World

NIHON STORIES: “โอมชินริเกียว” ลัทธิคลั่งที่ว่าด้วยวันสิ้นโลกและการสังหารหมู่

By: TOIISAN September 4, 2020

เรื่องความเชื่อถือเป็นเรื่องเรื่องละเอียดอ่อน ค่อนข้างส่วนตัว และยากที่จะพูดถกเถียงกัน เห็นได้ชัดจากความเชื่อเรื่องศาสนา ความเชื่อเรื่องบุคคล หรือสิ่งลี้ลับ ที่ทำให้เพื่อนสนิทสามารถตีกันมานัดต่อนัด จึงทำให้คนส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกันว่าหากความเชื่อไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือไม่ทำให้เขาเสียคนจนสิ้นเนื้อประดาตัว ก็ปล่อยให้เขาเชื่อต่อไปเถอะครับ

อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้ใครสักคนเชื่อในสิ่งที่ตัวศรัทธาอาจใช้ไม่ได้กับลัทธิ ‘โอมชินริเกียว’ (Aum Shinrikyo) เพราะตัวของศาสนากับสมาชิกในลัทธิเคยสร้างเหตุการณ์สะเทือนขวัญจำไม่ลืมให้กับเกาะญี่ปุ่น

‘อาซาฮาระ โชโกะ’ ศาสดาของลัทธิโอมชินริเกียว

ในทุกศาสนาหรือลัทธิต่างต้องมีผู้นำหรือศาสดา อาซาฮาระ โชโกะ (Asahara Shoko) ถือเป็นศาสดาของลัทธิโอมชินริเกียว ก่อนจะมาเป็นโชโกะ ชายคนนี้มีชื่อจริงว่า มัตสึโมโตะ ชิซูโอะ (Matsumoto Chizuo) เด็กชายที่เติบโตมากับพี่น้องอีก 6 คน แถมบ้านยังมีฐานะยากจน และตัวเขาเองก็มีปัญหาสุภาพ การมองเห็นไม่เหมือนกับคนทั่วไปเพราะตาซ้ายบอดสนิทส่วนตาขวาเห็นแบบลาง ๆ

วัยเด็กของชิซูโอะแสนจะธรรมดา ได้ผลการเรียนระดับปานกลาง คบค้ากับกลุ่มนักเรียนอันธพาล เมื่อมีเวลาว่างก็มักรีดไถเงินจากนักเรียนที่เด็กกว่า พอเรียนจบมัธยมปลายเขาก็มีเงินเก็บมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ชิซูโอะเคยฝันว่าอยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโตเกียว แต่เขาไม่ใช่คนหัวดีขนาดนั้นจึงผิดหวังจากการสอบ พยายามทำให้ตัวเองอยู่รอดด้วยการต้มยาสมุนไพรขายอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง

ชิซูโอะสามารถหลอกขายยาได้หลายครั้ง เขาพบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง มีลูกด้วยกันถึง 6 คน งานของเขาคือการขายยาสมุนไพร เปิดคลินิกหลอกคนไข้จนถูกตำรวจจับในปี 1982 ด้วยข้อหาฉ้อโกงและขายยาโดยไม่มีใบอนุญาต จึงโดนปรับเงิน ทว่าเงินค่าปรับนั้นเป็นเพียงแค่เสี้ยวเดียวจากเงินทั้งหมดที่ชิซูโอะหลอกคนไข้ได้ เขามองเงินจำนวนมากที่เหลืออยู่ เริ่มตระหนักว่าตัวเองก็มีความสามารถไม่น้อย

อยู่มาวันหนึ่งเขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “อะไรคือสิ่งที่ฉันต้องการในชีวิตนี้ แล้วทำไมคนเราถึงต้องมีชีวิตอยู่” จากนั้นตกลงกับตัวเองว่าจะพยายามหาคำตอบที่ว่างเปล่านั้นให้เจอ ในปี 1984 ชิซูโอะนำเงินเก็บมาเปิดโรงเรียนสอนโยคะ พร้อมกับพยายามโฆษณาตัวเองว่าเป็นผู้หยั่งรู้ด้วยการแสดงอภินิหารลอยตัวอยู่กลางอากาศได้นาน 30 วินาที

จังหวะที่เขาพรีเซนต์ตัวเองเป็นช่วงที่สังคมญี่ปุ่นกำลังตื่นตัวกับเรื่องลี้ลับ สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ และการมาเยือนของพวกต่างดาว ประกอบกับผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งเอฟเฟกต์หนักทำให้ความเชื่อดั้งเดิมที่อยู่คู่กับสังคมญี่ปุ่นมานานอย่างพุทธศาสนานิกายชินโตเริ่มเสื่อมความนิยมลงเรื่อย ๆ คนต่างหาความเชื่อใหม่ไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ โรงเรียนสอนโยคะจึงเปลี่ยนเป็นที่เผยแผ่ความเชื่อในสไตล์ของชิซูโอะ

โอมชินริเกียว

ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ชิซูโอะสามารถกล่อมเกลาจิตใจเหล่าลูกศิษย์คลาสโยคะ นำความเชื่อที่มีอยู่แล้วบนโลกทั้งหลักธรรมของพุทธศาสนา บทภาวนาจากคริสต์ศาสนา ตำนานเรื่องเล่าของฮินดู มายำรวมกันจนเกิดเป็นคำสอนเฉพาะของศาสนาโอมชินริเกียว ผ่านทอดเรื่องราวลึกซึ้งชวนให้คล้อยตามด้วยวาทศิลป์นุ่มนวล

นอกจากคลาสกล่อมเกลา ศาสนาผู้ยิ่งใหญ่ (ในสายตาสาวก) ยังเขียนหนังสือเพื่อดึงดูดผู้คน จากนั้นจัดทริปรวมตัวไปยังสถานปฏิบัติธรรมที่ตัดขาดจากโลกภายนอก กล่อมเกลาป้อนความคิดแปลกประหลาดให้ผู้มีศรัทธา เขามักกล่าวเสมอว่าวันสิ้นโลกกำลังใกล้เข้ามาทุกที แต่อย่าได้ตื่นตระหนกไป เพราะยังไงเหล่าสาวกของโอมชิริเกียวจะรอดพ้นจากวิกฤตนี้อย่างแน่นอน

เหล่าสาวกมีตั้งแต่คนทั่วไปจนถึงมหาเศรษฐี นักการเมืองระดับรัฐมนตรี นายแพทย์ ทนายความ แถมยังจดทะเบียนเป็นองค์กรศาสนาแบบถูกกฎหมาย ยิ่งใหญ่จนภายหลังสามารถขยายสาขาไปถึงประเทศรัสเซีย และจากมัตสึโมโตะ ชิซูโอะ ก็เปลี่ยนเป็น อาซาฮาระ โชโกะ ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของลัทธิโอมชินริเกียวเป็นร่างอวตานของพระวิษณุ (ว่าไปนั่น)

ปัจจัยที่ทำให้คนหลงเชื่อคำสอนของโชโกะแบบหมดใจมีหลายเหตุผลด้วยกัน ญี่ปุ่นหลังจากบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องเร่งฟื้นฟูสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ทุกคนต้องดิ้นรนหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว เป็นช่วงเวลาที่แทบไม่มีพื้นที่ให้คนอ่อนแอ เมื่อทุกคนฝ่าฟันชีวิตสุดทรหดจนประสบความสำเร็จ มีทรัพย์สินมากขึ้น เดินไปตามกระแสของทุนิยมเข้มข้น ประกอบกับความเชื่อเก่าแก่อย่างชินโตเสื่อมความนิยมลง และตื่นตัวกับความเชื่อแปลกใหม่ โหยหาความสุข ต้องการเยียวยาจิตใจมากกว่าเงินทอง โอมชินริเกียวจึงฉวยโอกาสที่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่กำลังสับสน สร้างลัทธิของตนให้ผงาดขึ้นมาจนเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ

ชาวญี่ปุ่นที่หลงทางเดินเข้าเป็นสาวกของโชโกะทุ่มหนักจนน่ากลัว บางคนยอมมอบทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่ลงแรงสร้างมาทั้งชีวิตให้โอมชินริเกียว หลายคนมีครอบครัวยอมตัดขาดความสัมพันธ์กับคนรัก เพราะพวกเขาชื่อในคำสอน หลงใหลได้ปลื้มกับความยิ่งใหญ่ของโชโกะอย่างหมดใจ วัดใจจากการที่พวกเขายอมดื่มน้ำที่โชโกะใช้อาบ ยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อได้สารคลั่งหลั่งของศาสดา

ลับหลังที่หลอกสาวก โชโกะยังขายอาหารเสริมแถมยังรับจ๊อบเสริมด้วยการผลิตยาบ้าส่งให้แก๊งยากูซ่า เอาเงินมหาศาลจากการค้ายาและหลอกต้มผู้หลงเชื่อมาปรนเปรอตัวเอง ค่อย ๆ สะสมอาวุธสงคราม ลงทุนพัฒนาอาวุธเคมี เพื่อทำให้คำทำนายที่เขาเคยกล่าวไว้บ่อยครั้งเป็นจริง หากโลกไม่แตกเขาก็จะเป็นคนทำให้โลกแตกเอง จะได้ไม่ผิดคำพูดที่เคยเอ่ยไว้

ระหว่างเผยแผ่ศาสนา มีทนายความคนหนึ่งชื่อว่า ซากาโมโตะ ทสึซูมิ (Sakamoto Tsutsumi) ออกมาวิจารณ์ศาสนาลวงโลกอย่างเผ็ดร้อน เขาเปิดตัวชัดเจนว่าจะเป็นปรปักษ์กับโอมชินริเกียวและโชโกะ จนสื่อหลายสำนักเริ่มให้ความสนใจทนายที่ออกมากล่าวหาว่าศาสนานี้เป็นแค่เรื่องปาหี่ของมิจฉาชีพ ทำให้กลุ่มลัทธิต้องจัดการขึ้นเด็ดขาด

ในปี 1989 สมาชิกของลัทธิได้ก่อเหตุสังหารโหดตระกูลซากาโมโตะ พวกเขายกพวกไปยังบ้านซากาโมโตะ สังหารทนายความ ภรรยา และทารก อย่างโหดเหี้ยม แถมไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ตัวเองทำเพราะ อาซาฮาระ โชโกะ กับสาวกคนสนิทที่มีความรู้ความสามารถ ยังเคยลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เขาจึงเร่งวางแผนเพื่อก่อเหตุวินาศกรรมทั่วประเทศญี่ปุ่น

วันที่ 27 มิถุนายน 1994 สาวกกลุ่มหนึ่งลักลอบปล่อยก๊าซพิษในเมืองมัตสึโมโตะ ในจังหวัดนางาโนะ จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย บาดเจ็บอีกนับร้อยคน การก่อเหตุครั้งนี้สร้างความเลื่อมใสยิ่งใหญ่สำหรับสาวกผู้กู่ไม่กลับ แต่ขณะเดียวกัน สาวกบางส่วนรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลและพยายามออกจากลัทธิ พวกเขาก็จะพบจุดจบที่ไม่น่าดูเพราะโชโกะจะส่งคนไปตามเก็บ เพราะเมื่อไหร่ที่ก้าวขาเข้ามาในโอมชินริเกียวแล้ว คุณจะไม่มีวันหันหลังกลับไปได้

หน่วยงานความมั่นคงญี่ปุ่นตั้งโต๊ะแถลงการณ์ครั้งสำคัญ ประกาศเพิกถอนโอมชินริเกียวออกจากการเป็นลัทธิหรือศาสนาที่ถูกกฎหมาย นับแต่นี้ไปพวกเขาจะเป็นเพียงแค่ลัทธิเถื่อน เจ้าหน้าที่จะมีสิทธิยื่นมือเข้าไปตรวจสอบได้มากขึ้น ทำให้โชโกะออกมาอัดคลิปโต้ตอบการเพิกถอนครั้งนี้แบบดุดัน

ปี 1995 สาวกก่อเหตุร้ายอีกครั้ง ด้วยการใช้อาวุธเคมีโจมตีประชาชน ณ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินคาซูมิงาเซกิ ในเขตจิโยกะ ของกรุงโตเกียว เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 6,200 คน มีผู้เสียชีวิต 13 ราย รวมถึงคดีฆาตกรรมอื่น ๆ ทำให้มีคนตายอีก 29 ราย

หลังจากก่อเหตุหลายครั้ง ในที่สุดเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้นำก๊าซพิษมาใช้โจมตีผู้คนได้ ผู้ก่อเหตุอ้างว่าทำไปเพราะว่าต้องการปลดปล่อยมนุษย์ การสังหารหมู่คือทางรอดสำคัญคนที่ไม่ได้อยู่ในลัทธิ ทางเจ้าหน้าที่จึงนำตัวศาสดามาสอบสวน แต่โชโกะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปัดความรับผิดชอบไปไกลตัวและอ้างว่าตัวเองได้เอ่ยปากห้ามเหล่าสาวกแล้ว แต่พวกเขาไม่ฟังคำเตือนเอง

สุดท้ายพวกเขาก็ดิ้นไม่หลุดต่อหลักฐาน โชโกะและสาวกคนสนิทถูกจับยกแก๊ง ที่น่าตกใจคือหนึ่งในสาวกรุ่นแรก ๆ มีอดีตรัฐมนตรีกระทรวงก่อสร้าง คิโยฮิเดะ ฮายากาวะ ร่วมด้วย สร้างความสะพรึงกลัวกับสังคมญี่ปุ่นว่าแม้จะมีการศึกษาสูงหรือมีฐานะการงานที่มั่นคง พวกเขาก็สามารถเข้าสู่ลัทธิประหลาดได้ด้วยกันทั้งนั้น ในปี 2004 โชโกะกับสาวกอีก 6 คน (รวมเป็น 7 คน) ถูกตัดสินประหารชีวิต

การประหารชีวิตกินเวลากว่า 23 ปี เพราะผู้ต้องหาพยายามต่อสู้คดีในชั้นศาลแบบสุดชีวิต ไล่มาเรื่อย ๆ จนถึงศาลฎีกา มีญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปล่อยก๊าซพิษจำนวนมากเดินทางมายังศาลเพื่อตะโกนกาทอโชโกะ ทว่าเขากลับมีท่าทีสบาย ๆ มองดูญาติของผู้ตายด้วยสายตาเย็นชาไม่ยี่หระ แถมยังหาวใส่พวกเขาและงีบหลับไปหนึ่งทีด้วย

ระหว่างที่โชโกะจำคุกในแดนขังเดี่ยว เขามีท่าทางเหมือนกับคนเสียสติ ล่องลอย เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง หลายคนตั้งข้อสันนิษฐานว่าเขาไม่ได้บ้าแต่พยายามหลบเลี่ยงโทษประหารเพื่อให้กลายเป็นผู้วิกลจริตแทน (เพราะญี่ปุ่นจะเว้นโทษประหารชีวิตคนที่มีอาการป่วยทางจิต) แต่บางส่วนก็เชื่อว่าเขาบ้าจริง ๆ

แม้จะไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่บ้าจริงหรือไม่ แต่แพทย์ผู้เข้าไปตรวจร่างกายพร้อมกับเช็กสภาพจิตของโชโกะในคุกเขียนใบรับรองแพทย์ว่าเขาไม่ได้บ้า ท้ายที่สุดพวกเขาทั้ง 7 คนก็ถูกแขวนคอ ปิดตำนานผู้นำคลั่งที่สามารถต้มคนได้เป็นจำนวนมาก และสาวกหัวรุนแรงที่สังหารหมู่ชาวญี่ปุ่นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยความตาย

Source: 1 / 2 / 3 
Source Photo: 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line