Casio ถือว่าทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่ต้นปี ไม่ว่าจะเป็น G-Shock คอลเลกชัน Gundam หรือนาฬิกาที่รับแรงบันดาลใจจากสายรุ้ง และครั้งนี้ในงานนาฬิการะดับโลก Baselworld 2019 ที่ผ่านมา Casio ก็ยังเรียกเสียงฮือฮาอย่างต่อเนื่องด้วยนาฬิการุ่นพิเศษที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของซามูไร คล้ายกับว่าเป็นธรรมเนียมไปแล้วสำหรับ Casio กับงาน Baseworld เพราะในปี 2017 และ 2018 เปิดตัวนาฬิกา G-Shock ที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีให้เข้ากับวัฒนธรรมสไตล์ญี่ปุ่นรหัส MRG G2000HA-1A ที่นำขั้นตอนการผลิตดาบของ Biho Asano ช่างตีดาบรุ่นที่สามของตระกูลผู้ผลิตดาบซามูไรมาปรับใช้สำหรับผลิตนาฬิกาข้อมือ ทำให้ราคาพุ่งสูงเกือบสามแสนบาท สำหรับ G-Shock MR-G ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของซามูไรในปี 2019 ก็เรียกความสนใจของเหล่าผู้ชื่นชอบนาฬิกาได้เป็นอย่างดี โดยรุ่นรหัส MRG G2000G-1A จะใช้สีหลักคือสีม่วง ผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกับไทเทเนียมและทำให้พื้นผิวของโลหะเป็นลายเฉพาะตัว จากนั้นชุบด้วย AIP (Arc lon Plating) ซึ่งเป็นการเคลือบผิวแบบเดียวกับเครื่องบินเจ็ต ตัวเรือนทำจากสเตนเลสสตีล หน้าปัดนาฬิกาจะใช้โทนสีเข้มเป็นหลัก จากนั้นใช้สีแดง-ขาว แบบเดียวกับที่อยู่บนธงชาติญี่ปุ่นแต้มตรงขอบ ขีดบอกเวลา และเข็มวินาที โดดเด่นด้วยสีแดงสดให้ง่ายต่อการดูเวลา กระจกคริสตัลแซฟไฟร์ทนทานต่อรอยขีดข่วน
ยุคสมัยเฮเซที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1989 เพิ่งผ่านพ้นไป การก้าวเข้าสู่ยุคสมัยเรวะของญี่ปุ่นครั้งนี้มีหลายสิ่งที่สื่อทั่วโลกต่างพูดถึงโดยหนึ่งในนั้นคือเรื่องราวแสนโรแมนติกของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะกับสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ UNLOCKMEN ก็เองก็สนใจในเรื่องราวหอมหวานนี้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อทิ้งท้ายกับยุคสมัยเก่าเราจึงอยากเล่าเรื่องรักแรกและรักเดียวที่ต้องก้าวข้ามผ่านอุปสรรคของทั้งสองพระองค์ที่กินใจคนทั่วทั้งโลก ช่วงสมัยที่จักรพรรดิโชวะผู้เป็นบิดากำลังครองราชย์ ตามลำดับการสืบสันตติวงศ์ของญี่ปุ่นเจ้าชายอากิฮิโตะทรงเป็นทายาทอันดับหนึ่งของราชบัลลังก์เบญจมาศตั้งแต่ประสูติ และทรงเข้ารับพระราชพิธีสถาปนาเป็นมกุฎราชกุมารเมื่อปี 1951 แต่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวความรักที่จับใจคนทั้งโลกเริ่มต้นขึ้นที่สนามเทนนิสเมื่อปี 1957 เจ้าชายอากิฮิโตะทรงโปรดการเล่นกีฬาเทนนิสเป็นอย่างมาก และกีฬานี้ก็ทำให้พระองค์พบกับรักแรกกับหญิงสาวคนหนึ่งบนคอร์ดเทนนิสในเมืองคารุอิซาวะ เธอคนนั้นมีชื่อว่าโชดะ มิชิโกะ บุตรสาวของตระกูลนักธุรกิจที่อยู่ในเครือ Nisshin Seifun Group หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชื่อดังที่คนไทยเห็นผ่านตาอยู่บ่อย ๆ หลังจากที่ทั้งสองได้พบเจอกันที่สนามเทนนิสก็เริ่มคบหาดูใจกัน สื่อต่างสนใจเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองและเรียกว่า ‘Romance of thr tenis court’ เจ้าชายอากิฮิโตะทรงต้องการสานสัมพันธ์จริงจังกับมิชิโกะ และมีครั้งหนึ่งที่พ่อของมิชิโกะได้รับสารจากมกุฏราชกุมารเพื่อขอลูกสาวแต่เขาตอบกลับไปแค่ว่า “ลูกสาวของหม่อมฉันไม่คู่ควรกับพระองค์” เจ้าชายอากิฮิโตะทรงทราบว่าพ่อของมิชิโกะไม่อยากให้เธอเข้าสู่รั้ววังเพราะกังวลเรื่องฐานันดรและความกดดันที่เธอจะได้รับ เพราะถึงแม้ว่าโชดะ มิชิโกะมาจากตระกูลนักธุรกิจที่รำ่รวย จบปริญญาตรีสาขาวรรณคดีอังกฤษด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 และศึกษาต่อในหลักสูตระยะสั้นที่ฮาร์วาร์ดและออกซฟอร์ด แต่ถึงจะฉลาดและมีความสามารถมากแค่ไหนเธอก็คือสามัญชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ตามธรรมเนียมปฏิบัติยาวนานหลายร้อยปีของราชวงศ์ญี่ปุ่น สมาชิกราชวงศ์มักจะอภิเษกสมรสกับเครือญาติเพื่อรักษาเชื้อสายราชวงศ์ ก่อนที่เจ้าชายอากิฮิโตะจะพบกับมิชิโกะ พ่อของมิชิโกะคงไม่คิดว่าอยู่มาวันหนึ่งเจ้าฟ้าชายจะมาตกหลุมรักลูกสาวเขา ในช่วงปี 1950 จึงได้หาคู่ดูตัวให้กับลูกสาว หมายมั่นปั้นมือให้ลูกสาวของเขาแต่งงานกับมิชิมะ ยูกิโอะ นักเขียนชื่อดังที่เรียกตัวเองว่าเป็นซามูไรคนสุดท้าย ถึงแม้ว่าครอบครัวทางฝ่ายโชดะยังกังวลหลายเรื่องที่เจ้าชายอากิฮิโตะและมิชิโกะคบหากัน แต่พระองค์ก็ไม่ย่อท้อกับความรักครั้งนี้ ทั้งสองติดต่อหากันอยู่บ่อยครั้งด้วยการเขียนจดหมายพร้อมกับคำหวานจับใจความได้ว่า “หากไม่ได้อยู่กับมิชิโกะ ชาตินี้คงนอนตายตาไม่หลับ” ความรักครั้งนี้ทำให้ผู้คนในเวลานั้นต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ
ศิลปะตะวันออกถือเป็นเทคนิคงานศิลป์ที่ทั่วโลกต่างยอมรับ ผลงานของแต่ละพื้นที่ในทวีปเอเชียก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป เช่นการวาดภาพสไตล์ญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์และมักถูกหยิบมาปรับให้เข้ากับแฟชั่นปัจจุบันบ่อยครั้งโดยครั้งนี้งานเส้นแบบอูกิโยะจะมาอยู่บนรองเท้าผ้าใบ Flying Hawk Studio ที่ขึ้นชื่อเรื่องงานรองเท้าทำมือร่วมมือกับ Simple Union แบรนด์แฟชั่นที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 และมักจะสร้างสรรค์ผลงานเครื่องหนังและสินค้าทำมือ ทั้งสองได้ดีไซน์ลวดลายของ Air Force 1 ของแบรนด์ดังอย่าง Nike ที่ใส่สไตล์ตะวันออกของเกาะญี่ปุ่นมาเต็มเปี่ยม รองเท้าคู่นี้มีชื่อเท่ ๆ ว่า Nike Air Force 1 “Ukiyo-E” รู้จักกันว่าภาพอูกิโยะ มีความหมายว่าโลกที่มีแต่ความทุกข์ หรือถ้าอ่านตามภาษาจีนจะเป็นโลกนี้ไม่เที่ยง เป็นศิลปะญี่ปุ่นช่วงเอโดะเน้นบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชนชั้นกลางไปจนถึงประวัติศาสตร์ เรื่องราวในราชสำนัก และศาสนา และวางขายในราคาที่ชนชั้นกลางสามารถจับต้องได้ ทั้งสองข้างจะมีจุดเด่นด้วยวงกลมสีแดงขนาดใหญ่แต้มสีทับ Swoosh สัญลักษณ์ของแบรนด์ Nike ตัวแทนของธงชาติญี่ปุ่น โดยรองเท้าข้างซ้ายมีลวดลายของเกลียวคลื่นแบบผลงานภาพพิมพ์แกะไม้คลื่นยักษ์นอกฝั่งคะนะงะวะของ คาสึชิกะ โฮะกุไซ ศิลปะชื่อก้องโลกแห่งศตวรรษที่ 19 แสดงถึงการบรรจบกันของศิลปะญี่ปุ่นและตะวันตกโดยทาง Simple Union และ Flying Hawk ก็ไม่ลืมภูเขาไฟฟูจิที่เป็นฉากหลังของผลงานมาไว้บนรองเท้าด้วยเช่นกัน ส่วนลวดลายทางด้านขวาถูกแต่งแต้มด้วยก้อนเมฆสุดคลาสสิกสีฟ้าสดใส มีทั้งสีน้ำเงินเข้มไปจนถึงสีฟ้าอ่อนที่อยู่บน Swoosh ส่วนด้านหน้าตรงบริเวณเชือกสร้างเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครด้วยศิลปะแบบญี่ปุ่นอันเลื่องชื่อ
ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของญี่ปุ่นนับตั้งแต่ปี 1989 อย่างการเปลี่ยนยุคสมัยจากเฮเซย์มาเป็นเรวะที่จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤษภาคมของปีนี้ ส่งผลให้สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะพร้อมด้วยพระจักรพรรดินีมิชิโกะเสด็จพระราชดำเนินไปยังศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีบอกกล่าวบรรพบุรุษว่าจะสละราชสมบัติ แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของใครหลายคนคือดาบในตำนานที่จะถูกนำออกมาให้เห็นอีกครั้ง องค์จักรพรรดิอากิฮิโตะทรงเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์สามอย่างที่ประกอบด้วยดาบคุซานางิ อัญมณียาซากะนิ และกระจกยาตะที่ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์โบราณ โดยเฉพาะกับตำนานมากมายของดาบคุซานางิที่เป็นตัวแทนของความกล้าหาญและภาคภูมิของคนญี่ปุ่น ตำนานนานงูยักษ์แปดหัว เทพวายุ ซู ซาโนโอะถูกเนรเทศให้ลงมายังโลก เขายื่นมือเข้าช่วยเหลือหญิงชาวบ้านที่กำลังถูกงูยักษ์แปดหัว ยามาตะ โน โอโรจิพาตัวไปจากหมู่บ้าน เทพวายุซูซาโนโอะใช้ค่ายกลประตูแปดบาน วางไหเหล้าสาเกไว้ทุกประตูบ้านและนำหญิงสาวคนอื่นในหมู่บ้านซ่อนไว้ด้านในสุด เมื่อยามาตะ โน โอโรจิเห็นไหสาเกก็ไม่รอช้าที่จะพุ่งหัวทั้งแปดเข้าไปในประตูทุกบานและงับไหเหล้า ส่งผลให้ ซู ซาโนโอะสามารถตัดหัวงูยักษ์ทั้งหมดได้ เมื่อปราบงูยักษ์สำเร็จ เขาพบกับดาบวิเศษที่ฝังอยู่ในหางของงู เขาจึงนำดาบที่ว่าเก็บกลับไปให้เทพีอามาเทราสุแห่งพระอาทิตย์ซึ่งเป็นน้องสาวให้เป็นผู้เก็บไว้ ซึ่งเทพีอามาเทราสุเป็นต้นตระกูลของจักรพรรดิญี่ปุ่น และดาบวิเศษที่ชื่อว่าคุซานางิก็เป็นดาบประจำตระกูลที่อยู่คู่บัลลังก์และส่งต่อมายังรุ่นสุ่รุ่นจนถึงยุคปัจจุบัน ตำนานดาบคุซานางิที่ตัดไฟราบเป็นหน้ากอง สมัยสมเด็จพระจักรพรรดิเคโกะ จักรพรรดิองค์ที่ 12 ของญี่ปุ่นมีลูกชายฝาแฝดชื่อทาเครุทั้งสองคน เมื่อทั้งคู่อายุได้ 15 ปี พี่น้องเกิดฆ่ากันเองโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ ทำให้พระบิดาไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวไม่มีผู้สืบทอดบัลลังก์ จึงตัดสินใจส่งโอรสองค์เดียวที่เหลือไปปราบกบฎทางตอนใต้สุดของอาณาจักร ก่อนที่ทาเครุจะออกเดินทางเขาได้แวะขอพรกับเจ้าป้าที่เมืองอิเซะพร้อมได้ดาบ เสื้อคลุม และผ้านุ่งสำหรับออกศึก หลังจากที่ทาเครุสามารถปราบกบฎสำเร็จเขากลับมายังพระราชวังและหวังว่าบิดาจะหายโกรธเขา แต่จักรพรรดิเคโกะออกคำสั่งให้เขาออกไปปราบกบฎทางฝั่งตะวันออกต่อทันที ทาเครุอ่อนล้าจากการทำศึกอย่างต่อเนื่องและก่อนออกศึกเขากลับไปหาเจ้าป้าอีกครั้งพร้อมระบายความอัดอั้นตันใจ เจ้าป้าจึงมอบดาบคุซานางิซึ่งเป็นศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ให้ ฝ่ายกบฎต้อนรับการมาถึงของทาเครุโดยการวางอุบายหลอกว่าบริเวณทุ่งหญ้ารอบหมู่บ้านมีปีศาจร้ายซ่อนตัวอยู่และขอร้องให้ทาเครุช่วยกำจัดปีศาจร้าย ทาเครุได้ยินดังนั้นจึงรีบมุ่งหน้าไปยังทุ่งหญ้าที่ว่าเพียงลำพังทันที เมื่อเขาหลงกลฝ่ายกบฎจัดการจุดไฟรอบทุ่งหญ้าเพื่อหวังจะเผาทาเครุทั้งเป็น และเมื่อทาเครุชักดาบคุซานางิออกมาจากฝัก พลังของดาบสามารถตัดต้นหญ้าติดไฟทุกต้นให้ราบเป็นหน้ากอง รวมถึงปราบกบฎจนสิ้นซาก ด้วยเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับหญ้าจึงทำให้ตำนานของดาบคุซานางิเรื่องนี้มีคนญี่ปุ่นเชื่อถือมากพอสมควร
เคยลองนับหรือไม่ว่าปกติแล้วมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ ทำงานอาทิตย์ละกี่ชั่วโมง ? คำตอบที่ได้คือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่พนักงานกินเงินเดือนส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นจะต้องทำงานล่วงเวลาหนักถึง 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จนสามารถเรียกว่าความขยันหมั่นเพียรและการทำงานหนักของชาวญี่ปุ่นกลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ความขยันหมั่นเพียรที่มากจนเกินไปของคนญี่ปุ่นทำให้เกิดอาการ คาโรชิ (Karoshi syndrome) อาการเสียชีวิตจากการทำงานหนักจากโรคหัวใจ หลอดเลือด อาการซึมเศร้า และความเครียด และเหล่าพนักงานผู้ขยันขันแข็งบางคนก็หาทางแก้ปัญหาด้วยการออกไปดื่มเหล้าจนหัวทิ่ม UNLOCKMEN ได้รวบรวมภาพของมนุษย์เงินเดือนที่อ่อนล้าตามถนนหนทางและสถานที่ต่าง ๆ ในญี่ปุ่นมาให้ได้ดูกัน ที่มีทั้งคนที่ทำงานหนักจนต้องขอนอนสักงีบก่อนถึงบ้าน หรือเมาจนต้องนอนข้างถนนเพราะเดินไม่ไหว ไปจนถึงคนที่สิ้นหวังกับสิ่งที่ต้องเจออยู่ทุกวัน แม้เงินจะเป็นปัจจัยสำคัญและงานอาจหมายถึงคุณค่าและการมีชีวิตอยู่ แต่อะไรที่ล้นเกินจนเราไม่อาจแบ่งเวลาไปให้กับสิ่งอื่น ก็อาจหมายถึงความไม่พอดีที่เราต้องลุกขึ้นมาปรับตัว ช่วงวันหยุดนี้ก็อย่าลืมพักผ่อนชาร์จพลังให้ตัวเอง มีชีวิต มีเวลาให้ตัวเองบ้าง เพื่อกลับไปลุยทำงานต่อได้อย่างไม่เหนื่อยมากเกินไปนัก SOURCE
โรงแรม Muji อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้ชื่นชอบสไตล์มินิมัล เพราะ Muji สร้าง Muji Shenzhen Hotel สาขาแรกของโลกที่ประเทศจีนไว้แล้ว แต่เมื่อ Muji เปิดตัวโรงแรมแห่งที่สามในญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิดแบรนด์ก็ทำให้ผู้คนกลับมาสนใจโรงแรมของแบรนด์ผลิตภัณฑ์สุดมินิมัลอีกครั้ง UNLOCKMEN จะพาไปดูการตกแต่งห้องแต่ละแบบของโรงแรม Muji ใจกลางกรุงโตเกียว ว่าจะสร้างสรรค์สไตล์มินิมัลในพื้นที่จำกัดออกมาเป็นอย่างไร เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่หลงใหลการแต่งห้องแบบเรียบง่ายแต่มีระดับ โรงแรม Muji แห่งแรกของญี่ปุ่นตั้งอยู่ในย่านกินซ่าที่พลุกพล่าน บนตึก Marronnnier Gate Ginza Complex มีห้องพักทั้งหมด 79 ห้อง ตั้งแต่ชั้น 7 ไปจนถึงชั้น 10 ส่วนเคาท์เตอร์ของโรงแรมจะอยู่ที่ชั้น 6 หมดกังวลเรื่องความไม่เป็นส่วนตัวแม้จะอยู่ตรงย่านใจกลางเมือง Muji กล่าวถึงคอนเซปต์ของโรงแรมที่กำลังจะเปิดตัวช่วงเดือนหน้าได้เป็นประโยคสั้น ๆ ว่า “anti-gorgeous, anti-cheap” ไม่หรูหราเกินไปแต่ก็ไม่โลว์คลาส ตอบสนองความพึงพอใจและพื้นที่ใช้สอยได้อย่างครบถ้วน พร้อมเอกลักษณ์ที่เด่นชัดเมื่อเห็นก็จะรู้เลยว่านี้คือสไตล์ของ Muji เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นภายในโรงแรมล้วนเป็นของที่ผลิตโดย Muji ทั้งเฟอร์นิเจอร์แบบบิลท์อิน เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ทำให้ห้องพักเต็มไปด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติมากมายทั้งไม้ หิน เสื่อทาทามิอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น ไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้
เราทุกคนย่อมมีงานอดิเรกและของสะสมต่างกันไปตามรสนิยม เช่น สะสมโมเดลรถของเล่น โมเดลหุ่นยนต์ สะสมรองเท้า หรือตามเก็บผลงานภาพวาดราคาแพงของศิลปินชื่อดัง ครั้งนี้ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งของสะสมที่เรียกว่าไม่ธรรมดาของชายผู้หลงใหลรอยสักบนผิวหนังมนุษย์ เขาคือ ฟุคุชิ มาซาอิชิ ศาสตราจารย์นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยาซึ่งเป็นสาขาที่ศึกษาและวินิจฉัยโรคจากการตรวจอวัยวะ เซลล์ และเนื้อเยื่อของมนุษย์จากการชันสูตร แถมเขายังเป็นประธานสมาคมพยาธิวิทยาของญี่ปุ่นและอาจารย์หมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์นิปปอน (Nippon Medical School) ที่ดูแล้วไม่น่าจะกลายมาเป็นชายสะสมของสุดแปลกได้ ความชอบสะสมรอยสักเนื้อมนุษย์ของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1907 เป็นช่วงเวลาที่หมอมาซาอิชิกำลังสนใจรักษากามโรคพร้อมทำวิจัยเรื่องการเติบโตของไฝบนผิวหนังและพบสมมุติฐานน่าสนใจว่าน้ำหมึกที่ใช้สักอาจทำลายเชื้อซิฟิลิสได้ เพราะแผลจากซิฟิลิสจะไม่เกิดขึ้นตรงบริเวณผิวหนังที่เพิ่งสัก หลังจากข้อสันนิษฐานนั้นทำให้หมอมาซาอิชิทุ่มความตั้งใจทั้งหมดเพื่อศึกษาเกี่ยวกับเม็ดสีของผิวและการขยายตัวของไฝจากคนที่มีรอยสัก ต่อมาปี 1926 เขาเริ่มศึกษาผิวหนังจากทั้งคนเป็นและคนตาย พร้อมกับค้นหาวิธีเก็บผิวหนังจากศพที่มีรอยสักไปพร้อมกัน การทำงานวิจัยแต่ละครั้งจะต้องใช้ผิวหนังที่มีรอยสักจำนวนมาก คำถามที่ตามมาคือหมอมาซาอิชิจะไปหารอยสักมากมายขนาดนั้นมาจากไหน คำตอบที่เขาได้คือกลุ่มยากูซ่าที่มีรอยสักและวิธีการสักแตกต่างจากคนทั่วไป เพราะการสักสีทั่วทั้งตัวแบบ Irezumi จะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากจึงมีแค่ยากูซ่าเท่านั้นที่นิยมสักทั่วทั้งตัว หลากหลายเหตุผลที่ทำให้ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ได้พบกับแก๊งยากูซ่า สิ่งหนึ่งเกิดจากมุมมองแง่ลบของคนทั่วไปที่มองว่าคนสักมักจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย เพราะในสมัยเอโดะรอยสักคือสัญลักษณ์ของนักโทษเพื่อแยกผู้มีความผิดออกจากคนทั่วไป เมื่อวันเวลาผ่านไปเหล่ายากูซ่าก็นิยมสักกันทั่วตัวยิ่งทำให้คนญี่ปุ่นมองว่าคนสักคือคนไม่ดี แต่สำหรับหมอมาซาอิชิคนเหล่านี้คือคนที่เขาต้องการพบเป็นอย่างมาก เมื่อหมอมาซาอิชิรู้จักและคลุกคลีอยู่กับเหล่ายากูซ่าจำนวนมากและเห็นรอยสักลวดลายแตกต่างกันที่ทั้งมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงบอกเล่าเรื่องราวไว้มากมาย ความเหมาะเจาะก็คือยากูซ่าส่วนใหญ่ที่มารับการรักษาจากหมอมาซาอิชิเป็นนักเลงปลายแถว เวลาไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นก็มักจะเจอสายตาดูแคลนอยู่เสมอ แต่หมอมาซาอิชิพอใจที่จะรักษายากูซ่า แถมบางคนมาหาเขาพร้อมกับรอยสักที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งรอยสักครึ่ง ๆ กลาง ๆ นี้เองได้จุดประกายความคิดบางอย่างให้กับเขา หลังจากที่เขารู้จักกับเหล่ายากูซ่าที่ไม่มีเงินมากพอจะทำให้รอยสักสมบูรณ์ หมอมาซาอิชิยื่นข้อเสนอว่าจะรักษาโรคให้และเก็บเงินแค่ครึ่งราคา หรือถ้าเป็นอะไรเล็กน้อยจะไม่คิดเงิน โดยคนที่มีรอยสักครึ่ง ๆ
ถ้าทำงานแล้วได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่าหรือมีหัวหน้าที่เข้าอกเข้าใจถึงงานหนักแค่ไหนก็ยังไหว แต่นั่นไม่ใช่กับบริษัทที่มีนโยบายแบบ Black Company เพราะนอกจากจะใช้งานหนักเยี่ยงทาสแล้ว บริษัทสีดำเหล่านี้ยังจ่ายเงินค่าล่วงเวลาในจำนวนที่น้อยนิด หรือถ้าหนักขึ้นไปอีกอาจจะต้องทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับค่าจ้างด้วยซ้ำ แถมยังต้องทำงานในวันหยุดอีกด้วย มันเกิดอะไรขึ้น ? แล้วทำไมเหล่ามนุษย์เงินเดือนเหล่านั้นถึงยังต้องยอมทนอยู่ ? ในช่วงสมัยที่ยากูซ่ายังมีอยู่ทั่วทั้งญี่ปุ่น ยากูซ่าเหล่านี้จะเปิดบริษัทเพื่อวัตถุประสงค์หลายอย่างไม่ว่าจะการสร้างช่องทางเป็นแหล่งรายได้เพื่อหล่อเลี้ยงแก๊งของตัวเอง หรือมีไว้เพื่อบังหน้าจากการทำธุรกิจใต้ดินผิดกฎหมาย ทำให้ในสมัยก่อนบริษัทของยากูซ่าเหล่านี้จะถูกเรียกกันว่า Black Company อย่างไรก็ตาม บริษัทสีดำที่ว่าในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกเฉพาะกับธุรกิจของเหล่ายากูซ่าอีกต่อไป แต่มันหมายถึงสำนักงานต่าง ๆ ทั่วเกาะญี่ปุ่นที่ใช้แรงงานพนักงานกินเงินเดือนเยี่ยงทาสอีกด้วย Black company (ブラック企業 burakku kigyō) บริษัทสุดโหดที่ชอบใช้งานพนักงานมากเกินความจำเป็น และมักเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการในสายครีเอทีฟและสายบันเทิงอย่างสื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร บริษัทผลิตเกม และรายการทีวีช่องต่าง ๆ ปัจจุบันบริษัทสีดำในญี่ปุ่นเหล่านี้ก็ขยายวงไปยังวงการอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว นอกจากรายได้อันน้อยนิดกับการทำงานล่วงเวลาที่หนักหน่วง อีกหนึ่งสิ่งที่ตามมาและพบเห็นได้บ่อยครั้งในบริษัทประเภท Black Company คือเรื่องของ power harassment หรือการกดขี่ กดดัน ข่มขู่พนักงานไปจนถึงการทำร้ายร่างกาย ซึ่งเหล่าลูกน้องในบริษัทสีดำเหล่านี้จะต้องน้อมรับแต่โดยดี ห้ามเรียกร้องหรือคัดค้านอะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่เพียงแค่ความกดดันหรือการข่มขู่เท่านั้น เพราะในบางครั้งพนักงานที่เป็นผู้หญิงก็มักจะโดน sexual harassment หรือการล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศอยู่บ่อยครั้ง การกล่าวอ้างนี้ก็ไม่ได้เขียนขึ้นลอย
ก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN นำเสนอเรื่องราวของชาย(อีกคน)ที่ถูกขนานนามว่าซามูไรคนสุดท้ายไว้ที่ วิถีซามูไร ฮาราคีรี และมิชิมะ ยูกิโอะ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าซามูไรคนสุดท้าย ในนั้น เรากล่าวถึง “ไซโง ทากาโมริ” ไปแล้วเล็กน้อย ใครหลายคนที่กระหายจะเสพเรื่องราวของเขา วันนี้ไม่ต้องรออีกต่อไป เราพร้อมตีแผ่ชีวิตของเขาเพื่อค้นหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดไซโงถึงได้เป็นซามูไรที่ครองใจชาวญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ไซโง ทากาโมริ คือหนึ่งในซามูไรผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เหล่านักประวัติศาสตร์และนักวิชาการต่างก็ยอมรับ และเรียกเขาว่าเป็น The Last True Samurai หรือ ซามูไรที่แท้จริงคนสุดท้าย เขามีจุดเริ่มต้นธรรมดาทั่วไปจากการเป็นซามูไรระดับล่างที่ผลักดันตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในซามูไรผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค บุคลิกเข้มแข็ง ความตรงไปตรงมา ความเป็นผู้นำ และเอาจริงเอาจังกับงานของตัวเองเสมอ ไซโง ทากาโมริจึงได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงที่ญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ต่อสู้ฟาดฟันกันเองและเกิดกบฏอยู่บ่อยครั้ง ไซโง ทากาโมริตั้งกลุ่มพันธมิตรซามูไรเพื่อสร้างความแน่นแฟ้นในหมู่พรรคพวกของตัวเอง สิ่งที่ไซโงต้องการคือการตั้งกลุ่มยอดฝีมือเพื่อป้องกันซามูไรกลุ่มอื่นที่จะบุกโจมตีพระราชวังหลวงในกรุงเกียวโต เขาได้รับการแต่งตั้งจากโชกุนให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพเพื่อปราบกบฏตามเมืองต่าง ๆ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างชื่อเสียงให้กับไซโงเป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มกองกำลังฝ่ายกบฏถูกตีแตกพ่ายภายในเวลาไม่กี่วัน แต่เพราะความรอบคอบและเฉลียวฉลาดของเขา ในศึกบางครั้งแทนที่จะใช้กำลังเข้าห้ำหั่นปราบปราบเพียงอย่างเดียว เขาเลือกเจรจาลับกับกลุ่มซามูไรที่เป็นกบฏนับเป็นกลยุทธ์ที่ลดความสูญเสียได้มาก ต่อมาเมื่อโชกุนโทกุงาวะประกาศสละอำนาจและคืนสิทธิทุกอย่างให้กับสมเด็จพระจักรพรรดิเพื่อเป็นการรวมญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นและเปิดประเทศและถือเป็นการสิ้นสุดระบอบโชกุน เข้าสู่การฟื้นฟูประเทศในสมัยเมจิ ไซโง มากาโมริ มีท่าทีไม่เห็นด้วยเพราะเขาไม่ต้องการให้ชาติตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในญี่ปุ่น รวมไปถึงหากเกิดการปฏิรูปประเทศ บทบาทของซามูไรจะต้องลดน้อยลง เขาจึงจัดเตรียมทัพเพื่อบุกเข้าปราสาทเอโดะ แต่รัฐบาลได้ส่งคนมาขอทำเรื่องสงบศึกโดยการเจรจาเป็นการส่วนตัว ผลคือไซโงยอมจำนนต่อเหตุผลของรัฐบาลอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ผลที่ดีที่สุดจากการเจรจาในครั้งนี้คือการทำให้บ้านเมืองรอดพ้นจากสงครามครั้งใหญ่ไปอีกครั้ง เมื่อญี่ปุ่นเริ่มดำเนินนโยบายทำประเทศให้ทันสมัย
ที่สุดของตำนานนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ซามูไรหาญกล้าผู้ออกรบอย่างดุดันแม้จะมีตาเพียงดวงเดียว สำหรับชายผู้ที่ชื่นชอบความเท่แบบญี่ปุ่นและชื่นชอบซามูไร คงไม่มีใครไม่รู้จักกับยุค เซ็นโงคุ ที่สร้างชื่อให้กับเหล่านักรบผู้เก่งกาจ และนักสู้คู่ยุคเดือด ซามูไรนาม ดาเตะ มาซามุเนะ ชายที่เกิดมาพร้อมกับความบกพกพร่องทางสายตา แต่ด้วยความสามารถที่ไม่เป็นสองรองใคร รวมถึงความแข็งเกร่งที่แสดงให้ทุกคนได้สัมผัสมากกว่าแค่ชื่อเสียง จนได้รับการขนานนามว่าเป็น มังกรตาเดียวแห่งเซ็นโงคุ ดาเตะ มาซามุเนะ เกิดเมื่อปีค.ศ. 1567 ในปราสาทของตระกูลโยเนซาวะ เขาเป็นลูกชายคนโตของไดเมียว (ผู้ครองนคร) แคว้นมุตสึ มาซามุเนะสูญเสียตาขวาตั้งแต่กำเนิดด้วยโรคไข้ทรพิษ (Smallpox) แต่บางตำนานก็ได้เล่าขานเรื่องราวของเขาอย่างแปลก ๆ เช่น ผู้เป็นพ่อสั่งให้คนรับใช้ประจำตัวเป็นผู้ควักลูกตาออก แต่ยังไร้ซึ่งเหตุผลที่หนักแน่นพอมารองรับข้อสันนิษฐานนี้ และก็มองไม่เห็นถึงความจำเป็นที่คนเราจะต้องควักลูกตาออกข้างหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามแต่ ดาเตะ มาซามุเนะ เป็นเด็กผู้ชายที่มีตาข้างเดียว ซึ่งความไม่สมบูรณ์นี้เองที่ถึงแม้จะเป็นพี่ชายคนโตของตระกูลก็ตาม กลับไม่ได้เป็นที่รักของมารดาเท่าไหร่นัก และถูกมองว่าไม่คู่ควรกับการได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งไดเมียวแห่งโยเซนาวะผู้ครองแคว้นมุตสึ ด้วยนิสัยหาญกล้าบ้าบิ่น ชื่นชอบการแข่งขัน กระหายชัยชนะ จึงทำให้ มาซามุเนะ เป็นที่ถูกพูดถึงตั้งแต่ยังเด็ก มีตำนานเล่าขานความโหดเหี้ยมเด็ดขาดของมาซามุเนะว่า เมื่อตอนอายุ 11 ปี และต้องแต่งงานกับ ทามูระ เมโงฮิเมะ แต่มาซามุเนะเกิดความหวาดระแวงว่าตระกูลทามูระจะพยายามหักหลัง เขาได้ลงมือสังหารคนรับใช้ของภรรยาตัวเองเสียสิ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าในสังคมญี่ปุ่นสมัยก่อนยังมีมุมมองเรื่องอายุที่ต่างกับยุคปัจจุบัน เด็กเกือบทั่วทั้งเอเชียมักแต่งงานเร็วเป็นเรื่องธรรมดา และเด็กอายุสิบกว่าขวบก็มีเรื่องครอบครัวและความรับผิดชอบมาให้คิดมากกว่าเด็กอายุรุ่นเดียวกันอย่างในปัจจุบัน หลังจากนั้นต่อมาในปี 1581