Life
NIHON STORIES: SUKIYABASHI JIRO และชายที่ถูกขนานนามว่า ‘ปรมาจารย์ซูชิที่ไม่มีใครเทียบชั้น’
By: TOIISAN December 11, 2019 169487
ไม่นานมานี้หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบเรื่องราวของญี่ปุ่นและโปรดปรานการลิ้มรสชาติแสนเฉพาะตัวของซูชิต่างต้องตกใจไปตาม ๆ กัน เมื่อร้านซูชิโคตรดังอย่าง Sukiyabashi Jiro Honten ที่ซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดินย่านกินซ่าใจกลางกรุงโตเกียวถูกถอดดาว 3 ดวง และลบชื่อออกจาก Michelin Guide ทั้งที่เป็นร้านซูชิที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ด้วยความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการอาหารญี่ปุ่นทำให้คนทั่วโลกต่างจับตามอง UNLOCKMEN จึงไม่พลาดนำเรื่องราวของเจ้าของร้าน Sukiyabashi Jiro นามว่า Jiro Ono มาบอกเล่าให้ฟังกันว่าเพราะเหตุใดเขาถึงกลายเป็นชายที่โลกเรียกว่า ‘ปรมาจารย์ซูชิที่ไม่มีใครเทียบชั้น’ และทำไมร้านอาหารเล็ก ๆ ของเขาถึงกลายเป็นร้านที่เหล่านักชิมทั่วโลกต้องมาเยือนสักครั้ง
แรกเริ่มเดิมทีเรื่องราวของ Jiro Ono และร้านซูชิ Sukiyabashi Jiro ของเขาไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขนาดนี้ เขาเป็นเพียงแค่ผู้ชายที่เปิดร้านซูชิต้นทุนต่ำประทังชีวิตเท่านั้น เพราะฐานะทางบ้านของ Jiro ไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวย เขาต้องแอบทำงานพิเศษในร้านอาหารตั้งแต่ 7 ขวบ (ที่ต้องแอบทำเพราะผิดกฎหมายแรงงาน) ถูกพร่ำสอนเสมอว่าเมื่อโตขึ้นเราจะไม่หันหลังกลับ บ้านที่อยู่อาจจะหายไปเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่จะติดตัวเราไปทุกที่คือความตั้งใจและการไม่ยอมแพ้
เมื่อ Jiro เปิดร้านซูชิช่วงแรกเขาไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นเชฟได้เต็มปาก ลูกค้าที่เข้ามาในร้านก็ถือว่าเป็นคนหลงเข้ามาเสียมากกว่า ไม่ได้เป็นลูกค้าที่ตั้งใจมากินซูชิของเขา เพราะร้านของเขาก็เป็นร้านเล็ก ๆ ธรรมดาเหมือนกับร้านซูชิอีกหมื่นแห่งในโตเกียว ฝีมือของเขาก็แสนธรรมดา แต่เขาไม่อยากเป็นชายที่ล้มเหลวหรือล้มละลายจนต้องไปนอนตามสะพานเหมือนที่บ้านเคยขู่เอาไว้ในวัยเด็ก
ฝีมือการทำซูชิขั้นเทพของเขาไม่ได้ได้มาเพียงแค่วันสองวัน แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการทำมันซ้ำแล้วซ้ำอีก กิจวัตรประจำวันของ Jiro คือการตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อไปเลือกวัตถุดิบในตลาด ปั้นซูชิซ้ำแล้วซ้ำอีก แล่เนื้อปลาทุกวัน ซึ่งการทำซ้ำ ๆ เป็นประจำทุกวันทำให้เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงในฝีมือของตัวเอง มองเห็นเทคนิคที่จะทำให้ซูชิของเขารสชาติดีขึ้น จนทำให้ร้านซูชิแสนธรรมดาเริ่มมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ผู้คนเริ่มแวะเวียนเข้ามามากขึ้น และการบอกเล่าถึงความอร่อยแบบปากต่อปากก็กลายเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงในวงกว้างให้แก่ Jiro Ono
ขั้นตอนการเลือกวัตถุดิบก็ไม่น้อยหน้า แต่ก่อน Jiro จะเป็นคนไปตลาดเพื่อคัดสรรวัตถุดิบเองทุกวัน แต่ด้วยอายุในปัจจุบันของเขาที่ปาไป 94 ปีแล้ว ลูกชายคนโตจึงกลายเป็นคนเลือกวัตถุดิบเอง แถมพ่อค้าขายกุ้งในตลาดที่ไปซื้อประจำบอกเองว่าเขาจะเก็บกุ้งที่ดีที่สุดไว้ให้ Jiro ซึ่งกว่าพ่อค้ากุ้งจะยอมก็ต้องใช้เวลาซื้อใจกันนานพอสมควรเหมือนกัน เหมือนอย่างที่เขาว่าไว้ว่าความสำเร็จไม่ได้ได้มาในวันเดียว
นอกจากวัตถุดิบจำพวกอาหารทะเล ข้าวที่เป็นส่วนประกอบหลักของซูชิก็ยังมีเรื่องที่เวอร์ยิ่งกว่ามังงะญี่ปุ่น เพราะร้านข้าวเจ้าประจำของ Jiro จะไม่ขายข้าวให้กับคนอื่น ไม่ว่าร้านอาหารจะหรูหราแค่ไหน หรือใครก็ตามที่ลิ้มลองซูชิของ Sukiyabashi Jiro แล้วอยากหาซื้อข้าวแบบเดียวกันกลับไปทำบ้างเขาก็ไม่ขายให้ทั้งนั้นเพราะถึงจะซื้อข้าวจากร้านเดียวกันไป ถ้าไม่รู้วิธีหุงและไร้ความเชี่ยวชาญแบบที่ Jiro ทำมันก็สูญเปล่าอยู่ดี เป็นประโยคที่ฟังแล้วต้องบอกว่าโคตรเท่
“ทำทุกวันจนเก่ง แล้วเคยเบื่อกับสิ่งที่ต้องทำซ้ำ ๆ ทุกวันไหม ?” นี่คือคำถามที่ใคร ๆ ต่างอยากรู้ว่าปรมาจารย์ซูชิก็ต้องเคยแอบเบื่องานเดิม ๆ ที่ทำทุกวันอย่างแน่นอน แต่เขากลับตอบว่า “เราต้องสร้างมาตรฐานของตัวเองขึ้นมา ต้องรู้ว่าอะไรสามารถเรียกว่า ‘อร่อย’ ได้จริง ๆ เพราะการทำงานสำหรับทุกอาชีพก็เหมือนกับการใช้ชีวิต เราอยากมีชีวิตแบบไหนก็ให้สร้างมาตรฐานชีวิตที่เราอยากจะเป็น เมื่อเรามีมาตรฐานสูง ชีวิตเราก็สูงขึ้น หากเราอยากประสบความสำเร็จ เราต้องตั้งเป้าหมายที่เรียกว่าประสบความสำเร็จได้จริง ๆ
ผมจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ปีนต่อไปเพื่อให้ถึงจุดสูงสุด แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าจุดสูงสุดที่ว่ามันอยู่ตรงไหน
แม้จะอายุมากแล้วและทำงานเดิม ๆ มาหลายสิบปี แต่เพราะผมรักซูชิ ผมรักทุกอย่างที่ผมทำ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” คำบอกเล่าของเขาผ่านภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Jiro Dreams of Sushi (2011) คือการเผยให้เห็นมุมมองที่พาชายธรรมดาคนหนึ่งก้าวสู่ความสำเร็จตามที่ตัวเองตั้งไว้
การเพียรพยายามเพื่อพัฒนาฝีมือของตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่งในวงการซูชิ Jiro พบข้อสังเกตมากมายเกี่ยวกับการทำอาหาร เช่น เขาคิดว่าข้าวใช้ปั้นซูชิควรมีอุณหภูมิใกล้เคียงกับคน หรือถ้าเป็นไปได้ควรมีอุณหภูมิเดียวกับร่างกายของมนุษย์ เขาจึงทุ่มความตั้งใจไปยังการรักษาอุณหภูมิของวัตถุดิบ หรือเคล็ดลับของหมึกทุกชิ้นที่อยู่บนข้าวปั้นจะต้องถูกนวดด้วยมืออย่างช้า ๆ นานกว่า 45 นาที เพื่อให้ได้รสสัมผัสนุ่มละมุน ทั้งหมดคือปัจจัยเล็ก ๆ ของความอร่อยที่เขาค้นพบจากประสบการณ์กว่า 70 ปี
เรื่องราวการทำซ้ำ ๆ จนกลายเป็นมืออาชีพในสายงานตัวเองของ Jiro ถูกนำมาสร้างเป็นสารคดี รัฐบาลญี่ปุ่นยกย่องว่าเขาเป็นชายที่สืบทอดการทำอาหารญี่ปุ่นที่หาตัวจับยาก ถูกนักชิมชื่อดังจากฝรั่งเศสยกย่องว่าซูชิของเขาเปรียบเหมือนกับงานศิลปะ แถมชีวิตของ Jiro ได้อยู่ในบทที่หนึ่งของหนังสือ ‘The Little Book of Ikigai’ หรือ ‘อิคิไก ความหมายของการมีชีวิต’ บอกเล่าถึงเหตุผลให้คนเรายอมลุกจากเตียงทุกเช้าเพื่อซึมซับความสุขกับการได้มีชีวิตอย่างมีความหมายผ่านงานที่ตัวเองรัก ตอกย้ำว่าไม่ใช่แค่ชาวญี่ปุ่นที่มองว่าทุกอาชีพต่างก็มีความยิ่งใหญ่ในตัวเอง แต่โลกก็มองเห็นความยิ่งใหญ่ที่ได้มาจากความเพียรพยายามของเขาด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันแม้ว่า Jiro Ono จะเป็นคนที่มีตำแหน่งงานเบาสุดในร้าน (จากคำให้สัมภาษณ์ของเขาเอง) แต่ผู้คนกลับจดจำและพูดถึงเขามากที่สุด ผู้คนแวะเวียนมายังร้านต่างคาดหวังว่าจะได้เห็น Jiro ปั้นซูชิอยู่ตรงหน้า ซึ่งเขาก็อยากให้ลูกค้าทุกคนรับรู้ว่ากว่าซูชิจะถึงมือเขามันผ่านขั้นตอนแสนละเอียดอ่อนมากมาย ตั้งแต่การเดินไปเลือกปลาในตลาด การนวดหมึก การแล่ปลา การหั่นไข่หวานกว่า 200 ครั้งถึงจะได้ที่ หรือแม้แต่การหุงข้าวที่ต้องประเมินอุณหภูมิให้เหมาะสม ทุกงานในร้านซูชิ Sukiyabashi Jiro ล้วนมีความสำคัญเพราะทุกอย่างคือส่วนประกอบที่ทำให้ซูชิของเขาสมบูรณ์แบบ
Sukiyabashi Jiro เป็นร้านซูชิเล็ก ๆ เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1965 รองรับลูกค้าเพียงแค่ 10 ที่นั่ง กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าทึ่ง มีบุคคลสำคัญของโลกจากหลากหลายประเทศแวะเวียนมาลิ้มรสกันอย่างต่อเนื่อง เป็นร้านซูชิที่ได้รับการยกย่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นในฐานะ Living National Treasure หรือผู้สืบสานศิลปะการทำงานญี่ปุ่น และกลายเป็นร้านซูชิต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อ Sukiyabashi Jiro กลายเป็นร้านอาหารชื่อดังบวกกับ Jiro Ono กลายเป็นชายที่คนทั่วโลกรู้จัก มีเชฟมากมายพากันมาสมัครขอเป็นลูกศิษย์ในร้านเพื่อเรียนวิธีการทำซูชิจากชายที่เก่งที่สุดในโลก แต่มีหลายคนยอมแพ้กลางคันเพราะเข้ามาแล้วได้แต่เตรียมผ้าร้อนหลายเดือนไม่ได้ทำอาหารสักที จากเด็กบิดผ้าร้อนขยับมาทำทามะโกะ (ไข่หวาน) ก็แทบน้ำตาไหล เพราะใช้เวลานานมากกว่าจะได้จับมีดหรือปั้นซูชิหนึ่งคำ แสดงให้เห็นว่าการทำงานในร้าน Sukiyabashi Jiro ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะตัวของ Jiro คาดหวังคุณภาพไร้ที่ติ
เมนูซูชิของร้านเป็นซูชิคอร์ส 19-20 คำ แต่ละคำจะถูกปั้นอย่างพอดี เรียงลำดับรสชาติตามสูตรของร้าน แถมซูชิแต่ละคำจะหมุนเวียนเปลี่ยนวัตถุดิบไปตามฤดูกาลอย่าง ปลาตาเดียว หมึก ส่วนท้องของทูน่า ปลาอาจิ หอยเม่น ปลาไหล ฯลฯ และมีกฎง่าย ๆ ที่อยากให้ลูกค้าทุกท่านปฏิบัติตามเมื่อมารับประทานซูชิร้าน Sukiyabashi Jiro คืออยากให้กินโดยไม่ต้องจิ้มซีอิ๊วหรือโชยุเพราะทางร้านได้จัดการเรื่องซอสและวาซาบิที่เหมาะสมไว้ก่อนเสิร์ฟแล้ว
ไม่ใช่แค่ความชำนาญของ Jiro เท่านั้นที่ทำให้ Sukiyabashi Jiro กลายเป็นร้านซูชิระดับโลก แต่ยังเป็นเรื่องของความใส่ใจกับบริการแสนประทับใจอีกด้วย ไม่น่าเชื่อว่านักปั้นซูชิในร้านทุกคนจะสังเกตลูกค้าของตัวเอง เก็บรายละเอียดว่าลูกค้าถนัดซ้ายหรือขวาเพื่อเสิร์ฟซูชิให้ตรงกับมือข้างถนัด ถ้านักปั้นเสิร์ฟซูชิให้ลูกค้าแล้วแต่เขายังไม่รับประทานเพราะติดพันกับการพูดคุย เมื่อถึงเวลาที่กำหนดซูชิชิ้นที่ยังไม่ถูกกินจะถูกนำไปทิ้งและปั้นชิ้นใหม่มาให้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของ Sukiyabashi Jiro คือการมอบประสบการณ์ด้านการลิ้มรสที่ดีที่สุด
“เทคนิคที่เราใช้ไม่ใช่สูตรลับสุดพิเศษอะไรเลย มันคือความตั้งใจจริงและการทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุก ๆ วัน”
ใคร ๆ ต่างก็รู้กันดีว่าร้าน Sukiyabashi Jiro เป็นร้านซูชิร้านแรกของโลกที่ได้ระดับ 3 ดาวจาก Michelin Guide ตั้งแต่ปี 2007 จนโด่งดังมากขึ้นไปอีกจากภาพยนตร์สารคดีชีวิตของ Jiro Ono ผู้เป็นเจ้าของร้าน และกลายเป็นร้านอาหารจองยากที่สุดร้านหนึ่งของเมืองโตเกียว
แม้จะจองยากแสนยาก รวมถึงราคาอาหารไม่ธรรมดาเพราะเริ่มต้นที่ 30,000 – 40,000 เยน หรือประมาณ 8,600 – 11,000 บาทต่อหนึ่งท่าน รวมถึงร้านแสนแคบรองรับลูกค้าครั้งละแค่ 10 ที่ต่อรอบ เปิดแค่สองช่วงเวลาคือรอบเที่ยงและรอบเย็น แต่ร้าน Sukiyabashi Jiro ก็ยังคงติดอันดับร้านอาหารแนะนำของ Michelin Guide มาตลอด จนมาถึงลิสต์ร้านอาหารทั่วโลกประจำปี 2020 ที่ร้านอาหารของปรมาจารย์ซูชิถูกริบดาวและถอดชื่อร้านออกจาก Michelin Guide
สาเหตุของการริบดาวและถอดชื่อร้านอาหารออกเป็นเพราะทางร้านตัดสินใจไม่รับการจองที่นั่งจากบุคคลทั่วไป แต่เปลี่ยนมาให้บริการเฉพาะลูกค้าขาประจำ คนรู้จัก และบุคคลที่จองผ่านโรงแรมที่ดีลกับทางร้านไว้เท่านั้น ทำให้ชาวต่างชาติที่อยากรับประทานซูชิร้านนี้ต้องเสียเงินหลายต่อจากการให้คนญี่ปุ่นจองให้ หรือจองผ่านโรงแรมหรู ซึ่งการเปลี่ยนแปลงระบบการจองครั้งนี้ทำให้ทีมผู้พิจารณาร้านอาหารทั่วทุกมุมโลกของ Michelin Guide มองว่าไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่มิชลินเฝ้าทำมาตลอด
“เมื่อร้านซูชิ Sukiyabashi Jiro ไม่เปิดรับการจองแบบปกติจึงกลายเป็นร้านอาหารกึ่งปิด ทำให้นักชิมทั่วโลกยากจะหาหนทางไปลิ้มลอง ซึ่งนโยบายที่ชัดเจนของ Michelin Guide คือทุก ๆ ร้าน จะต้องเป็นร้านอาหารที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ๆ”
หลาย ๆ คนมองว่าการเปลี่ยนแปลงระบบการจองที่นั่งของร้านเกิดขึ้นเพราะร้านต้องการหารายได้เพิ่มขึ้น แต่ UNLOCKMEN คิดว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะ Jiro Ono และร้าน Sukiyabashi Jiro มีวิธีอีกเป็นสิบ ๆ ทางที่จะสร้างรายได้มากขึ้น เช่น การขยายร้านเพิ่มที่นั่งให้มากกว่า 10 ที่ เพิ่มสาขาไปทั่วประเทศ หรือเพิ่มเมนูอื่นนอกเหนือจากซูชิ
เคยมีลูกค้าถามที่ร้านว่ามีเมนูอื่นหรือมีออเดิร์ฟอื่นนอกจากซูชิอีกไหม แต่คำตอบที่ได้คือ ‘ร้านเรามีแต่ซูชิ’ และไม่คิดเพิ่มเมนูอื่นหากจะโฟกัสกับการปั้นซูชิมากขึ้น หลงใหลกับมันมากขึ้น และจะไม่ทุ่มเวลาไปทำอย่างอื่นเพียงเพราะอยากโกยเงินเยอะขึ้นกว่าเดิม ถือว่าเป็นความมุ่งมั่นที่แสนอินดี้ในแบบฉบับของ Jiro Ono
แม้ร้านซูชิของ Jiro Ono ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1965 อย่าง Sukiyabashi Jiro จะต้องผ่านขั้นตอนการจองแสนยุ่งยาก ถูกริบดาวและถอดออกจากรายชื่อของ Michelin Guide แล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียงที่สั่งสมมาอย่างยาวนานก็ยังคงทำให้ร้านซูชิร้านนี้ถูกขนานนามถึงความยิ่งใหญ่อยู่ดี สำหรับใครที่ถอดใจจะจองที่นั่งกับร้านนี้ก็อย่าเพิ่งหมดหวังครับ เพราะร้าน Sukiyabashi Jiro สาขาสองที่คุมโดยลูกชายของ Jiro Ono ยังคงเปิดให้บริการกับลูกค้าทั่วไปอยู่เหมือนเดิม
ส่วนร้านซูชิสาขาแรกก็ยังคงได้เห็น Jiro Ono ในวัย 94 ปี ตั้งหน้าตั้งตาปั้นซูชิอยู่เหมือนเคย เขากล่าวว่าจะทำงานที่รักไปเรื่อย ๆ จนกว่าร่างกายจะบอกว่าไม่ไหว
“เพราะถ้าผมไม่ทำงาน ร่างกายของผมจะไร้ค่าและมันก็ทำให้ผมเบื่อจนทนไม่ไหวแน่นอน”