คุณมองคนที่มีรอยสักเป็นอย่างไร ? มองว่าเป็นคนไม่ดี มองว่าเป็นเรื่องความชอบส่วนตัวของเขา หรือมองว่าเป็นศิลปะประเภทหนึ่ง บางคนอาจรู้สึกโอเคกับรอยสักขนาดเล็กสไตล์มินิมัล แล้วถ้ารอยสักขนาดใหญ่พาดเต็มแขนทั้งสองข้าง คุณจะมองว่ามันคือสัญลักษณ์ของอาชญากรหรือมองเป็นศิลปะญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์มากกว่ากัน ? UNLOCKMEN จะพาไปดูมุมมองเรื่องรอยสักของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ว่าพวกเขามีความคิดเห็นที่เหมือนหรือแตกต่างเรื่องการวาดลวดลายบนเรือนร่าง ว่ามันสวยงามหรือว่ามันคือสัญลักษณ์ของพวกอาชญากรกันแน่ ? รอยสักญี่ปุ่นว่าด้วยคนญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์รอยสักแห่งเกาะญี่ปุ่น เกิดขึ้นเมื่อค้นพบตุ๊กตาอายุราว 2,300 ปี ในหลุมศพของโชกุน การค้นพบครั้งนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นต่างตั้งสมมุติฐานว่ารอยบนใบหน้าของตุ๊กตามีความหมายว่าอย่างไร บ้างก็ว่าเป็นเครื่องหมายแสดงความกล้าหาญ บ้างก็ว่าเป็นการบอกยศ และมีคนเชื่อว่ารอยสักคือเครื่องหมายไว้ประจานพวกนักโทษ สังคมญี่ปุ่นสมัยโชกุนจะแยกคนที่มีรอยสักกับไม่มีรอยสักออกจากกัน คนไม่มีรอยสักก็คือประชาชนธรรมดา บ้างก็เป็นพ่อค้าแม่ค้า มนุษย์เงินเดือน เจ้าหน้าที่ข้าราชการ ส่วนคนที่มีรอยสักมักเป็นโรนิน โสเภณีธรรมดาที่ไม่ใช่สาวงามแบบโอยรัน นักโทษ เด็กเกเร และคนที่ไม่ยอมอยู่ในครรลองคลองธรรมอันดีงามที่สังคมกำหนดไว้ หลังจากระบบการปกครองของญี่ปุ่นถูกรื้อใหม่หมด ช่วงปี ค.ศ. 1750 ญี่ปุ่นยกเลิกการปิดประเทศอย่างถาวร ปฏิรูปสังคมและชนชั้น ซามูไรถูกลดอำนาจ มีบันทึกระบุว่าชายหนุ่มจำนวนมากนิยมสักกันมากขึ้น ร้านสักกลายเป็นสถานที่ที่ใคร ๆ ก็สามารถเดินเข้าไปได้ แถมยังขยันออกลวดลายเท่ ๆ มาแข่งกันเพื่อเรียกลูกค้าอีกต่างหาก ผู้คนเริ่มมีมุมมองเกี่ยวกับคนมีรอยสักเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็ต้องจบลงอีกครั้งเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่า ‘หากประชาชนคนใดนิยมรอยสักจะต้องรับโทษ’ หรือกฎปี 2001 ระบุว่า
เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ชอบอ่านมังงะลูกผู้ชาย ดูหนังดวลเดือดของพวกแยงกี้ และเป็นแฟนคลับหนังยากูซ่า จนบางครั้งเผลอคิดว่าตัวเองรู้จักวงการนี้ดีพอจากการเสพสื่อ จนเชื่อว่าหากวันหนึ่งมีโอกาสได้เข้าไปในวงการโลกสีดำ ใครหลายคนจะรีบกระโจนเข้าไปทันที เพราะภาพลักษณ์ของยากูซ่ามันทั้งเท่ โคตรห่าม มีอำนาจ และอยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งเป็นความคิดตรงข้ามกับคนที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตอยู่กับคาวเลือดสิ่งผิดกฎหมายที่อยากกลับคืนสู่สามัญเป็นคนธรรมดาเสียอย่างนั้น UNLOCKMEN พร้อมเผยให้เห็นอีกมุมหนึ่งของโลกยากูซ่าญี่ปุ่น ผ่านเรื่องจริงของยากูซ่า 3 คน ที่บังเอิญเจอกันในคุก พวกเขาแบ่งปันเรื่องราวที่เจอมา ทั้งความเหนื่อยจากการทำงาน นิ้วมือที่หายไปจากการถูกลงโทษเมื่อทำงานไม่สำเร็จ รวมถึงความกดดันและความหวาดระแวงต่อยากูซ่าด้วยกัน และเรื่องตำรวจ สิ่งที่ได้จากบทสนทนาคือความรู้สึกอยากกลับไปเป็นผู้ชายธรรมดา มีชีวิตเหมือนคนอื่น พวกเขาเลยตกลงกันว่าหากพ้นโทษออกจากคุกเมื่อไหร่จะเปิดร้านราเมงด้วยกัน สำนักข่าว NHK นำเสนอเรื่องราวชีวิตยิ่งกว่าละครของยากูซ่าญี่ปุ่นสามคน เนื่องจากมีผู้คนแวะเวียนไปทานอาหารที่ร้านอุด้งร้านหนึ่งย่านคิตะคิวชู (KitaKyushu) จังหวัดฟุกุโอกะ และรู้สึกว่าพนักงานในร้านแตกต่างจากคนทั่วไป ถึงแม้ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยสักจะถูกปกปิด แต่บุคลิกบางอย่างของยากูซ่านั้นปิดไม่มิด เช่น ท่าทางการเดิน การกันคิ้ว และนิ้วที่หายไป ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้ประสบการณ์การเข้าไปกินอาหารในร้านที่มีชายฉกรรจ์หน้าตาไม่รับแขกถูกบอกต่อไปแบบปากต่อปาก เมื่อทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังร้านอุด้ง สอบถามเรื่องราวจนพบว่าพวกเขาทั้งสามต่างเป็นยากูซ่าที่เจอกันในคุก และสัญญาว่าจะเปิดร้านอาหารด้วยกัน ชายที่เป็นคนออกไอเดียร้านอาหารมีชื่อว่านากาโมโตะ ทากาชิ (Nagamoto Takashi) วัย 54 ปี เขาเข้าวงการยากูซ่าเมื่อปี 1988 มีปมวัยเด็กเพราะถูกพ่อแม่ทิ้งและอยู่กับแก๊ง Kudo-Dai ที่มีสมาชิกกว่า 600
เราสามารถเห็นผลงานศิลปะญี่ปุ่นได้หลายช่องทาง บางครั้งก็เสพงานอาร์ตเก่าแก่จากภาพพิมพ์แกะไม้ญี่ปุ่นอันโด่งดังที่ทำให้แวนโก๊ะตามเก็บสะสมเป็นร้อย ๆ แผ่น หรือเห็นลายเส้นสไตล์ญี่ปุ่นผ่านมังงะเรื่องโปรดที่ตามอ่านมาตั้งแต่เด็ก ไปจนถึงรอยสักอันเป็นเอกลักษณ์ของแก๊งยากูซ่า จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าศิลปะญี่ปุ่นนั้นผสานเข้ากับวัฒนธรรมทั้งกระแสหลักและกระแสรอง กลืนกับสังคมญี่ปุ่นมาทุกยุคสมัยจนแยกไม่ออก UNLOCKMEN เคยพูดถึงศิลปะญี่ปุ่น ทั้งภาพพิมพ์แกะไม้ รอยสัก การออกแบบเครื่องแต่งกาย หรืองานดีไซน์ของเหล่าสถาปนิก จนตอนนี้พร้อมทำความรู้จักกับ ซาเอกิ โทชิโอะ (Saeki Toshio) ชายผู้ถูกขนานนามว่า “เจ้าพ่อวงการอีโรติกญี่ปุ่น” (Godfather of Japanese Erotica) ผ่านผลงานที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น ผลงานที่เป็นเหมือนเส้นแบ่งของอีโรติกกับความตาย ซาเอกิ โทชิโอะ เกิดปี 1945 ปีเดียวกับที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ยับเยินจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้เด็กชายโทชิโอจะเกิดที่มิยาซากิแต่เขาเติบโตขึ้นในเมืองโอซาก้า เริ่มรู้สึกหลงใหลภาพวาดการ์ตูนของศิลปินตะวันตกโดยเฉพาะผลงานของนักวาดภาพประกอบชาวฝรั่งเศส Tomi Ungerer และมองว่าฝรั่งเศสคือประเทศในฝันที่บ่มเพาะศิลปินเก่ง ๆ ให้กับโลกเรื่อยมา ศิลปะสไตล์โทชิโอะเต็มไปด้วยกลิ่นอายและเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นช่วง 70s เขานำประสบการณ์ที่ได้จากการเดินทางไปเยือนบ้านเรือนแถบชนบทมาเป็นแรงบันดาลใจ เขาได้สัมผัสกับบรรยากาศเงียบเหงา มองเห็นป่าทึบก่อให้เกิดความรู้สึกลึกลับ พาลคิดว่าถ้าโลกของวิญญาณมีจริงอย่างที่คนเฒ่าคนแก่เล่า พวกเขาในโลกหลังความตายก็คงมีวิถีชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เท่าไรนัก โทชิโอะเล่าว่าผลงานส่วนใหญ่ของเขาเกิดขึ้นจากความกลัว ความวิตกกังวลกับชีวิตที่ไม่แน่นอน ผสมผสานกับความรู้สึกสุขเพียงชั่วครู่และนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น จนออกมาผลงานเป็นงานศิลปะที่เร้าอารมณ์อย่างรุนแรง พร้อมกับความคิดหลักที่มองว่าผลงานที่ไร้พิษสงคือความน่าเบื่อที่เขาไม่คิดจะทำ หากมีศิลปินหลายคนเล่าเรื่องดอกไม้เบ่งบานท่ามกลางทิวทัศน์สวยงาม เขาจะไม่ทำเรื่องซ้ำ
หากพูดถึงสื่อความบันเทิงของญี่ปุ่นในมุมมองคนไทยคนส่วนใหญ่ ผู้คนมักนึกถึงแอนิเมชัน มังงะ บ้างก็กระโดดไปยังวงการเพลงทั้ง J-ROCK และไอดอลญี่ปุ่นกันเสียมากกว่า เพราะหลายคนมักมองว่าภาพยนตร์ญี่ปุ่นอาจมีสไตล์บางอย่างที่ไม่คลิกกับคนไทยส่วนใหญ่เท่าไรนัก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านภาษา กิริยาท่าทาง แอกชัน หรืออะไรก็ตามที่ทำให้วงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงนักดูหนังไทยกว้างเท่าซีรีส์เกาหลีหรือภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศอื่น ๆ แต่ก็ใช่ว่าเราจะนำมาตัดสินว่าไม่ดังแล้วจะไม่ดีหรือไร้คุณภาพได้ วงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นเคยสร้างตำนานต่อโลกมาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งผลงานหลายเรื่องของผู้กำกับระดับตำนาน Kurosawa Akira (คุโรซาวะ อากิระ) กับเรื่อง Rashomon (1950) และ 7 Samurai (1954) ล้วนส่งให้เขาคว้ารางวัลอันทรงเกียรติอย่างรางวัลความสำเร็จตลอดช่วงชีวิตจากเวทีออสการ์ได้สำเร็จ หรือผลงานดราม่าโคตรสะเทือนใจของ Koreeda Hirokazu (โคเรเอดะ ฮิโรคาสุ) ที่ทำหนังออกมาทีไรก็คว้ารางวัลใหญ่จากเทศกาลหนังเมืองคานส์อยู่เป็นประจำ จึงทำให้ UNLOCKMEN มั่นใจว่าช่วงนี้จะต้องมีหนังญี่ปุ่นน้ำดีออกมาให้เราได้ดูกันอย่างแน่นอน การเล่าเรื่องอันเป็นเอกลักษณ์ของภาพยนตร์ญี่ปุ่นทำให้คนที่ไม่รู้จักวงการหนังญี่ปุ่นมาก่อนเริ่มให้ความสนใจและ สำหรับประเทศไทยในปีนี้พวกเรามีโอกาสรับชมผลงานที่ยอดเยี่ยมทั้งหมด 14 เรื่อง จากงาน Japanese Film Festival 2020 กันอีกครั้ง UNLOCKMEN จึงคัดเลือกภาพยนตร์ 5 เรื่องในงานนี้มาเล่าสู่กันฟัง แนะนำให้ชาวเราได้พิจารณาดูว่าหนังเรื่องไหนน่าสนใจและอยากจะไปชมให้เต็มตาในโรงภาพยนตร์ THE FABLE The Fable
ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เราทุกคนล้วนต้องผ่านช่วงเวลาเป็นเด็กด้วยกันทั้งนั้น และกิจกรรมวัยเด็กขาดไม่ได้คือการตื่นเช้ามานั่งรอดูการ์ตูน อ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องที่ชอบ ตามซื้อนิตยสารการ์ตูนเพื่อจะได้อ่านตอนถัดไปก่อนใคร ตามเก็บของเล่นที่แถมมากับขนม และเอาเรื่องราวมัน ๆ ในการ์ตูนมาคุยกับเพื่อนที่โรงเรียน ยุคหนึ่งเคยมีการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากทั้งในประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย มังงะจากเกาะญี่ปุ่นที่เล่าเรื่องราวการผจญภัยของซุน โกคู เด็กชายผู้ออกตระเวนไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อรวบรวมดราก้อนบอลให้ครบ 7 ลูก เพราะหากเก็บครบแล้วจะสามารถขอพรจากเทพเจ้ามังกร เรื่องราวการเดินทางที่ต้องพบเจอทั้งอุปสรรค เพื่อนฝูง เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการผจญภัย ทำให้เด็ก ๆ ทุกคนติดการ์ตูนเรื่อง Dragon Ball กันแจ DARGON BALL ในยุคคุณดังแค่ไหน ? เมื่อถูกถามขึ้นว่า “Dragon Ball ดังแค่ไหน ?” บางคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงถามคำถามนี้ เพราะคำตอบคือสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วว่า “การ์ตูนเรื่องนี้แม่งโคตรดัง!” แต่เมื่อยุคสมัยผ่านไป คนรุ่นก่อนที่ทันอ่านมังงะเรื่องนี้ก็เติบโตขึ้นตามกาลเวลา ซึ่งถ้าย้อนกลับไปดูพบว่าช่วงเวลาที่ Dragon Ball ตีพิมพ์คือ ค.ศ. 1984-1995 (พ.ศ. 2527-2538) สรุปคือตอนนี้การ์ตูนเรื่องดังจบลงนานกว่า 25 ปีแล้ว เด็ก ๆ
ถ้าเอ่ยชื่อถึงเหล่าคนดังที่ขับเคลื่อนวงการบันเทิง ใครหลายคนคงจะคุ้นชื่อของผู้กำกับ Steven Spielberg (สตีเวน สปีลเบิร์ก) ชายที่ถูกเรียกว่า ‘พ่อมดฮอลลีวูด’ รู้จักชื่อของผู้กำกับฝีปากจัดแต่โคตรเก่งอย่าง Martin Scorsese (มาร์ติน สกอร์เซซี) หรือรู้จักชื่อของ George Lucas (จอร์จ ลูคัส) ชายผู้สร้างค่ายหนัง Lucusfilm ที่ทำเรามีหนังอวกาศเรื่อง Star Wars ดูตั้งแต่รุ่นพ่อจนถึงรุ่นลูก แล้วถ้าเป็นชื่อของ Kurosawa Akira (คุโรซาวะ อากิระ) หลายคนอาจไม่รู้จักชื่อของเขา UNLOCKMEN จึงอยากแบ่งปันให้ทุกคนได้รู้จักเรื่องราวและผลงานยิ่งใหญ่ที่ส่งผลต่อวงการบันเทิงโลก ทำไม Kurosawa ถึงเป็นชายที่ Spielberg ชื่นชมอยู่เสมอ ถูกอัจฉริยะอย่าง Scorsese ชมว่า ‘Kurosawa คืออัจฉริยะตั้งแต่เกิด’ และทำไมผลงานหนังซามูไรของเขาถึงได้เป็นแรงบันดาลใจให้ George Lucas สร้างหนัง Star Wars ออกมาเหมือนอย่างทุกวันนี้ ? ความฝันที่ล้มเหลวก่อนมาเป็นผู้กำกับหนังซามูไร Kurosawa Akira (คุโรซาวะ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ประเทศญี่ปุ่นกลายเป็น ‘เจ้าแห่งความมินิมัล’ แต่พบอีกครั้งเราก็มักจะเห็นความเท่แบบเรียบง่ายของชาวญี่ปุ่นโด่งดังมาถึงประเทศไทยอยู่เสมอ เริ่มจากแบรนด์เครื่องใช้มินิมัลเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง Muji ที่ผลิตทุกอย่างให้มินิมัลตั้งแต่ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ยันบ้านสำเร็จรูป หรือจะเป็นเสื้อผ้าเรียบ ๆ สไตล์วินเทจที่ยังหนีไม่พ้นความมินิมัลของ Uniqio หรือ Earth Music & Ecology ไปจนถึงสตูดิโอออกแบบชื่อดังระดับโลกที่ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียวอย่าง FujiwaraMuro Architects สตูดิโอ FujiwaraMuro Architects โด่งดังขึ้นมาจากผลงานออกแบบที่เน้นความเรียบง่าย น้อยแต่มาก (บางครั้งก็น้อยแต่แปลกมาก) สถาปนิกญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักชอบออกแบบบ้านแปลกตามาให้ชาวโลกได้เห็น พวกเขาเปิดกว้างทางความคิดและพร้อมท้าทายสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสร้างสีสันให้กับวงการสถาปนิกของญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักไม่ค่อยใช้จ่ายไปกับการออกแบบหรือตกแต่งบ้านเท่าไรนัก พวกเขามักอยู่กับบ้านสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ แถมยังไม่ควักเงินจ่ายเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยเท่าไรนัก เพราะบ้านส่วนใหญ่มันทั้งแคบ เก่า พื้นที่ในบ้านก็อัดแน่นไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ของสมาชิกในครอบครัว หลาย ๆ คนจึงเช่าอยู่มากกว่าลงแรงซื้อบ้านและที่ดินเป็นของตัวเอง การออกแบบบ้านให้แปลกตา หรือออกแบบให้มีสไตล์มินิมัลน้อยแต่มาก เน้นประโยชน์ใช้สอยสุดคุ้มค่าในพื้นที่จำกัด พร้อมกับการตกแต่งโปร่ง โล่ง สบายตา FujiwaraMuro Architects ไม่เคยเกี่ยงการออกแบบบ้าน แม้บางครั้งเจอโจทย์ออกแบบบ้านมินิมัลที่ต้องมีทุกอย่างครบถ้วนในพื้นที่โคตรแคบ เหล่าสถาปนิกก็พร้อมเฟ้นไอเดีย คิดสร้างสิ่งใหม่อยู่เสมอ จึงมีส่วนทำให้ชาวญี่ปุ่นยุคปัจจุบันเริ่มมองเห็นความจำเป็นกับการลงทุนเรื่องที่พักอาศัยมากขึ้น UNLOCKMEN เจอเคสออกแบบบ้านที่น่าสนใจของ FujiwaraMuro
ยากูซ่าถือเป็นสิ่งที่มีอยู่ในสังคมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ถ้าเกิดเดินอยู่ตามถนนหนทางแล้วเห็นผู้ชายหน้าตาไม่เป็นมิตร มีแผลเป็นบนหน้า หรือเห็นขาโจ๋มีรอยสักขนาดใหญ่ตามลำตัวหรือแขนขา ไม่ต้องถามให้มากความคนทั่วไปก็จะคิดก่อนแล้วว่าเขาจะต้องเป็นยากูซ่าอย่างแน่นอน ด้วยภาพลักษณ์กับองค์ประกอบหลายอย่างทำให้คนจดจำยากูซ่าได้ รวมถึงภาพยนตร์และมังงะก็ยังขยันสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับแก๊งอันธพาลครองเมืองออกมาอยู่เรื่อย ๆ และล่าสุดก็มาถึงมังงะเรื่อง Gokushufudo ที่เล่าเรื่องมาเฟียกลับใจล้างมือมาเป็นพ่อบ้านแสนดี Gokushufudo ถูกจัดให้เป็นมังงะหมวดคอมเมดี้ที่มีชื่อไทยว่า ‘วิถีพ่อบ้าน’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘พ่อบ้านสุดเก๋า’ ผลงานสร้างสรรค์จากปลายปากกาของอาจารย์ Oono Kousuke เพราะใคร ๆ ต่างก็เคยได้ยินการสร้างตำนานของยากูซ่ามาแล้วบ่อยครั้งจนเบื่อ แต่ Kousuke เลือกหยิบเรื่องยากูซ่ามาบิดให้แตกต่างน่าสนใจมากขึ้น ด้วยการเล่าถึงพระเอกของเรื่องถูกเรียกว่า ‘Immortal Tatsu’ หรือ ‘ทัตสึผู้เป็นอมตะ‘ ที่ทั้งเขาโหด โฉด เถื่อน และเป็นลูกผู้ชายตัวจริง ทัตสึเป็นชายหน้าตาหล่อเหลาแต่ก็ดูน่ากลัว เขามีรอยสักมังกรอยู่กลางหลัง รอบต้นแขน รวมถึงแผงอก มีแผลยาวที่เดาว่าโดนดาบซามูไรฟันเข้าที่ดวงตา ทัตสึสร้างตำนานของตัวเองขึ้นมาด้วยการบุกเดี่ยวไปถล่มรังแก๊งคู่อริจนกลายเป็นยากูซ่าที่คนในวงการเกรงขาม เมื่อเอ่ยชื่อของเขาใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก มีประวัติอาชญากรรมยาวเป็นหางว่าว และคนที่รู้จักต่างก็คิดว่าคงไม่มีใครสามารถหยุดปีศาจคนนี้ได้ แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่ออยู่มาวันหนึ่ง เขาตัดสินใจหันหลังให้กับวงการมืดอย่างกะทันหัน ล้างมือจากการเป็นยากูซ่าออกมาแต่งงานกับดีไซเนอร์สาวผู้ขยันทำงาน จากทัตสึผู้เป็นอมตะกลายมาเป็นทัตจัง พ่อบ้านหนุ่มที่คอยจัดการงานบ้านให้กับภรรยาที่ต้องออกไปทำงาน เขาต้องเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันของตัวเองจากไล่กระทืบหันไปซื้อของเข้าบ้านที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แย่งของลดราคากับเหล่าแม่บ้านคนอื่น ฝากตัวเขากับสมาคมแม่บ้านชุมชน ทำอาหารเช้าให้แฟนสาว กวาดบ้าน
ถ้าพูดถึงสไตล์มินิมัลแบบญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น ข้าวของเครื่องใช้ คาเฟ่ ไปจนถึงโรงแรมและอาร์ตแกลเลอรี ชื่อแรกที่ใคร ๆ นึกถึงคงหนีไม่พ้นแบรนด์ Muji จากจุดเริ่มต้นปี 1980 ที่ Muji ออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์สไตล์มินิมัลให้เป็นมิตรกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม แถมเร็ว ๆ นี้ยังขยายไลน์จากแค่การขายสินค้าไปเปิดโรงแรมตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อีกทั้งเติบโตไม่หยุดด้วยการหันมาผลิตบ้านสำเร็จรูปเพื่อแฟนคลับผู้ชื่นชอบที่พักอาศัยขนาดกำลังดีสุดมินิมัล Muji เริ่มหันมาสร้างบ้านสำเร็จรูปเมื่อปี 2004 ระหว่างนั้นก็ยังกระโดดเข้าสู่ธุรกิจซ่อมแซมและรีโนเวตอพาร์ตเมนต์อีกด้วย แถมเมื่อช่วงปี 2017 ยังได้สถาปนิกชื่อดังหลายท่าน เช่น Nao Fukasawa, Jasper Morrison และ Konstantin Grcic มาร่วมออกแบบพื้นที่ใช้สอยขนาดกะทัดรัดตรงตามความต้องการของชาวญี่ปุ่น ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าที่ดินในประเทศญี่ปุ่นมีราคาสูงมาก การซื้อที่ดินและจ้างสถาปนิกมาออกแบบสร้างสิ่งปลูกสร้างเองถือเป็นค่าใช้จ่ายที่หนักเอาการ บ้านสำเร็จรูปจึงถือเป็นตัวเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากจ่ายเงินทีเดียว แต่ได้ทุกอย่างเพียบพร้อมตามต้องการ ทั้งสิ่งปลูกสร้าง สไตล์ที่ตอบโจทย์ และเฟอร์นิเจอร์ครบครัน “YOU NO IE” HOUSE OF MUJI แต่เมื่อ Muji ก้าวเข้าสู่ตลาดบ้านสำเร็จรูป กลับทิ้งช่วงการออกแบบบ้านใหม่
ไม่นานมานี้หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบเรื่องราวของญี่ปุ่นและโปรดปรานการลิ้มรสชาติแสนเฉพาะตัวของซูชิต่างต้องตกใจไปตาม ๆ กัน เมื่อร้านซูชิโคตรดังอย่าง Sukiyabashi Jiro Honten ที่ซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดินย่านกินซ่าใจกลางกรุงโตเกียวถูกถอดดาว 3 ดวง และลบชื่อออกจาก Michelin Guide ทั้งที่เป็นร้านซูชิที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการอาหารญี่ปุ่นทำให้คนทั่วโลกต่างจับตามอง UNLOCKMEN จึงไม่พลาดนำเรื่องราวของเจ้าของร้าน Sukiyabashi Jiro นามว่า Jiro Ono มาบอกเล่าให้ฟังกันว่าเพราะเหตุใดเขาถึงกลายเป็นชายที่โลกเรียกว่า ‘ปรมาจารย์ซูชิที่ไม่มีใครเทียบชั้น’ และทำไมร้านอาหารเล็ก ๆ ของเขาถึงกลายเป็นร้านที่เหล่านักชิมทั่วโลกต้องมาเยือนสักครั้ง JIRO ONO ตำนานของวงการซูชิที่ยังมีลมหายใจ แรกเริ่มเดิมทีเรื่องราวของ Jiro Ono และร้านซูชิ Sukiyabashi Jiro ของเขาไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขนาดนี้ เขาเป็นเพียงแค่ผู้ชายที่เปิดร้านซูชิต้นทุนต่ำประทังชีวิตเท่านั้น เพราะฐานะทางบ้านของ Jiro ไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวย เขาต้องแอบทำงานพิเศษในร้านอาหารตั้งแต่ 7 ขวบ (ที่ต้องแอบทำเพราะผิดกฎหมายแรงงาน) ถูกพร่ำสอนเสมอว่าเมื่อโตขึ้นเราจะไม่หันหลังกลับ บ้านที่อยู่อาจจะหายไปเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่จะติดตัวเราไปทุกที่คือความตั้งใจและการไม่ยอมแพ้ เมื่อ Jiro เปิดร้านซูชิช่วงแรกเขาไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นเชฟได้เต็มปาก ลูกค้าที่เข้ามาในร้านก็ถือว่าเป็นคนหลงเข้ามาเสียมากกว่า