แต่ละประเทศต่างมีธรรมเนียมพิธีสำเร็จการศึกษาต่างกัน ประเทศไทยมีรูปแบบพิธีทางการ ส่วนงานรับปริญญาทางฝั่งอเมริกาให้ความรู้สึกที่เป็นกันเองมากกว่า นักศึกษาอเมริกันสามารถสวมใส่เสื้ออะไรก็ได้ข้างในแล้วจึงสวมชุดครุยทับอีกที แต่สำหรับญี่ปุ่นกลับล้ำกว่าประเทศไหน ๆ เมื่อนักศึกษาทุกคนประชันการแต่งตัวเหมือนอยู่ในงานคอสเพลย์ พิธีรับปริญญาที่ว่าเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านคันไซอย่างมหาวิทยาลัยเกียวโต (Kyoto daigaku) โดยแบ่งช่วงรับปริญญาตามคณะและสาขาวิชาที่เรียน นักศึกษาจากคณะศิลปกรรม คณะดุริยางคศิลป์ รับปริญญาในวันเดียวกัน โดยมหาวิทยาลัยเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและอาจารย์ที่อยู่กับเด็ก ๆ มาตลอด 4 ปี มานั่งในหอประชุมเพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของบัณฑิตใหม่ด้วย บรรยากาศงานดี ๆ แสนอบอุ่นกึ่งทางการที่ใครต่างคิดว่าจะดำเนินไปอย่างเงียบเชียบเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เมื่อนักศึกษาต่างแต่งตัวหลุดโลกเพื่อทำให้งานรับปริญญาของตัวเองเป็นงานที่จะต้องจดจำไม่ลืมไปตลอดชีวิต นายไดซากุ คาโดกาวะ (Daisaku Kadokawa) นายกเทศมนตรีเมืองเกียวโตได้เข้าร่วมงานครั้งนี้ ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์น่าสนใจว่า ตัวเขาก็เป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้เจอเรื่องราวดี ๆ ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนฝูง และถกเถียงด้วยหลักการและเหตุผลในชั้นเรียน “เราต้องมีความสุขก่อน แล้วโลกถึงจะเต็มไปด้วยความสุข” สิ่งที่เราได้ร่ำเรียนอย่างศิลปะ มันสามารถสร้างแรงกระตุ้นที่ทำให้ผู้คนใจเต้น ปลอบโยนจากความเศร้า และสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และเต็มไปด้วยความสนุก ถือเป็นคำพูดที่น่าประทับใจไม่น้อย และในที่สุดพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเกียวโตก็เริ่มต้นขึ้น “เราจะเห็นความสนใจหรือความชอบของแต่ละคนได้จากการแต่งตัว” ประโยคดังกล่าวสามารถยืนยันว่าสไตล์สะท้อนความชอบของคนได้จริงจากงานรับปริญญาครั้งนี้ นักศึกษาจากคณะศิลปะและดนตรีต่างแต่งกายตามใจตัวเอง บางคนมาด้วยชุดกิโมโนซึ่งเป็นชุดประจำชาติที่ใคร ๆ ก็ใส่ บางคนแต่งตัวสไตล์สาวกอธิค บางคนแต่งตัวเป็นสาวแกล ขณะที่นักศึกษาบางคนที่ชอบแอนิเมชันก็แต่งกายตามตัวละครที่ชอบถึงกับใส่หัวแมวขนาดใหญ่มารับปริญญาเลยก็มี มีนักศึกษาสาวคนหนึ่งขึ้นเวทีพร้อมกับชุดแบบจัดเต็ม เธอโปะหน้าขาววอก เกล้าผมขึ้นเป็นมวยใหญ่พร้อมกับเครื่องประดับหลายชิ้นบนศีรษะ แถมยังรำโชว์ทุกคนในหอประชุมก่อนจะรับใบปริญญาด้วย หากเป็นคนที่ชื่นชอบวัฒนธรรมของญี่ปุ่นรวมถึงคนญี่ปุ่นทั่วไปเมื่อเห็นก็จะรู้ทันทีว่าเธอแต่งตัวแบบสาวเกอิชา
หลังจากมอเตอร์ไซค์ดีไซน์สุดแปลกชื่อว่า ‘Kenzo’ ถูกเผยโฉมให้เห็นในงาน Bike Shed London เมื่อปี 2018 ในตอนนี้รถคันเก่งถูกดัดแปลงมาจาก Honda Gold Wing ปี 1977 โดยสำนักแต่งชื่อดังของอังกฤษอย่าง Death Machines ก็พร้อมออกจากอู่เข้าสู่อ้อมอกของเหล่านักซิ่งผู้ชื่นชอบเรื่องราวของซามูไรเป็นที่เรียบร้อย UNLOCKMEN ได้ตามหารายละเอียดของ Honda Gold Wing ที่ถูกปรับแต่งใหม่จนแทบจำไม่ได้นามว่า Kenzo และทราบว่าเป็นชื่อที่ได้มาจาก Tada Kenzo นักแข่งชาวเอเชียคนแรกที่เข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบซึ่งถูกเรียกว่าเป็นสนามสุดอันตรายอย่าง Isle of Man TT ที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี 1907 แต่ก่อนเขาจะกลายเป็นนักแข่งรถจักรยานยนต์ Kenzo เริ่มมาจากนักแข่งจักรยานและเริ่มจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ปี 1921 เมื่อการเติบโตของโลกอุตสาหกรรมพุ่งทะยานไปข้างหน้า รถมอเตอร์ไซค์และการแข่งขันความเร็วได้รับความนิยมเป็นวงกว้างมากขึ้นในประเทศญี่ปุ่น Tada Kenzo ได้รู้จัก Isle of Man TT เป็นครั้งแรกผ่านนิตยสารมอเตอร์ไซค์ของอังกฤษ ทำให้เขาเกิดความสนใจอย่างมาก ในที่สุดปี 1930 นาย Kenzo ตัดสินใจเดินทางไปยังทวีปยุโรป
ถ้าพูดถึงศิลปะของญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลก ใคร ๆ ต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาพพิมพ์แกะไม้ชื่อว่า Ukio-e (อูกิโยะ) เป็นศิลปะญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ศิลปะสไตล์นี้ถูกหยิบมาเกี่ยวข้องกับแฟชั่นอยู่บ่อยครั้ง ความหมายแท้จริงของ Ukio-e ถูกตีความได้หลากหลาย บ้างก็แปลว่า ‘โลกที่มีแต่ความทุกข์’ หรือถ้าแปลตามความหมายของภาษาจีนคือ ‘โลกที่ไม่เที่ยง’ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เข้าต่างเข้าใจตรงกันคือมันเป็นศิลปะที่โด่งสุดขีดในยุคสมัยเอโดะ บอกเล่าทุกสิ่งเกี่ยวกับญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ความเชื่อ วิถีชีวิต ครอบครัว ตำนานปีศาจ โสเภณี เซ็กซ์ ซามูไร ไปจนถึงเรื่องราวในราชสำนักและศาสนา ถูกเล่าผ่านลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ร่วมกับสีสันสุดโดดเด่น แถมยังมีราคาขายเริ่มต้นที่ชนชั้นกลางสามารถจับต้องได้ ทำให้ทุก ๆ คนสามารถเข้าถึงศิลปะได้อย่างแท้จริง Ukio-e จึงเปรียบเสมือนวัฒนธรรมป๊อปแห่งยุคเอโดะเลยก็ว่าได้ สำหรับปี 2019 ญี่ปุ่นได้นำศิลปะที่กลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลักในยุคเอโดะมาปรับให้เข้ากับแฟชั่น โดยถ่ายทอดนักรบซามูไรหนุ่มบนแผ่นไม้สไตล์ Nikuhitsu-ga ซึ่งเป็นศิลปะที่แยกย่อยออกมาจาก Ukio-e อีกที นำเรื่องราวและสีสันอันน่าทึ่งมาอยู่บนสนีกเกอร์รุ่น RS-X³ ของแบรนด์ Puma เมื่อ Ukio-e ขึ้นชื่อว่าเป็นศิลปะอันโด่งดังของญี่ปุ่น จะให้หยิบภาพพิมพ์แกะไม้มาสักชิ้นแล้วเอาสีมาเพ้นต์ลงบนรองเท้าให้เสร็จไปก็คงจะไม่ใช่ญี่ปุ่น โปรเจกต์การทำสนีกเกอร์รุ่น RS-X³ ให้เต็มไปด้วยเรื่องราวของวันวานจากเอโดะจึงเริ่มต้นขึ้นจากการร่วมมือกันของหลายกลุ่มทั้ง Atmos ร้านรองเท้าจากโตเกียว Puma แบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องกีฬาจากเยอรมนี
คุณเคยเห็นคนโดนมัดไหม? น่าจะเคย แล้วคุณเคยเห็นคนโดนมัดแล้วดูมีความสุขปนงดงามหรือเปล่า? คุณอาจสงสัยว่าเมื่อเรือนร่างถูกพันธนาการด้วยเส้นเชือกทบแล้วทบเล่า เนื้อถูกบีบ เรือนร่างถูกเน้น แล้วเราจะรู้สึกเป็นสุข รู้สึกงดงามหรือแม้กระทั่งรู้สึกราวกับถูกปลดปล่อยได้อย่างไร? มนุษย์เราคงไม่อาจถูกปลดปล่อยจากการมัดได้ ถ้าไม่ได้รู้จักชิบาริ (Shibari) ศิลปะแห่งเส้นเชือกจากแดนอาทิตย์อุทัย และหากว่าคุณยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าชิบาริคืออะไร NIHON STORIES จะพาคุณดำดิ่งไปในศาสตร์และศิลป์นี้ไปพร้อม ๆ กัน การใช้เชือกพันธนาการร่างกายเพื่อลงโทษ จุดเริ่มต้นของการนำเชือกมาพันธนาการร่างกายมนุษย์ของชาวญี่ปุ่นไม่ได้เริ่มต้นมาจากเรื่องเซ็กซ์ แต่เริ่มมาจากการมัดเพื่อลงโทษ โดยใช้ศิลปะการป้องกันตัวแบบโบราณที่เรียกว่า โฮโจจุตสึ (Hojojutsu) มาพันธนาการนักโทษทั้งชาย-หญิง เชลยศึกต่างเมือง ตัวประกัน และภรรยาหรือบุตรสาวของขุนนางระดับสูงที่ทำความผิด ซึ่งการมัดจะเริ่มมีบันทึกแน่ชัดช่วงยุคมุโรมาจิ (Muromachi-jidai) แต่แพร่หลายมากในยุคเอโดะ เหตุที่ต้องใช้เชือกมามัดแทนการจับผู้กระทำผิดยัดเข้าตารางเป็นเพราะญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้นขาดแคลนทรัพยากรเหล็ก การใช้เหล็กต้องสงวนไว้สำหรับของจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ทำให้คุกแน่นหนามีไม่มากในญี่ปุ่น เชือกจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแทนการขังนักโทษไว้ในลูกกรงเหล็ก จุดมุ่งหมายหลักของการมัดของชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณคือ พยายามทำให้ผู้ถูกมัดรู้สึกอับอายคล้ายกับว่าถูกประจาน ผู้ถูกมัดจะรู้สึกทรมานและอยากได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการเร็ว ๆ ซึ่งการมัดเพื่อลงโทษจะสามารถแบ่งระดับความรุนแรงได้ 4 ขั้น ตามแต่โทษหนักเบา เริ่มจากระดับแรกคือมัดแล้วโบย ระดับต่อมาคือการมัดแล้วปาหินใส่ ระดับที่สามหนักขึ้นมาอีกด้วยการจับนักโทษมามัดเชือกให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม ให้ร่างกายงอเหมือนกุ้งจากนั้นนำไปแขวนเพื่อประจานให้อับอาย ส่วนระดับสุดท้ายจะต้องมัดให้แน่นหนาดิ้นไม่หลุดและทำให้ผู้ถูกมัดรู้สึกทรมานที่สุด แต่ต้องไม่ให้เชือกทำให้ร่างกายนักโทษถึงขั้นหลอดเลือดอุดตันหรือทำลายเส้นประสาท แม้ถูกมัดทิ้งไว้เป็นเวลานาน ซึ่งข้อบังคับเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการมัดเพื่อลงโทษของคนญี่ปุ่นสมัยโบราณก็มีกฎที่เคร่งครัด เป็นศาสตร์ที่ไม่ใช่การมัดอย่างไรก็ได้ตามใจ
เรื่องเล่าลี้ลับที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงตัวตนและพลังอำนาจของปีศาจ สัตว์ประหลาด หรือผีเป็นสิ่งที่มีอยู่ทุกเมืองทั่วโลก แต่ละชุมชนต่างก็มีเรื่องราวภูตผีประจำถิ่นเป็นของตัวเอง อย่างฝั่งยุโรปมีตำนานแดรกคูลา ทางอเมริกาเหนือมีตำนานเยติ หรือประเทศไทยมีกระหัง กระสือ ผีปอบที่ถูกทำเป็นหนังหลายต่อหลายภาค ส่วนเมืองเกาะมีผู้คนอาศัยมานานอย่างญี่ปุ่นก็มีเรื่องเล่าตำนานปีศาจน่ากลัวเช่นเดียวกัน ในวันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ เฮียกคิยาโก (Hyakki Yakou) หรือชื่อภาษาไทยทรงพลังว่า ‘ขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล’ เพราะการเจอภูตผีปีศาจเพียงแค่ไม่กี่ตนอาจสร้างความสะพรึงกลัวให้กับผู้คนสมัยก่อนไม่มากพอเท่ากับกองทัพปีศาจ เรื่องเล่าสุดคลาสสิกของขบวนร้อยอสูร ถ้าเป็นกลุ่มคนไม่เชื่อเรื่องผีพอได้ยินคำว่าขบวนร้อยอสูรก็คงจะสงสัยหลายอย่าง เช่น ทำไมถึงต้องมี 100 ตน แล้วพวกเขากำลังเดินทางไปไหน ขณะที่ลูกเด็กเล็กแดงในญี่ปุ่นพอได้ยินชื่อของเฮียกคิยาโกก็ร้องไห้เพราะความกลัวไปแล้ว เรื่องราวของเฮียกคิยาโกะเริ่มต้นขึ้นจากบุคคลนิรนามที่ชื่นชอบเรื่องผี ตำนานปีศาจ เขาจึงออกเดินทางไปทั่วเกาะญี่ปุ่นเพื่อค้นหาคำตอบของตำนานผี แต่ละพื้นที่ก็มีประเภทของปีศาจแตกต่างกันไป เมื่อเขาเดินทางพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ จนพอใจจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาเขียนและวาดภาพรวมผีคล้ายกับกำลังเดินขบวนกันอยู่ บันทึกของบุคคลนิรนามที่เดินทางไปทั่วญี่ปุ่นทำให้ผู้คนรู้จักปีศาจประเภทต่าง ๆ มากขึ้น แถมนอกภาพวาดและบันทึก ยังมีคำบอกเล่าของเหล่าชาวบ้านสมัยยุคเฮอัน ว่าระหว่างกำลังเดินทางข้ามเมืองช่วงฤดูร้อนเห็นขบวนปีศาจจำนวนมากเดินไปทั่วชานเมือง ในขบวนมีปีศาจกว่าร้อยชนิด บ้างก็ว่าเห็นปีศาจหลายตัวลอยอยู่เหนือบ้านคน ซึ่งเมืองที่ถูกพูดว่าพบเห็นปีศาจเยอะสุดก็หนีไม่พ้นเมืองหลวงเก่าแก่อันรุ่งโรจน์อย่างเกียวโต ถ้าเป็นแค่ขบวนที่มีแต่คนแปลก ๆ อาจสร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับเด็ก ๆ และชาวบ้านไม่มากพอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มมีข่าวลือว่าหากใครเห็นเฮียกคิยาโกหรือขบวนร้อยอสูรแล้วจะต้องตายเพราะถูกสาป แต่น่าแปลกที่คนเห็นกลุ่ม แรก ๆ กลับรอดมาเล่าให้ฟังได้ ตำนานที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาเรื่อย
‘ยากูซ่า’ เป็นกลุ่มคนที่อยู่ในสังคมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน เป็นทั้งคนชายขอบที่คนอื่น ๆ ในสังคมไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว และในเมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่าโกเบของจังหวัดเฮียวโงะก็มีคนกลุ่มหนึ่งเขียนประวัติศาสตร์ในแบบฉบับของตัวเองขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า ยามากุจิ-กูมิ (Yamagushi-Gumi) แรกเริ่มเดิมทีไม่มีใครสนใจพวกเขา มองว่าเป็นแค่อันธพาลข้างถนนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไร้อำนาจ แต่ใครจะรู้ว่าช่วงเวลากว่า 100 ปี นับตั้งแต่ตั้งกลุ่ม พวกเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นแก๊งยากูซ่าที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก จุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ ในปี 1915 หลายปีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้นขึ้น มีแก๊งอันธพาลขนาดเล็กชื่อว่า ยามากุจิ-กูมิ (Yamagushi-Gumi) ในเมืองโกเบ ก่อตั้งโดยชายนามว่ายามากูจิ ฮารุกิจิ (Yamagushi Harukishi) หลาย ๆ คนเชื่อว่าฮารุกิจิผู้ตั้งแก๊งของตัวเองขึ้นในวันนั้นคงไม่คาดคิดว่ากลุ่มของเขาจะเติบโตและขยายจนกลายเป็นองค์กรมืดที่มีอิทธิพลมากสุดของประเทศญี่ปุ่น ในช่วงแรกแก๊งยามากุจิ-กูมิ อาจยังไม่มีบทบาทอะไรโดดเด่นนักจนกระทั่งทาคาโอะ คาซุโอะ (Takao Kasuo) ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแก๊งรุ่นที่ 3 เขาจัดการเปลี่ยนแปลงระบบแก๊งใหม่ทั้งหมด เพราะคาซุโอะเป็นชายผู้มีมันสมองไม่น้อยกว่าความสามารถเรื่องการต่อสู้ เขาเริ่มเรียกร้องให้สมาชิกที่มีอยู่แค่หยิบมือทำอะไรมากกว่าใช้ชีวิตไปวัน ๆ กระตุ้นให้ทุกคนเริ่มทำธุรกิจสีเทาเพื่อขยายให้ยามากุจิ-กูมิ เติบโตและทรงอิทธิพลกว่าเดิม เมื่อกลุ่มเริ่มขยายจากการสร้างธุรกิจเล็ก ๆ และมีสมาชิกเพิ่มขึ้น หัวหน้ารุ่นที่ 3
ถ้าเอ่ยถึง ‘มุราคามิ’ ผู้ชายที่ชอบอ่านหนังสือก็จะนึกถึง ฮารุกิ มุราคามิ นักเขียนชื่อดังที่สร้างสรรค์วรรณกรรมที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองจนถูกเรียกว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่าเรื่อง แต่บางคนก็จะนึกถึง ‘ทากาชิ มุราคามิ’ ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่เคยเข้ามามีอิทธิพลกับเหล่าวัยรุ่นไทยด้วยการวาดดอกไม้ยิ้มที่คนเรียกกันว่า ‘ดอกมุราคามิ’ ดอกไม้ลายเส้นง่าย ๆ สีสันสดสน ที่กระทั่งวันนี้หลาย ๆ คนก็ยังไม่เข้าใจว่าดอกไม้ที่ว่านั้นมันได้รับความนิยมและมีราคาแพงจากอะไร แต่ในวันนี้เราจะไม่ได้มาพูดถึงดอกไม้ของมุราคามิ แต่จะย้อนไปก่อนที่เขาจะโด่งดังจากผลงานอื้อฉาวที่เหล่านักวิจารณ์บางคนต้องเบือนหน้าหนี เพราะผลงานของเขาแม้จะเป็นรูปของตัวการ์ตูนหน้าตาน่ารักแต่มันกลับซ่อนเรื่องราวทางเพศเอาไว้ ความบ้าคลั่งทางจินตนาการที่กลั่นออกมาเป็นผลงานศิลปะทำให้เขาถูกเรียกว่าเป็น ‘ราชาโอตาคุ’ ผลงานสุดอื้อฉาวที่ทำให้โลกรู้จักชื่อของ TAKASHI MURAKAMI หากต้องนิยามถึงอาชีพของทากาชิ มุราคามิ ก็จะพบว่าเขาเป็นชายที่ทำอะไรที่หลายอย่าง เขาเป็นทั้งจิตรกรที่มีผลงานสไตล์ pop art เป็นนักปั้น ภัณฑารักษ์ อาจารย์มหาวิทยาลัย และนักวิจารณ์ โดยใช้แรงบันดาลใจหลักๆ จากความชอบของตัวเองคือมังงะรวมถึงแอนิเมะมาสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง เมื่อรู้ดีว่าตัวเองชอบอะไร สิ่งต่อมาที่จะทำให้ผลงานของเขาประสบความสำเร็จคือการจับความชอบมาผสมผสานกับอะไรก็ตามที่โดดเด่นและเป็นตัวของตัวเอง ผลงานของเขาจะต้องบอกเล่าตัวตนและไม่ซ้ำใคร เมื่อคิดได้ดังนั้นมุราคามิจึงนำวัฒนธรรมป๊อปมารวมกับลายเส้นการวาดแบบญี่ปุ่นโบราณ เป็นการผสมผสานที่ศิลปินในช่วงเวลานั้นไม่นิยมจับความใหญ่และเก่ามารวมกันเพราะมองว่าการรวมกันแบบนี้มันดูพิลึกพิลั่นเกินไป แต่มุราคามิกลับมองว่าน่าสนใจ นอกจาก pop culture กับลายเส้นแบบญี่ปุ่นโบราณแล้ว มุราคามิยังนำเฮนไต (Hentai) สื่อลามกที่แพร่หลายอยู่ในโลกใต้ดินของประเทศญี่ปุ่นที่ยังเป็นวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่ม และถูกมองว่าเป็นผลงานสำหรับ ‘คนตลาดล่าง’ มาร่วมกับผลงานประติมากรรมจากวัสดุไฟเบอร์ของตัวเองจนได้รูปปั้นตัวการ์ตูนผู้หญิงที่ชื่อว่า Hiropon
ถ้าพูดถึงนักสู้หรือชนชั้นนักรบของสังคมญี่ปุ่นสมัยก่อน คนทั่วไปก็จะนึกถึงซามูไรเป็นอย่างแรก นึกถึงโรนิน หรือแม้กระทั่งชื่อของการปลิดชีพตัวเองอย่างเซ็มปุกุ (ฮาราคีรี) แต่ถ้าถามว่ารู้จัก อนนะ บุเกอิชา (Onna Bugeisha) หรือไม่ ? คำตอบส่วนใหญ่คือ “ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินมาก่อน” ทั้งที่คนกลุ่มนี้มีบทบาทมากในสงครามญี่ปุ่น น่าเศร้าที่ความแข็งแกร่งของ อนนะ บุเกอิชา ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากเท่าไหร่ UNLOCKMEN จึงอยากเล่าเรื่องราวโคตรเท่ของกลุ่มอนนะ บุเกอิชา รวมถึงตำนานความโหดกลางสนามรบของโทโมเอะ โกเซ็น (Tomoe Gozen) สตรีที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นซามูไรหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น “เพราะซามูไรไม่ได้รบเพียงลำพัง แต่ยังมีสตรีที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน” ONNA BUGEISHA เรื่องราวของกลุ่มหญิงสาวที่หันมาจับดาบ อนนะ บุเกอิชา คือกลุ่มสตรีญี่ปุ่นที่ลุกขึ้นมาจับอาวุธวิ่งเข้าสู่สมรภูมิไม่ต่างจากซามูไร พวกเธอแตกต่างจากหญิงญี่ปุ่นทั่วไปที่ต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน หญิงจากตระกูลดีต้องเรียนรำ ชงชาตามประเพณีอันดีงาม ส่วนหญิงชาวบ้านต้องฟังสามี หลักฐานทางประวัติศาสตร์บางชิ้นระบุไว้ว่าในช่วงศตวรรษที่ 16-18 ประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นก๊กเป็นเหล่าและทำต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่เขตแดน ในสงครามก็มีอนนะ บุเกอิชา หรือซามูไรหญิงเข้าร่วมรบเป็นจำนวนมาก จุดเริ่มต้นของ อนนะ บุเกอิชาไม่มีที่มาที่ไปแน่ชัด บ้างก็ว่าเกิดขึ้นในยุคเฮอัง บางคนก็คาดว่าเกิดขึ้นในยุคคามากุระ แต่เหตุผลทำให้หญิงสาวจับอาวุธเกิดขึ้นเมื่อสามีหรือพ่อต้องออกไปทำสงคราม เมื่อชุมชนไร้ชายชาตรีมีแต่ผู้หญิง เด็ก และคนแก่ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันพวกเธอจะต้องดูแลตัวเอง
การ์ตูนญี่ปุ่นหรือมังงะ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อยู่คู่กับผู้ชายไทยมาตั้งแต่เด็กจนโต บางคนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็อาจเลิกอ่านมังงะหันไปชื่นชอบสิ่งอื่นแต่สำหรับใครหลายคนมังงะเหมือนกับเพื่อนคู่ใจที่โตมาด้วยกัน เพราะไม่ว่าวันไหนที่เหนื่อยจากการเรียนหนัก หรือท้อจากชีวิตการทำงาน เพียงแค่กลับมาที่ห้องและพักผ่อนไปกับการ์ตูนเรื่องโปรดก็สามารถทำให้เรามีแรงไปสู้ต่อในวันรุ่งขึ้นได้แล้ว UNLOCKMEN ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มคนที่เติบโตมากับมังงะด้วยเช่นกัน จึงทำให้เราอยากพาหนุ่ม ๆ ทุกท่านมาพบกับ 5 อันดับมังงะจาก Shonen Jump นิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ของสำนักพิมพ์ Shueisha ที่ตีพิมพ์มานานกว่า 51 ปี ว่ามังงะเรื่องไหนจะโดดเด่นทั้งเรื่องราวและตัวละครจนได้รับความนิยมจากผู้ชมมาโดยตลอด อันดับ 5 SLAM DUNK ถ้าพูดถึงมังงะเกี่ยวกับกีฬาบาสเกตบอลใคร ๆ ก็จะต้องพูดถึงเรื่อง Slam Dunk อย่างแน่นอน ผลงานจากอาจารย์ Inoue Takehiko ทั้งหมด 31 เล่ม สามารถจำหน่ายได้มากกว่า 100 ล้านเล่มทั่วโลก Slam Dunk เป็นมังงะที่สามารถถ่ายทอดความสุขและความเศร้าของเหล่านักกีฬาจำเป็นได้อย่างครบถ้วน เพราะตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กอันธพาลเกลียดการเล่นบาสฯ แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจเดินเข้าสนามแข่งเพื่อแย่งลูกกลม ๆ ยัดลงห่วง เพียงเพราะสาวที่เขาแอบปลื้มชื่นชอบนักกีฬาบาสเกตบอล จึงทำให้เรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเด็กหนุ่มไม่สนใจกีฬาบาสได้มาอยู่ในวงการ สัมผัสกับความฝันของคนในทีม
“ฉันต้องเป็นราชาโจรสลัดให้ได้เลย!” สำหรับแฟน ๆ การ์ตูนเรื่อง One Piece ต้องคุ้นเคยกับประโยคแสนมุ่งมั่นของลูฟี่หมวกฟางอย่างแน่นอน การ์ตูนโจรสลัดอารมณ์ดีที่ผู้ชายหลายคนเฝ้าอ่านเฝ้าติดตามดูเรื่องราวของกลุ่มโจรสลัดนี้เรื่อยมาตั้งแต่เด็กจนโต และไม่น่าเชื่อว่าในปี 2019 แอนิเมชันเรื่อง One Piece จะเดินทางมาถึงปีที่ 20 แล้ว พร้อมกับการปล่อยตัวอย่างของแอนิเมชัน The Movie ลำดับที่ 14 ที่จัดเต็มความยิ่งใหญ่สำหรับเรื่องราวกว่า 20 ปี อันแสนยาวนาน UNLOCKMEN เองก็เป็นแฟนคลับการ์ตูน One Piece ไม่ต่างจากใคร ๆ ดังนั้นเมื่อแอนิเมชันเรื่องนี้เข้าฉายในประเทศไทยแถมยังครบรอบ 20 ปีอีก เราจึงไม่พลาดหยิบเรื่องราวของ One Piece The Movie มาร้อยเรียงให้เห็นถึงการเติบโตมาด้วยกันระหว่างคนดูและตัวละคร พร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความทรงจำ และความประทับใจที่ได้จากการ์ตูนเรื่องนี้ร่วมกัน แต่ละก้าวเดินของ ONE PIECE THE MOVIE นับตั้งแต่ One Piece The Movie ภาคแรกออกฉายเมื่อปี