้ กองทัพอเมริกันโต้กลับกองทัพญี่ปุ่นที่โจมตีมาลายา สิงคโปร์ และฮ่องกง เมืองอาณานิคมของอังกฤษด้วยการยกพลขึ้นบกทางตอนกลางของโอกินาวะในวันที่ 1 เมษายน 1945 พลเรือเอกเรย์มอนด์ สปรูแอนซ์ ร่วมกับกองทัพบกสหรัฐฯ รวมแล้วกว่าห้าแสนนาย เข้ามายังโอกินาวะ แบ่งกำลังพลเป็นสองกองบุกทางเหนือและใต้ ส่วนกองทัพญี่ปุ่นทำสงครามในโอกินาวะทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าสุดท้ายต้องพ่ายแพ้ เรือประจัญบานยามาโตะที่แข็งแกร่งของญี่ปุ่นไม่มีการคุ้มกันทางอากาศและถูกเครื่องบินรบของสหรัฐยิงถล่มจนล่ม อย่างไรก็ตาม กองทัพญี่ปุ่นยังสู้ต่อเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้อเมริกาเข้ามาตั้งฐานบัญชาการในโอกินาวะหรือรุกคืบไปยังพื้นที่อื่นด้วยการใช้ประโยชน์จากการรู้จักพื้นที่ที่ดีกว่า ซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำ ใช้ประโยชน์จากชาวโอกินาวะที่ทหารญี่ปุ่นไม่ได้รู้สึกผูกพันหรือรู้สึกว่าเป็นประชาชนชาวญี่ปุ่นที่ต้องปกป้องเท่าไหร่นัก ‘นาคาซาโกะ’ เล่าเรื่องราวจำไม่ลืมจากยุทธการโอกินาวะแก่นักข่าวหนังสือพิมพ์ ‘เซาท์ไชน่า
ทุกพื้นที่บนโลกต่างต้องมีนักซิ่ง ถ้าพูดถึงนักซิ่งหรือการซิ่งที่โด่งดังก็จะต้องมีชื่อของประเทศญี่ปุ่นอยู่ในบทสนทนาด้วยเสมอ จึงทำให้ UNLOCKMEN หยิบเรื่องราวของตำนานนักซิ่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น ทสึชิยะ เคอิชิ (Tsuchiya Keiichi) ชายที่ถูกเรียกว่าดริฟต์คิง (Drift King) และตำนานการดริฟต์อันทรงพลังของเขา “ดริฟต์คิง” คือวลีที่ถูกพูดถึงหลายครั้งในภาพยนตร์เรื่อง The Fast and Furious: Tokyo Drift (2006) อยู่บ่อย ๆ คนญี่ปุ่นในแวดวงนักซิ่งต่างก็รู้ว่า ดริฟต์คิงที่มีตัวตนจริงในหน้าประวัติศาสตร์คือ ทสึชิยะ เคอิชิ ชายหนุ่มที่เริ่มต้นจากความรักในการขับขี่ ช่วยที่บ้านทำธุรกิจขนาดเล็กด้วยการเป็นเด็กขับรถส่งของ เมื่อว่างจากงานส่งของเขาเข้าร่วมกับแก๊งนักซิ่งแถบชนบท นิยมแข่งความเร็วกันบนนถนนที่ทอดยาวไปยังยอดเขา การแข่งขันบนถนนภูเขาถูกเรียกว่า โทเกะ (Tougei) ที่ต้องใช้ความชำนาญเส้นทาง สัมผัสที่ว่องไว การขับผ่าหมอกในช่วงค่ำหรือช่วงเช้า ความคดเคี้ยวของถนนและหน้าผาสูงชัน แล้วหากวันหนึ่งเกิดเหตุผิดพลาดบนโทเกะ นั่นหมายถึงชีวิตของคนขับที่ต้องแลก การเติบโตมากับแก๊งซิ่งบนภูเขาทำให้เขารู้จังหวะการเบรก การขับบนเส้นทางลาดชัน การเข้าโค้ง แก๊งส่วนใหญ่มักขับรถแบบโอเวอร์สเตียร์ที่ล้อหลังลื่นกว่าล้อหน้า ท้ายรถจะกวาดออกเมื่อเข้าสู่ทางโค้งมุมอับ ผ่านสภาพอากาศสุดโหดอย่างหิมะหรือฝนกระหน่ำ การดริฟต์หรือการควบคุมการไถลของรถที่จะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ไม่ได้อยู่ที่การแต่งอย่างเดียวแต่อยู่ที่ฝีมือการควบคุมรถของคนจับพวงมาลัยรถด้วย เคอิชิ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการขับขี่มาหลายปี เขาไม่ได้เรียนขับรถเพื่อเข้าสู่สนามแข่งอาชีพแต่โตมากับท้องถนนในชนบท ได้ลองปรับแต่งรถหลายคัน ขับรถหลายยี่ห้อ เล็งเห็นว่าหัวใจของการขับขี่บางทีอาจไม่ได้อยู่แค่การแต่งรถให้เข้ากับตัวเองหรือยี่ห้อ
ในช่วงที่ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ถูกเลื่อนฉายออกไปเรื่อย ๆ คอหนังหลายคนคงจะเบื่อกับการที่ไม่มีหนังใหม่ ๆ เข้าโรงให้ได้ชมกัน ค่ายหนังส่วนใหญ่รู้สึกไม่ต่างกันว่าการนำหนังของตัวเองฉายตามกำหนดการปกติอาจไม่คุ้มเสี่ยงเพราะการระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยเหตุผลเรื่องวิกฤตไวรัส ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากเข้าโรงหนังเท่าไหร่นัก ในเมื่ออยู่บ้านเบื่อ ๆ ไม่รู้จะทำอะไร หนังเรื่องใหม่ที่อยากดูก็ยังไม่เข้า เราจึงอยากแนะนำภาพยนตร์ญี่ปุ่นหมวดตามล่าล้างแค้น 5 เรื่อง ให้เป็นตัวเลือกเผื่อว่ายังมีบางเรื่องที่คอหนังยังตามเก็บไม่ครบ LADY SNOWBLOOD (1973) ภาพยนตร์ที่เสริมสร้างแรงบันดาลใจให้ เควนติน ทารันติโน ลงมือสร้างหนังโคตรดังอย่าง Kill Bill เปิดมาขนาดนี้ใคร ๆ ต่างก็ต้องให้ความสนใจกับหนังตามล้างแค้นเรื่อง Lady Snowblood (1973) เรื่องราวกดดันจะถูกเล่าไปพร้อมกับเด็กสาวนามว่า ‘ยูกิ’ ที่ลืมตาดูโลกก็รู้จักกับคำว่าล้างแค้นตั้งแต่แรก แม่ของเธอมีปมความแค้นบางอย่างและมุ่งหวังอย่างยิ่งว่าจะฝากความหวังทั้งหมดให้กับลูกสาวตัวเอง ผู้เป็นแม่ได้พร่ำสอนยูกิตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าเธอต้องรู้สึกแค้น เธอจะต้องล้างแค้นให้แม่ สอนให้จับดาบซามูไร มีชีวิตแตกต่างจากเด็กสาวบ้านอื่น ๆ เพราะเธอต้องเชี่ยวชาญการต่อสู้ มีอารมณ์ที่สงบนิ่ง ไม่ไหวติงต่อสิ่งเร้า เธอต้องแข็งแกร่งเพื่อตามล่าบุคคลนิรนาม 4 คน ที่สร้างความเจ็บช้ำจนเกิดเป็นความแค้นยาวนานหลายสิบปีนี้ให้ได้ ซาโต้อิจิ ไอ้บอดซามูไร (2003) ซาโต้อิจิ ไอ้บอดซามูไร
ปกติแล้วชายไทยส่วนใหญ่มักรู้จักสาว ๆ ญี่ปุ่นในหลายแง่มุม บางคนรู้จักผ่านการตามกลุ่มไอดอลสาว บางคนตามกลุ่มผู้หญิงที่แต่งคอสเพลย์ตัวการ์ตูน บางคนพยายามทำความรู้จักวัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านซามูไรหญิง หรือชื่นชอบหนังเอวีเป็นชีวิตจิตใจ และก็ยังมีเด็กสาวอีกกลุ่มหนึ่งที่ก้าวเดินบนเส้นทางที่น่าสนใจ จนคนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อว่า “สาว JK” คำว่า JK ย่อมาจาก Joshi Kousei มีความหมายว่าเด็กผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมัธยมปลาย ทว่าหากหนุ่มคนไหนมีโอกาสไปเยือนญี่ปุ่นแล้วเรียกเด็กนักเรียนทั่วไปว่าเจเคบางคนอาจจะเฉย ๆ แต่บางคนไม่ยอมจนมีเป็นเรื่องราวใหญ่โตก็มี เพราะคำคำนี้นอกจากจะมีความหมายว่าเด็กสาวมอปลาย ยังเกี่ยวโยงกับธุรกิจสีเทาอย่าง JK Business ที่นำเด็กสาวมาให้บริการแก่ผู้ชายที่มีเงินมากพอ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างหนังโป๊ มีแมวมองตามหาผู้หญิงหลายช่วงวัยมาแสดงในบทบาทต่าง ๆ นอกจากการถ่ายหนังอย่างว่า การให้บริการของเด็กสาววัยขบเผาะตั้งแต่ 15-19 ปี ก็ได้รับความนิยมแพร่หลายมาแพ้กัน หากใครสนใจลิ้มลองพูดคุยหรือทำกิจกรรมร่วมกับเด็กสาวจะต้องเริ่มจากการค้นหาเว็บไซต์ซึ่งเป็นเว็บเฉพาะกลุ่ม (เพราะคงไม่มีใครขายกันอย่างโจ่งแจ้ง) เว็บไซต์จะรวบรวมข้อมูลของเด็กสาวหลายร้อยคน บ่งบอกอายุ หน้าตา อุปนิสัย ความชอบ และค่าบริการ ที่หนุ่ม ๆ ก็ต้องใช้เวลาอยู่ในเว็บพักใหญ่กว่าจะหาเด็กสาวที่ถูกคอที่สุดสักคนเพราะมีให้เลือกเยอะมากจริง ๆ นอกจากการเลือกสรรบนเว็บไซต์ ในย่านโคมแดงของหลายเมืองใหญ่ก็มีร้านสำหรับหนุ่ม ๆ ให้เลือกสาว JK เรียงกันเป็นตับดังเช่นย่านคาบูกิโจอันโด่งดังของมหานครโตเกียว หน้าร้านต่างแปะรูปเด็กสาวหน้าตาน่ารักจำนวนมากเพื่อดึงดูดลูกค้า มีเด็ก ๆ แต่งกายด้วยชุดแฟนตาซีเช่นเมทสาว
ฮัตโตริ ฮันโซ (Hattori Hanzo) ถูกพบในบันทึกทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นว่ามีตัวตนจริงในอดีต บ้างก็มาในรูปแบบตำนานเล่าขานที่ถูกส่งต่อกันแบบปากต่อปาก เอื้อนเอ่ยถึงความเก่งกาจยากจะหาใครเทียบได้ของเขา เพราะชายคนนี้เชี่ยวชาญเรื่องการเคลื่อนไหวในที่มืด รวดเร็วดั่งสายลม และถูกบรรจุชื่ออยู่ในกลุ่มขุนนางคนสำคัญของ อิเอยาสึ โทกุงาวะ (Ieyasu Tokugawa) โชกุนผู้ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยเลื่องชื่ออย่าง “เซนโงกุ” ประวัติการเกิดของเขาไม่แน่นอนนัก ว่ากันว่าก่อนจะใช้ชื่อฮัตโตริ ฮันโซ เขามีชื่อจริง ๆ ว่า ฮัตโตริ มาซานะริ (Hattori Masanari) เกิดในปี 1542 เป็นบุตรชายของตระกูลหัวหน้ากลุ่มนินจาอิงะในเมืองอิงะ (Iga) ในจังหวัดมิเอะ (Mie) ที่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชื่อดังของญี่ปุ่น เมื่อหลายร้อยปีก่อนอิงะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกฝนเหล่านินจา ทำให้เขาเชี่ยวชาญศาสตร์การป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็ก เด็กชายฮันโซสามารถชนะการประลองข้างถนนเมื่ออายุได้ 8 ขวบ ด้วยการใช้หอกยาว 4 เมตร ที่เด็กตัวเล็ก ๆ ไม่น่าจะควบคุมทิศทางของอาวุธได้ อย่างไรก็ตามเรื่องราวในวัยเด็กของเขายังไม่เคยได้รับการยืนยันแน่ชัด จากนั้นเข้าร่วมกองทัพของฝั่งโทกุงาวะตั้งแต่อายุ 16 ปี เนื่องด้วยบิดาของเขาเป็นขุนนางของปู่ของโชกุนอิเอยาสึ โทกุงาวะ เขาจึงได้รับราชการอย่างง่ายดาย ความสามารถอันโดดเด่นทำให้ฮันโซได้เลื่อนตำแหน่งในเวลารวดเร็ว มีบันทึกระบุว่าเราแทบจะหาข้อบกพร่องของชายคนนี้ไม่ได้เลย เขาเชี่ยวชาญทั้งการใช้ทวน เป็นนักวางแผนกลยุทธ์ให้กองทัพได้