ว่ากันว่าอาชีพเก่าแก่ที่สุดในโลกคือโสเภณี เรื่องราวของหญิงสาวขายเรือนร่างเพื่อแลกกับบางสิ่ง เช่น เงิน ความเชื่อ และแต่ละทวีปหรือแต่ละยุคสมัยก็มีคำใช้เรียกพวกเธอต่างกันไปทั้ง หญิงงามเมือง สาวขายบริการ คณิกา โสเภณี หรือโอยรัน การใช้เรือนร่างแลกกับบางสิ่งที่ว่ามีทั้งการร่วมเพศสัมพันธ์กับชายไม่รู้จักสมัยบาบิโลนเพื่อบูชาเทพเจ้ามิลิตตา (The Goddess Mylitta) หรือสถานบริการของพวกเธอที่ใครหลายคนเรียกว่าซ่องของยุคกรีกถูกสร้างขึ้นเพื่อลดปัญหาความสำส่อนทางเพศของเหล่าชายหญิงผู้ต้องการระบายความรู้สึก ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ค่านิยมของสมัยก่อนบางส่วนมองว่าร่างกายของหญิงสาวมีไว้เพื่อบำเรอชาย หญิงสาวตามแบบค่านิยมของสังคมจะต้องรักนวลสงวนตัว มีสามีคนเดียว และเป็นแม่ที่ดีของลูก แต่ถ้าผู้หญิงทุกคนปฏิบัติตามค่านิยมแล้วใครจะทำงานเป็นโสเภณีสร้างความสุขให้เหล่าชายชาตรี ? เมื่อคิดได้ดังนั้น โลกนี้ก็อนุญาตให้มีข้อยกเว้นที่ทำให้ทุกประเทศต่างก็มีหญิงงามเมือง และคงไม่มีชายใดฉุกคิดว่าโสเภณีจะมีค่ามากจนบางคนทำงานแทบตายก็ยังไม่ได้ครอบครอง ด้วยเรื่องราวอันยาวนานและแสนละเอียดอ่อนของหญิงงามเมือง UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับศิลปะการขายเรือนร่างเพื่อความบันเทิงของ โอยรัน (Oiran, 花魁) หญิงงามเมืองชั้นสูงเต็มไปด้วยศักดิ์ศรี ที่ทำให้บางครั้งผู้ชายอกสามศอกยังต้องยอมลงให้เพียงเพื่อใช้เวลาร่วมกับเธอแค่หนึ่งคืน ความเหมือนที่แตกต่างของโอยรันและเกอิชา โสเภณีถือเป็นอาชีพที่หญิงสาวจำนวนไม่น้อยทำกันมาอย่างยาวนานในญี่ปุ่นที่ อาชีพโสเภณีมีอยู่เกลื่อนเมืองในยุคสมัยเคโช (ค.ศ. 1596 – 1614) แต่เรื่องราวของพวกเธอถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนเป็นกิจจะลักษณะในหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยเอโดะ (ค.ศ. 1600 – 1868) ที่ทำให้การค้าบริการทางเพศเป็นเรื่องถูกกฎหมาย แจกแจงลำดับชั้นของโสเภณีเพื่อความสะดวกเวลาใช้บริการ และจำกัดย่านโคมเขียวของแต่ละเมืองให้ชัดเจน เช่น ย่าน Yoshiwara (1618) ของกรุงโตเกียว
ถ้าพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ศาสนา’ คุณจะคิดถึงอะไรและให้นิยามกับคำนี้ว่าอย่างไร ? แน่นอนว่าคำตอบที่ได้จะต้องหลากหลาย บางคนกล่าวว่าศาสนาคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ บ้างก็ว่าคือความเชื่อที่สืบทอดกันมาหลายยุคสมัยและเป็นคำตอบสำหรับการใช้ชีวิตให้มีความสุข บางคนอาจนึกถึงหลักคำสอนที่ให้เราเป็นคนดี มีเมตตาต่อผู้อื่น ปล่อยวางให้จิตใจมีความสุข แต่คำตอบที่ตรงกันมากที่สุดเมื่อถูกถามว่าถ้าพูดถึงศาสนาจะนึกถึงอะไรก็คงหนีไม่พ้นศาสดาของศาสนาอย่างพระเยซู อัลเลาะห์ และพระพุทธเจ้า แค่คำถามสั้น ๆ ทำให้เราสามารถต่อบทสนทนากันได้อย่างไม่จบสิ้น หลายประเทศในโลกสามารถพูดคุยและวิจารณ์ศาสนากันได้อย่างเสรี บางประเทศทำศาสนาให้เข้าถึงง่ายจนรู้สึกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่สำหรับบางประเทศศาสนาก็กลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ยากจะจับต้อง ด้วยความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรมเกี่ยวกับการพูดคุยเรื่องศาสนา ทำให้ UNLOCKMEN นึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นที่เคยได้รับความสนใจจากคนไทยในช่วงเวลาหนึ่งอย่าง Saint Young Men ที่ทำให้คำว่าศีลธรรมและความเหมาะสมเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อถูกพูดถึงพร้อมกันเป็นวงกว้างในสังคมไทย จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อนักวาดการ์ตูนชื่อดังของเกาะญี่ปุ่นอย่าง Hikaru Nakamura (中村光) ได้ไอเดียโคตรบ้าที่มาจากการตั้งคำถามเล่น ๆ ว่า ‘ถ้าศาสดาของศาสนาคริสต์และพุทธทำงานหนักมาเป็นเวลายาวนาน แล้ววันหนึ่งพวกเขาเกิดอยากลงจากสวรรค์มาพักร้อนด้วยการเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาหนึ่งปีจะเป็นอย่างไร’ เมื่อคิดได้ดังนั้น Hikaru Nakamura จึงไม่รอช้าที่จะเล่าเรื่องราวนี้ผ่านการ์ตูน Saint Onii-San (聖 おにいさん) หรือในชื่อภาษาอังกฤษ Saint Young Men การ์ตูนเรื่องนี้ว่าด้วยการใช้ชีวิตของสองศาสดาชื่อดังของโลกอย่างพระพุทธเจ้าและพระเยซู พวกเขาไม่ต้องแบกรับภาระหนักหนาอะไรอีกต่อไปและพากันไปเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ที่ญี่ปุ่น ซ่อนตัวตนที่แท้จริงจากผู้ยิ่งใหญ่กลายเป็นชายธรรมดา พร้อมกับเรียนรู้สังคมวัฒนธรรมของญี่ปุ่นยุคปัจจุบันที่ใคร ๆ ก็ทำกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญอย่างพระพุทธเจ้าซักผ้า พระเยซูออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตพร้อมกับสะสมแสตมป์แลกซื้อ พากันไปงานเทศกาลฤดูร้อน ไปสวนสนุก
ถ้าให้พูดถึงศิลปินที่โด่งดังในโลกนี้ ก็คงจะต้องมีชื่อของชายหนุ่มชีวิตสุดรันทดอย่าง Vincent Van Gogh อยู่ด้วยแน่นอน เพราะเขาเป็นชายผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่หลงเหลือผลงานไว้เป็นมรดกให้เหล่าคนรุ่นหลังเข้าถึง จากรูปภาพที่บอกเล่าความเศร้าและความรู้สึกโดดเดี่ยวได้อย่างชัดเจน ทั้งที่ผลงานภาพวาดของเขาเต็มไปด้วยสีสันสดใส ก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN เคยถ่ายทอดชีวิตแสนเศร้าของ Van Gogh ไปแล้วใน (เรื่องเล่าที่สุดแสนจะรันทดของ VINCENT VAN GOGH ชายผู้เคยตัดหูซ้ายเพื่อโสเภณี) วันนี้เราจะมาพูดถึงงานอดิเรก ของสะสม ความหลงใหลคลั่งไคล้วัฒนธรรมและศิลปะการแกะไม้สไตล์ญี่ปุ่นของเขากันบ้าง แม้ไม่เคยมาเหยียบเกาะญี่ปุ่น แต่เขากลับตกหลุมรักสไตล์นิฮงจนหมดใจ Van Gogh เป็นชายที่มีอาการป่วยทางจิต เขาใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเข้าออกสถานบำบัดและโรงพยาบาล พร้อมกับวาดภาพเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก Van Gogh เสียชีวิตด้วยอายุเพียง 37 ปี ทำให้ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยได้มาเยือนประเทศญี่ปุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้เขาจะไม่เคยเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น แต่ Van Gogh ก็มีโอกาสเสพศิลปวัฒนธรรมธรรมของชาวญี่ปุ่นที่มหานครปารีสผ่านงานนิทรรศการงานเขียนและภาพวาดจากญี่ปุ่นมาจัดแสดงในยุโรป เมื่อผลงานจากฝั่งตะวันออกข้ามทวีปมาให้เขาได้ชมถึงที่ Van Gogh วัยหนุ่มผู้เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจแต่ไร้ชื่อเสียงก็พบกับศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ศิลปินหนุ่มชื่นชอบงานศิลปะของญี่ปุ่นเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับผลงาน Woodcut หรือที่เรียกกันว่า ภาพพิมพ์แกะไม้ ศิลปะภาพพิมพ์แบบนูนบนแผ่นไม้ เมื่อเขาเห็นและศึกษาเทคนิคงานแกะไม้ของญี่ปุ่นมาพักหนึ่ง Van Gogh ก็นำสไตล์ดังกล่าวมาอยู่บนผืนผ้าใบด้วย นอกจากนี้วัฒนธรรมจากฝั่งตะวันออกโดยเฉพาะจีนยังได้รับความนิยมในกลุ่มชนชั้นสูงทวีปยุโรป
ต้องยอมรับว่าหนังสำหรับผู้ใหญ่ (Adult Video) หรือที่เราเรียกกันจนชินปากว่า หนัง AV เป็นภาพยนตร์ที่ผู้ชายทุกคนเคยดูอย่างน้อยหนึ่งครั้งแน่นอน ด้วยความใกล้ชิดระหว่างชายหนุ่มกับหนัง AV โดยเฉพาะที่มาจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปสัมผัสถึงเบื้องหลังของกลุ่มคนที่มีส่วนขับเคลื่อนวงการนี้ในอาชีพที่เรียกว่า “แมวมองดารา AV” กันบ้าง เพราะถ้าไม่มีพวกเขาก็ไม่มีใครเฟ้นหานักแสดงมาเล่น และถ้าไม่มีนักแสดงก็จะไม่มีหนัง AV มาให้เราดูอย่างทุกวันนี้ วงการหนัง AV ของญี่ปุ่นถือเป็นอุตสาหกรรมบันเทิงขนาดใหญ่ที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาลกว่าพันล้านเยน เพราะไม่ใช่แค่จับหญิงชายมามีอะไรกันหน้ากล้องแล้วจบ แต่หนังผู้ใหญ่ญี่ปุ่นแตกแขนงไปหลากหลายประเภทเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้ชม หนัง AV บางเรื่องมีหลายตอนเหมือนซีรีส์ ปูเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวพระนางมานานเพื่อให้คนดูมีอารมณ์ร่วมมากยิ่งขึ้น บางเรื่องมีฉากโหดที่บางคนอาจรับไม่ได้ หรือบางเรื่องต้องใช้ฝีมือการแสดงของตัวละครหลักมากกว่าลีลาบนเตียง สิ่งที่ตามความหลากหลายมาคือค่าใช้จ่ายแสนแพงที่ผู้จัดจะต้องหามาจ่ายปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะกับนักแสดงที่ยิ่งดัง ยิ่งเล่นเก่ง สวมได้ทุกบทบาท รู้ทุกมุมกล้อง ทำให้ค่าตัวของพวกเธอสูงมากจนผู้จัดบางเรื่องต้องส่ายหน้า เมื่อผู้จัดไม่มีงบมากพอจะจ้างนักแสดง A-List ผลคือต้องลดสเปกจากดาราดังมาเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไป อาจไม่ต้องดราม่าเจ้าน้ำตาได้เก่งเกินใครหรือรู้มุมกล้องเป็นอย่างดี ขอแค่เพียง “สดใหม่ไร้เดียงสา” ก็พอแล้ว ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ในย่านฮาราจูกุเต็มไปด้วยอาชีพหนึ่งทีเรียกว่า แมวมองนักแสดงหนัง AV “ฮาราจูกุ” ย่านที่กลายเป็นเส้นแบ่งขาวดำของสังคมญี่ปุ่น เหล่าแมวมองจากบริษัทหนังต่าง ๆ ต้องแข่งกันหาหญิงสาวที่มีบุคลิกและรูปร่างหน้าตาให้ตรงตามใบสั่งจากบริษัทมากที่สุด แมวมองบางคนโดนสั่งให้หาเด็กนักเรียน บางคนต้องหาสาววัยทำงาน หรือผู้หญิงวัยแม่บ้าน
หลายคนกล่าวถึงความเลวทรามของโลกอาชญากรรมว่าเป็นสิ่งที่ต่ำตมไร้เกียรติ แต่บางคนก็มีมุมมองที่แตกต่างกันและคิดว่าอาชญากรรมที่ฉาวโฉ่ก็ซ่อนสิ่งสวยงามที่โรแมนติกเอาไว้ด้วยเช่นกัน รวมถึงโลกสีดำของประเทศญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยมาเฟียที่เรียกว่า ยากูซ่า ในครั้งนี้ UNLOCKMEN จะพูดถึงวงโคจรที่ไม่อาจก้าวออกมาได้ของหญิงสาวในโลกสีดำที่เหล่าผู้ชายไม่เคยเห็นหรือเคยนึกถึงมาก่อน โดยเล่าผ่านมุมมองและภาพถ่ายของ Chloe Jafe ช่างภาพสาวผู้สร้างคอลเลกชันรูปถ่ายชื่อว่า “命預けます” หรือ “I Give You My Life” ตามคำนิยามที่เธอเขียน ผู้หญิงไม่สามารถเป็นยากูซ่าได้ ดังนั้นโลกของมาเฟียญี่ปุ่นจึงเต็มไปด้วยผู้ชายเสียส่วนใหญ่ แม้กระนั้นบทบาทหน้าที่ที่ไม่ชัดเจนของเหล่าสตรีในโลกสีดำกลับเต็มไปด้วยความน่าสนใจ บางครั้งผู้หญิงญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งที่เป็นสาวธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นแฟนของยากูซ่าแต่ทำงานอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “Grey Area” หรือพื้นที่สีเทา จำพวกบาร์ ร้านเหล้า โรงแรมที่ต้อนรับกลุ่มยากูซ่า ก็จะได้คลุกคลีและพบเจอกับโลกสีดำอยู่บ่อย ๆ และยังมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ก้าวผ่านเขตสีเทาไปยังสีดำอย่างเป็นภรรยาของยากูซ่า และสำหรับบางแก๊ง ผู้หญิงเก่งก็ถือเป็นนายหรือสุดยอดปรมาจารย์ที่ชายผู้มีรอยสักให้การยกย่องถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ถูกเรียกว่ายากูซ่าอย่างเป็นทางการก็ตาม เรื่องราวของพวกเธอหลบซ่อนอยู่ในซอกหลืบ ทำให้ Chloe Jafe ตระหนักว่าหากต้องการรูปถ่ายของพวกผู้หญิงก็จะต้องพบกับหัวหน้าของยากูซ่า เพราะในตามหลักแล้วผู้หญิงจะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เธอเลือกไม่ได้ว่าเธออยากถูกถ่ายภาพไหม และคนที่ตัดสินใจทุกอย่างคือผู้เป็นสามี แต่มันไม่ง่ายนักที่จะเข้าพบกับบอสใหญ่ ความยากนี้ทำให้เธอเกือบถอดใจเตรียมล้มคอลเลกชันภาพที่อยากทำ แต่แล้ววันหนึ่งในงานเทศกาลมีผู้ชายเดินเข้ามาหาและชวนเธอดื่ม ซึ่งชายคนนั้นคือคนที่ทำให้โปรเจกต์ภาพของเธอขยับเข้าสู่ความสำเร็จอีกขั้น เพราะเขาเป็นทายาทที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของตระกูลยากูซ่าที่ทรงอิทธิพล ชายคนดังกล่าวแนะนำให้ Chloe Jafe รู้จักกับภรรยาของเขา การพบกันในครั้งนี้ทำให้ช่างภาพสาวเริ่มเข้าสู่วงสังคมยากูซ่า เธอพบว่าผู้หญิงที่แต่งงานกับคนลำดับสูงของกลุ่มจะมีบอดี้การ์ดหญิงส่วนตัว และเธอก็ยังได้พูดคุยกับบอดี้การ์ดสาวนามว่า
หากเอ่ยถึง Ningen Shikaku หนุ่ม ๆ หลายคนอาจไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ถ้าบอกว่า สูญสิ้นความเป็นคน วรรณกรรมชิ้นเอกของนักเขียนชาวญี่ปุ่นชื่อดัง ดาไซ โอซามุ ก็คงต้องเคยได้ยินกันบ้างอย่างแน่นอน กับงานเขียนชิ้นเอกสะท้อนตัวตนอันแสนขมขื่นที่อัดแน่นไปด้วยความเศร้าบอกเล่าผ่าน โอบะ โยโซ ชายผู้วนเวียนอยู่กับการตั้งคำถาม สุรา นารี และใช้เวลาดำดิ่งไปยังความเศร้าที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งตอนนี้สูญสิ้นความเป็นคนกำลังจะมีหนังที่ได้โครงเรื่องจากหนังสือมาให้เราได้ชมกันแล้ว ทั้งเรื่องราวในหนังสือและภาพยนตร์จะเล่าผ่านโอบะ โยโซ ชายหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตา ความรู้ ฐานะ เติบโตมาในสังคมที่ดีแต่โยโซกลับมองโลกต่างออกไป เขาชอบตั้งคำถามและเก็บรายละเอียดของผู้คน พร้อมกับ “เป็น” ในสิ่งที่ทุกคนอยากให้เขาเป็น ทั้งหมดทำให้โยโซคิดว่าแท้จริงแล้วโลกโหดร้าย จิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งอันตรายที่ยากจะหยั่งถึง ทุกคนต่างมีเบื้องหลังที่ทำให้ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน ซึ่งมนุษย์ที่ว่าก็รวมถึงตัวเขาด้วยเช่นกัน ซ้ำยังมองว่าชีวิตตัวเองตกต่ำเกินกว่าที่จะเรียกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ ถึงแม้จะเศร้าโศกหรือดำดิ่งจนแทบสูญสิ้นความเป็นมนุษย์จนบางครั้งทำให้เขาอยากนำความเศร้าไปแบ่งให้กับคนอื่น แต่โยโซทำกลับตรงกันข้าม เปลือกนอกเขาเป็นชายอารมณ์ดีที่มากด้วยเสน่ห์ คารมดีแต่เป็นคนแปลก และพัวพันกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา เหมือนกับระเบิดเวลาเมื่อเขายิ่งแสดงออกให้ทุกคนเห็นว่ามีความสุขมากแค่ไหน จิตใจของเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อก้าวผ่านวัยหนุ่มที่ถูกจำกัดอยู่ในกรอบ โยโซวัยหนุ่มต้องเจอกับเรื่องราวมากมาย ทั้งเหล้า มอร์ฟีน ปัญหาเรื่องผู้หญิงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง รวมถึงการพยายามพาตัวเองไปถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายสิ่งที่เขาเจอก็คือหน้ากากของผู้คนกับความทุกข์ที่ไม่เคยหายไป และกว่าเขาจะได้จากไปอย่างที่ตัวเองต้องการ เราก็อ่านหนังสือสูญสิ้นความเป็นคนมาถึงบรรทัดสุดท้ายเสียแล้ว ภายใต้ชีวิตที่ทุกข์ระทมของโยโซเกิดขึ้นจากการประพันธ์ของดาไซ โอซามุ ชายที่พยายามจบชีวิตของตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนเช่นเดียวกับตัวละครในงานเขียนของเขา ไม่ว่าจะพยายามกินยาเกินขนาด แขวนคอหรือกระโดดลงแม่น้ำ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้สูญสิ้นความเป็นคนกลายเป็นหนังสือที่ควรอ่านและไม่ควรอ่านในเวลาเดียวกัน จากการรีวิวของเหล่านักอ่านหลายคนที่ไม่แนะนำว่าหากใครกำลังจมดิ่ง อ่อนไหวง่าย หรือเป็นโรคซึมเศร้าไม่ควรจะแตะหนังสือเล่มนี้ รวมถึงคำนำของทางสำนักพิมพ์ยังเขียนไว้ว่า ‘อ่านไปอาจจะได้อารมณ์อ่อนไหวระคนหลักแหลมหม่นหมองประคองอารมณ์
วัยรุ่นเป็นช่วงเวลาแห่งการต่อต้าน เต็มไปด้วยความคิดนอกกรอบเพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง รวมถึงการแสดงออกเพื่อให้สังคมยอมรับ ในประเทศญี่ปุ่นก็มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่มีความคิดเป็นของตัวเอง รวมถึงแฟชั่นที่จัดจ้านโดดเด่น ที่คนทั่วไปเรียกเด็กเหล่านี้ว่า “แยงกี้” UNLOCKMEN สนใจเรื่องราวของกลุ่มแยงกี้และจะพาไปทำความรู้จักกับแก๊งเด็กวัยรุ่นญี่ปุ่นให้มากขึ้นว่าพวกเขาเป็นใคร มีแฟชั่นแบบไหน คิดอะไรอยู่ และทำไมถึงกลายเป็นคนชายขอบของสังคมญี่ปุ่น แท้จริงแล้ว “แยงกี้” คืออะไร ? แยงกี้เป็นคำที่เกิดขึ้นช่วงสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา สำหรับคนทั่วโลกเวลาเรียกแยงกี้จะหมายถึงคนอเมริกันแบบรวม คล้ายกับคำเหยียดดูหมิ่นกลาย ๆ แต่สำหรับคนอเมริกันเองจะมองว่าแยงกี้คือคำที่ใช้เรียกคนทางภาคเหนือของประเทศ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แยงกี้กลายเป็นคำเรียกของทีมเบสบอลชื่อดังของนิวยอร์ก แต่สำหรับแยงกี้ในญี่ปุ่นจะเป็นคำเรียกของนักเลง เด็กเกเรที่ต่อต้านสังคม แยงกี้สไตล์ญี่ปุ่น ความเข้าใจร่วมกันของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อคำว่า “แยงกี้” คือกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่มีวัฒนธรรมและความคิดเฉพาะตัว มีมุมมองหลายเรื่องแตกต่างกับคนอื่น ๆ ในสังคม เช่น แฟชั่น เสื้อผ้า ความชื่นชอบการ์ตูนต่อสู้ อาวุธ การแต่งรถ และค่านิยมแบบลูกผู้ชายญี่ปุ่น ตามคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมาของคนญี่ปุ่น จุดเริ่มต้นของแยงกี้เกิดขึ้นในย่านอเมริกามูระ เมืองโอซาก้าปี 1960-1970 ช่วงเวลาแห่งความสูญเสียจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นบอบช้ำอย่างหนักจากการแพ้สงคราม สภาวะบ้านเมืองย่ำแย่ ผู้คนอยู่ในความสับสน
ความอินดี้ไม่เหมือนใครกับวัฒนธรรมอันโดดเด่นของญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกต่างรับรู้และสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์อนิเมะเหนือจินตนาการ พร้อมกับคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนดังหลายเรื่อง ไปจนถึงแฟชั่นจัดจ้านยากจะเข้าถึง ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศจอมสร้างสีสันและเซอร์ไพร์สใหม่ ๆ ให้กับคนทั่วโลกอยู่เสมอ เช่นเดียวกับการก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าภาพจัดงานกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างโอลิมปิกปี 2020 ที่กำลังจะมาถึง เมื่อได้เป็นเจ้าภาพงานใหญ่ขนาดนี้แน่นอนว่าญี่ปุ่นก็ทำให้คนทั่วโลกต้องอึ้งตั้งแต่ยังไม่ถึงวันงานด้วยการส่ง Gundam อันโด่งออกสู่อวกาศ !!! สำนักข่าว NHK รายงานความเล่นใหญ่ของญี่ปุ่นว่า หน่วยงานหลายฝ่ายต่างจับมือกันร่วมทำโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ชื่อว่า ONE TEAM ทั้งหน่วยงานสำรวจอวกาศของญี่ปุ่น (JAXA) นักบินอวกาศ Noguchi Soichi มหาวิทยาลัยโตเกียว บริษัท Sunrise Inc. ผู้ถือครองลิขสิทธิ์ของ Gundam และ Koyama Chuya นักเขียนมังงะเรื่อง Space Brother โปรเจกต์ยักษ์ที่ว่าคือการสร้างดาวเทียมขนาดเล็กชื่อว่า G Satellite กว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร และสูง 30 เซนติเมตร เตรียมส่งออกนอกอวกาศไปยังส่วนของ JEM หรือในชื่อเต็ม ๆ ว่า Japanese Experiment Module โมดุลห้องทดลองของญี่ปุ่นที่เป็นส่วนหนึ่งของสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ห้องทดลองและสถานอำนวยความสะดวกสำหรับงานค้นคว้าวิจัยในระดับนานาชาติ
ศิลปะมีไว้เพื่อจรรโลงใจ มีไว้เพื่อบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ที่น่าประทับใจ และผลงานศิลปะบางส่วนก็มีไว้เพื่อสะท้อนและเสียดสีสังคม โดยเฉพาะผลงานของศิลปินญี่ปุ่นคนหนึ่งที่มักจะสร้างสรรค์ผลงานเจ็บ ๆ ไว้ให้ระลึกถึงสภาพสังคมแต่ละวันที่เราต้องเผชิญ ว่าเหตุการณ์ทุกคืนวันที่ดำเนินไปมันดีจริง ๆ หรือว่าเรากำลังหลอกตัวเองว่าดีกันแน่ ? บางคนอาจมองว่าตัวเองมีอิสรภาพ แต่สำหรับ Tetsuya Ishida ศิลปินชื่อดังของญี่ปุ่น เจ้าของผลงานภาพวาดที่เต็มไปด้วยการเสียดสีสังคมกลับมองต่างออกไป เขามองว่าถึงแม้แต่ละคนจะมีอิสรภาพแต่มันก็ไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริง เพราะเราทุกคนล้วนถูกจำกัดอยู่ในกรอบเสมอ รวมถึงต้องเคยสูญเสียอิสรภาพไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจหรือไม่ด้วยกันทั้งนั้น การสร้างสรรค์ผลงานของ Tetsuya จะเป็นศิลปะแบบลัทธิเหนือจริงหรือที่เรียกกันว่า Surrealism เต็มไปด้วยความเสียดสีประชดประชัน เผยให้เห็นมุมมองที่เจ็บปวดของผู้คนในสังคมญี่ปุ่น โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางอย่างมนุษย์เงินเดือน เด็กนักเรียน ท่ามกลางบรรยากาศทั่วไปที่ทุกคนจะนึกภาพตามได้ง่าย ทั้งห้องพักรูหนู บ้านขนาดกลาง สถานีรถไฟฟ้า หรือโรงพยาบาล และนำสิ่งไม่มีชีวิตจากงานอุตสาหกรรมมาผสม เช่น โถส้วม รถไถ บันไดเลื่อน เปรียบคนเหมือนกับวัตถุ พยายามบอกเล่าอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในภาพและลดทอนความเป็นมนุษย์ เรื่องราวส่วนมากในผลงานของ Tetsuya จะเป็นช่วงเวลาที่ประเทศญี่ปุ่นเกิดความวุ่นวายทางด้านเศรษฐกิจ หลายบริษัทปลดพนักงานจำนวนมาก บางครั้งก็วาดภาพเด็ก ๆ ที่ต้องรับความกดดันจากครอบครัว ชีวิตที่ตายซากจากการทำอะไรซ้ำ ๆ จนกลายเป็นความเฉยชา แสดงให้เห็นว่าการดิ้นรนเอาตัวรอดจากระบบทุนนิยมบางครั้งก็โหดร้ายกับเรามากเหลือเกิน แม้ว่าผลงานทั้งหมดของเขาจะเสียดสีสังคมญี่ปุ่น แต่พื้นเพครอบครัวของ Tetsuya นับว่าดีกว่าหลายคนมาก เพราะพ่อของเขาเป็นสมาชิกรัฐสภา
หลายต่อหลายครั้งที่เรามักเห็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดหยิบเรื่องราวสุดเท่ของซามูไรมาเล่าเป็นหนัง ไม่ว่าจะเป็น The Last Samurai (2003) หรือ 47 Ronin (2013) รวมถึงหนังที่มีสไตล์การต่อสู้ด้วยดาบซามูไรอย่าง Kill Bill (2003) ซึ่งเรื่องราวของตัวละครหลักส่วนมากมักดำเนินด้วยชาวตะวันตก แต่ในตอนนี้ค่ายหนังใหญ่เตรียมหยิบเรื่องราวของซามูไรผิวสีมามาสร้างความแตกต่างให้หนังซามูไรแบบเดิม Metro-Goldwyn-Mayer (MGM) ไฟเขียวให้กับภาพยนตร์แอคชันอิงประวัติศาสตร์ที่ดึงเรื่องราวสุดเท่ของขุนศึกซามูไรผิวสีชาวแอฟริกันคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ช่วงศตวรรษที่ 16 มาสร้างเป็นหนัง ด้วยเรื่องราวที่ต้องฝ่าฝันทั้งการฝึกฝนและการตั้งคำถามของคนในสังคมช่วงเวลานั้น เพราะการเป็นซามูไรไม่ใช่แค่เดินไปจับดาบ หมั่นฝึกฝนและสามารถเป็นได้ทันที แต่คนส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมองว่าซามูไรถือเป็นฐานันดรที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แล้วยิ่งทาสผิวสีที่เป็นชาวต่างชาตินั้นยิ่งยากเข้าไปใหญ่ และด้วยประเด็นต่าง ๆ จึงทำให้เกิดโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ขึ้น จุดเริ่มต้นของซามูไรผิวสีคนเดียวในประวัติศาสตร์ ในปี 1579 ทาสผิวสีชาว Mozambique นามว่า Yasuke ติดตามรับใช้นักบวชเยซูอิต Alessandro Valignano เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังเกาะญี่ปุ่นที่ห่างไกลเพื่อเผยแผ่ศาสนา แต่เกาะญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้นยังไม่ค่อยมีคนเชื้อชาติอื่นเดินทางเข้ามา Yasuke ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนเอเชียและสีผิวที่แตกต่างทำให้ชาวบ้านไม่คุ้นชินและหวาดกลัวเขา เคยมีคนพบบันทึกบรรยายเกี่ยวกับ Yasuke ว่าเขาเป็นชายร่างกายกำยำสูงถึง 2 เมตร แต่จริง ๆ แล้วตามบันทึกของคณะบาทหลวงเขียนไว้ว่าเขาสูงราว 6 ฟุต หรือประมาณ 182 เซนติเมตร ไม่ได้สูงสองเมตรอย่างที่คนลือกัน