เราทุกคนต่างต้องเคยผ่านเรื่องราวที่ไม่น่าจดจำ ความล้มเหลว และการทำผิดพลาด แต่ไม่ว่าจะพลาดไปกี่ครั้ง การสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองเพื่อต่อสู้กับปัญหาชนิดหลังชนฝาเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ ซึ่งฟังดูแล้วอาจจะยาก แต่ในความจริงแล้วการสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกจิตวิญญาณนักสู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยากอย่างที่คิด ค่านิยมสู้ไม่ถอยนั้นมีอยู่ทั่วโลก มีอยู่ในตัวของทุกคน แต่เมื่อพูดถึงความใจสู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงชาวญี่ปุ่นที่มักมาพร้อมกับวลี “กัมบัตเตะ” ที่แปลว่า พยายามเข้า หรือ สู้ ๆ ซึ่งคนญี่ปุ่นไม่ว่าจะเจอกับปัญหาอะไรก็จะมักจะ “กัมบัตเตะ” ไว้ก่อนเสมอ เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ทางภาษาและสังคมที่เป็นที่เข้าใจและนึกภาพออกกันทั่วโลกกับเรื่องของความสู้ไม่ถอยของชาวญี่ปุ่น ในขณะที่คนไทยมักจะพูดว่า “ไม่เป็นไร” หรือ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ความสู้ไม่ถอยของคนญี่ปุ่นนั้น มาจากประสบการณ์มากมายที่ชาวญี่ปุ่นต้องพบเจอ เช่น ไม่ว่าจะเป็นการพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสารพัดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว หรือสึนามิ ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงทุกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเกิดความเสียหายรุนแรงขนาดไหน เราจะเห็นได้ว่าคนญี่ปุ่นสามารถพลิกปัญหาต่าง ๆ ให้กลับมาราบรื่นได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ซึ่งความใจสู้ไม่ยอมถอยให้กับอุปสรรคและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงทีนั้น เป็น Mindset ที่น่าสนใจของคนญี่ปุ่น ซึ่งคงจะดีถ้าเรานำวิธีคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ตั้งเป้าหมายและมั่นใจว่าทำได้ การตั้งเป้าหมายคือการวางแผนขั้นแรกที่สำคัญ ทั้งการตั้งเป้าหมายที่มองในภาพรวมและเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง อาจทำให้เรารู้สึกท้อแท้ตอนเริ่มต้นเมื่อเทียบกับการทำอะไรตามที่สะดวกของตัวเอง แต่เชื่อเถอะว่าการทำแบบนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่า สามารถสร้างเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ให้เป็นจริงได้ เริ่มจากการตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ จากนั้นค่อยขยับสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าพูดถึงซามูไร และฮาราคีรี หลายคนคงรู้ความหมายอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึงชื่อของ มิชิมะ ยูกิโอะ อาจจะยังไม่รู้ว่าเค้าคือใคร UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับวิถีนักรบญี่ปุ่น และลูกผู้ชายที่เรียกตัวเองว่า The Last Samurai ได้เต็มปาก แรกเริ่มเดิมทีซามูไรเป็นเพียงกลุ่มนักรบรับจ้างแก่จักรพรรดิและชนชั้นสูง แต่ต่อมาเหล่าซามูไรเกิดความคิดอยากรวมบรรดานักรบบ้าระห่ำให้อยู่เป็นกลุ่มก้อนเพื่อความเป็นปึกแผ่น จึงเกิดการจัดการกลุ่มนักสู้ที่เป็นระบบมากขึ้น ด้วยความเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ที่ไม่กลัวตาย กฎระเบียบที่เคร่งครัด และความใจถึงพึ่งได้ ซามูไรจึงขึ้นมาเป็นกลุ่มชนชั้นที่มีบทบาททางการเมืองในฐานะนักรบชั้นนำที่ใครเห็นเป็นต้องก้มหน้า เด็กร้องไห้เดินเจอยังต้องหยุดร้อง ซามูไรมีบทบาทในสังคมญี่ปุ่นยาวนานกว่าร้อยปี ก่อนจะสิ้นสุดลงในยุคเมจิช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จากการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย สร้างรูปแบบกองทัพตามแบบประเทศตะวันตก ลดอำนาจของระบบศักดินารวมถึงเลิกสถานะซามูไร ยกเลิกสิทธิในการพกดาบ Katana ในที่สาธารณะ และสิทธิในการฆ่าใครก็ได้ที่ไม่ให้ความเคารพต่อซามูไร ด้วยเหตุผลต่าง ๆ จึงทำให้ซามูไรส่วนมากหันไปเป็นนักเขียนและทำงานในรัฐบาลแทน สิ่งที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งเมื่อพูดถึงซามูไรคือ บูชิโด และ ฮาราคีรี ซึ่งฮาราคีรีนั้นมีความหมายเดียวกับเซ็มปุกุ เป็นการสำเร็จโทษด้วยเกียรติของเหล่าลูกผู้ชายซามูไร อาทิ การไม่สามารถรักษาชีวิตของผู้เป็นนายได้ หรือเมื่อมีการเปลี่ยนฐานอำนาจ ซามูไรที่จงรักภักดีไม่ยอมสวามิภักดิ์กับกลุ่มอำนาจใหม่ก็จะทำการคว้านท้องตัวเอง ซึ่งฮาราคีรีไม่ใช่แค่ความกล้าในการคว้านท้องปลิดชีวิตตัวเองเท่านั้น แต่มันคือสัญลักษณ์ของอุดมการณ์ที่แน่วแน่ จึงทำให้ฮาราคีรีเป็นสิ่งที่มีค่าน่านับถือในสังคมญี่ปุ่นสมัยโบราณ แม้จะหมดสิ้นยุคสมัยซามูไรไปแล้ว ก็ยังมีชายญี่ปุ่นรักชาติเลือดซามูไรที่ยึดถือเกียรติยศนี้อยู่ นั่นคือชายที่มีชื่อว่า Mishima Yukio (มิชิมะ ยูกิโอะ)