World

NIHON STORIES: ความเท่ทุกบทบาทกับการเติบโตในโลกภาพยนตร์ของ “OGURI SHUN”

By: TOIISAN October 27, 2020

หากเอ่ยถึงนักแสดงชื่อว่า โอกุริ ชุน (Oguri Shun) หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักหรือนึกไม่ออกว่าชุนที่ว่าหน้าตาเป็นอย่าง แต่พอเอ่ยว่า “คนที่เล่นเป็น ทาคิยะ เก็นจิ” หนุ่ม ๆ สายลุยที่ชื่นชอบหนังชาวแยงกี้ญี่ปุ่นจะต้องร้องอ๋ออย่างแน่นอน เพราะคุณจะต้องเคยเห็นเขาสักครั้งและนึกในใจว่า ‘ไอหมอนี่แม่งเท่ว่ะ’ เหมือนกับเราแน่นอน

วันนี้ UNLOCKMEN จะเล่าเรื่องราวแต่ละก้าวกว่าโอกุริ ชุน จะกลายเป็นนักแสดงชายที่ได้รับบทเป็นตัวละครจากการ์ตูนบ่อยที่สุดคนหนึ่งในวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น เขาก็ต้องสั่งสมประสบการณ์ เล่นได้ทุกบทบาทตั้งแต่พระเอก ตัวร้าย แมลงสาบ ต้องรับฟังคำวิจารณ์ร้าย ๆ เก็บเกี่ยวบารมีเรื่อยมาไม่ต่างจากนักแสดงระดับตำนานคนอื่น

ทีวีซีรีส์เรื่องแรกในชีวิตของชุนคือเรื่อง Hachidai Shogun Yoshimune (1995) แต่ฝีมือการแสดงของเขาฉายแววกับผลงานเรื่อง ‘GTO คุณครูพันธุ์หายาก’ (GTO: Great Teacher Onizuka ปี 1998) กับบทบาท โยชิกาวะ โบรุ เด็กชายที่ถูกรังแก สะท้อนถึงสังคมด้านมืดในโรงเรียนญี่ปุ่น จากนั้นในปี 2000 เล่นเป็นผู้มีความผิดปกติทางด้านการได้ยิน (หูหนวก) ในเรื่อง Summer Snow

ความสามารถด้านการแสดงของเขายอดเยี่ยมไม่น้อยไปกว่าหน้าตาที่ถูกชมเชยอยู่เสมอ เพราะความหล่อเท่ของเขาจะเปล่งประกายยิ่งขึ้นเมื่อได้สวมบทเป็นตัวละครที่หลากหลายตั้งแต่แยงกี้ไปจนถึงยอดนักสืบแห่งตะวันออกในตำนาน ซึ่งสำหรับชาว UNLOCKMEN ก็คงจะต้องเคยเห็นเขาผ่านตาในเรื่อง ‘ลูกสาวเจ้าพ่อขอเป็นครู’ (Gokusen ปี 2002) กันอย่างแน่นอน โดยเขารับบทเป็นอุจิยามะ ฮารุฮิโกะ เด็กสมาชิกแก๊งสุดเกเรในโรงเรียนมัธยมปลายชิโรคินจากมังงะชื่อดังเรื่องครูสาวยากูซ่า

จากนั้นโดดมารับบทพระรองสุดหล่อที่ทำให้สาว ๆ ชวนฝันในเรื่อง ‘รักใสใสหัวใจเกินร้อย’ Hana Yori Dango (ทั้งฉบับปี 2005 และปี 2007) หรือที่คนมักเรียกกันว่า F4 เวอชันญี่ปุ่น โดยชุนรับบทเป็น ฮานาซาวะ รุย เพื่อนร่วมแก๊ง F4 ที่เราคิดว่าหนุ่ม ๆ ส่วนใหญ่ก็คงต้องรู้สึกหมั่นไส้ผู้ชายแก๊งนี้ไม่มากก็น้อย

แล้วก็รับบทเป็นนักสืบหนุ่มสุดฉลาดที่เรียนรู้ทุกอย่างเพราะ “พ่อสอนให้ที่ฮาวาย” อย่าง คุโด้ ชินอิจิ ฉบับคนแสดงภาค ‘จดหมายท้าทายถึงคุโด้ ชินอิจิ’ (Detective Conan: Shinichi Kudo’s Written Challenge ปี 2006) และภาค ‘เผชิญหน้าองค์กรชุดดำ’ (Shinichi Kudo Returns! Showdown with the Black Organization ปี 2007)

‘เรียกเขาว่าอีกา’ (Crows Zero ปี 2007) และ ‘เรียกเขาว่าอีกา 2’ (Crows Zero II ปี 2009) ลูกชายเจ้าพ่อมาเฟียขาใหญ่ของเมืองที่พยายามพิสูจน์ให้ป๋าเห็นว่าตัวเองก็มีดี เลยสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนซูซูรันและพยายามขึ้นเป็นที่หนึ่งคุมโรงเรียนสุดโหดให้ได้ บทบาทของชุนในเรื่องเรียกเขาว่าอีกาทั้งมีเสน่ห์ โดดเด่น เป็นที่น่าจดจำ โดยเฉพาะกับทรงผม Top Knot ไว้ผมยาวซอยปะคอแบบรากไทร ส่วนด้านข้างก็ไถให้เหี้ยน จากนั้นเสยผมหน้าขึ้นให้หมดแล้วมัดไว้ด้านหลัง (หรือจะปาดเจลเอาก็ไม่ติดขัด) โชว์ใบหน้าหล่อ ๆ กับตาขวางพร้อมหาเรื่องพุ่งเข้าใส่ทุกคน ก็เท่เสียจนผู้ชายหลายคนที่ดูหนังเรื่องนี้ต่างพากันทำผมตามทาคิยะ เก็นจิ กันหลายคน สร้างปรากฏการณ์ทรงผมสุดโหดที่ต้องชั่งใจพักใหญ่ว่าจะตัดตามดีหรือไม่ ถ้าตัดแล้วจะเท่เหมือนกับต้นแบบรึเปล่า

หลังจากนั้นชุนรับงานอยู่พอสมควร สลับกับหายหน้าหายตาไปพักหนึ่ง และกลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้งด้วยการรับเล่นซีรีส์หลายเรื่อง ซึ่งเรื่องที่มีชื่อเสียงโด่งดังในญี่ปุ่นจนถูกพูดถึงออกมานอกเกาะมีหลายเรื่องด้วยกัน อาทิ Border (2014) ของช่อง Arashi ที่จะเล่าเส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับความตาย โดยชุนจะรับบทเป็น อิชิกาวะ อันโกะ สายลับสุดฉลาดช่างสังเกตที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน เป็นผู้ชายบ้างานที่ทุ่มวันเวลาทั้งหมดไปกำกับสืบสวนคดีต่าง ๆ จนหลงลืมการใช้ชีวิตของตัวเอง

วันหนึ่งเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิงเสียชีวิต อันโกะจึบรีบไปที่เกิดเหตุโดยไม่รู้ว่ามือปืนยังคงซุ่มรออยู่จนทำให้ถูกยิงเข้าที่หัว ในเสี้ยววินาทีระหว่างความเป็นกับความตายอันโกะใคร่ครวญถึงความรู้สึกแท้จริงสุดท้ายที่เพิ่งรู้ว่า ‘ผมยังไม่อยากตาย’

ในห้วงเวลาแห่งปาฏิหาริย์ เขารอดจากอาการโคม่าทั้งที่ยังมีกระสุนคาอยู่ในหัวกะโหลก เพราะทีมแพทย์ต่างลงความเห็นว่าหากทู่ซี้เอาออก ก็จะไม่มีโชคอย่างคราวที่แล้วแน่นอน แต่บางสิ่งไม่ใช่แค่กระสุนได้ติดตัวเขามาด้วย เมื่อหนุ่มโกงตายสามารถมองเห็นวิญญาณและสื่อสารกับคนตายได้

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นนักแสดงคนโปรดของวงการที่ได้รับบทเป็นตัวละครจากมังงะ เพราะชุนได้เล่นเป็นพระเอกเรื่อง ‘Lupin The 3rd ยอดโจรกรรมอัจฉริยะ’ ในปี 2014 ที่ในเรื่องมีนักแสดงไทยแวะไปแจมอยู่พอสมควร แม้เรื่องนี้จะถูกวิจารณ์ว่าไปไม่สุดสักทาง ยัดตัวละครหลากหลายสัญชาติเข้ามาอยู่ในเรื่องเต็มไปหมด แต่ในด้านการสวมบทเป็นจอมโจรของชุนก็ถือว่าดีเยี่ยมและรักษามาตรฐานได้ไม่เปลี่ยนแปลง

ผลงานอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นภาพจำของชุนนอกจากการเป็นเด็กเกเรหรือคุโด้ ชินอิจิ คือการรับบทเป็นพระเอกในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากมังงะสุดกวนชื่อดัง ‘กินทามะ ซามูไรเพี้ยนสารพัด’ Gintama: Mitsuba Arc (2017) คืออีกหนึ่งผลงานอันภาคภูมิของโอกุริ ชุน และทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมจนมีคำวิจารณ์ถึงขั้นว่า “ถ้าไม่ใช่ โอกุริ ชุน บทนนี้อาจไปไม่รอดก็ได้” จากนั้นไม่รอช้าต่อภาคสองด้วย Gintama 2: Gintama of the Unusual (2018) ที่ก็ทำให้แฟนการ์ตูนเรื่องนี้ตีตั๋วเข้าไปดูหนังเวอร์ชันคนแสดงกันเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม การรับบทเป็นพระเอกในซีรีส์โรแมนติก เป็นยากูซ่า เป็นนักสืบ เป็นชาวแก๊ง มักเล่นเป็นตัวละครในมังงะ อาจทำให้หลายคนมองว่าชุนจะเล่นได้แต่บทเดิม ๆ รอมังงะสักเรื่องถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และผู้ชมก็จะได้เห็นเขาอีกครั้ง แต่ชุนได้ลบคำวิจารณ์ด้านลบทั้งหมดออกไปกับการพลิกบทบาทเป็น ‘ดะไซ โอซามุ’ นักเขียนชื่อดังที่มีตัวตนจริงบนหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ได้ทำอัตวินิบาตกรรม ทิ้งงานเขียนชื่อดังไว้มากมายทั้ง ‘สูญสิ้นความเป็นคน’ ‘อาทิตย์สิ้นแสง’ และ ‘เมียชายชั่ว’

การรับบทเป็น ดะไซ โอซามุ วัยหนุ่ม ในเรื่อง No Longer Human (2019) จะเล่าถึงดะไซผู้มีความรักแสนยุ่งเหยิงกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา พร้อมกับการต่อสู้ทางอารมรณ์ ความเศร้า ความรู้สึกดำดิ่งของตัวเอง ทำให้ชุนได้มีโอกาสพิสูจน์ฝีมือเพื่อลบคำครหาอีกครั้ง (แต่คำติที่ชุนได้รับมักเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนน้อย) เพราะเขาเป็นดะไซที่เท่มากเสียจริง ๆ

ล่าสุดชื่อของเขายังไปโผล่ในหนังการต่อสู้ของสัตว์ประหลาดสุดยิ่งใหญ่ที่สร้างโดยฮอลลีวูดอย่าง Godzilla vs Kong ที่มีกำหนดฉายในปี 2021 ก็คงต้องติดตามดูกันต่อว่าชุนจะได้เดบิวต์ในภาพยนตร์ตะวันตกจริงหรือไม่ และหากโอกาสนี้มาถึง เขาจะสามารถใช้มันได้คุ้มค่าเท่าไหร่
ตอนนี้โอกุริ ชุน มีผลงานทั้งซีรีส์ ภาพยนตร์ และการพากย์เสียงแอนิเมชันรวมแล้วแตะหลักร้อย เขากลายเป็นขวัญใจของผู้หญิงญี่ปุ่น ควบคู่กับการเป็นต้นแบบหนุ่มในอุดมคติของผู้ชายญี่ปุ่นหลายคนที่อยากประสบความสำเร็จและมีสไตล์เท่ ๆ คูล ๆ แบบเขา

Source: 1 / 2
Source Photo: 1 / 2 / 3

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line