World

NIHON STORIES: ‘โจรนิรนามในคราบตำรวจ’ การปลอมตัวสุดเนียนเพื่อปล้นเงิน 300 ล้านเยน

By: TOIISAN November 10, 2020

การปล้นธนาคารหรือปล้นรถขนเงิน คือสิ่งที่เห็นบ่อยครั้งในการ์ตูน วรรณกรรม และภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนญี่ปุ่น บ้างก็สามารถปล้นเงินจำนวนมหาศาลได้สำเร็จเพราะใช้ทีมงานจำนวนมากควบคู่กับการวางแผนรัดกุม แต่ส่วนใหญ่มักจะโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัวได้คาที่หรือตามจับกันได้ภายหลัง ทว่าชายหนุ่มคนหนึ่งกลับสร้างวีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ที่ตราตรึงชาวญี่ปุ่นยุค 60s ด้วยการปล้นเงินราว 300 ล้านเยน แล้วหนีไปอย่างชิล ๆ โดยไม่มีใครสามารถตามจับได้

เรื่องราวอื้อฉาวแห่งยุคเกิดขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคม 1968 ณ มหานครโตเกียว ขณะที่รถขนเงินของธนาคารนิปปอนทรัสต์ (Nippon Trust Bank) สาขาโคกูบุนจิ พนักงานทั้งหมด 4 คน นำเงินสดเต็มคันรถออกจากธนาคาร ขณะที่รถกำลังแล่นอยู่กลางถนน บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งไม่ต่างจากวันอื่น ๆ แต่กลับมีชายคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขี่รถจักรยานยนต์ที่ตำรวจใช้ในเวลาราชการตีขนาบพร้อมบอกให้คนขับรถขนเงินค่อย ๆ ชะลอความเร็ว และอย่าตื่นตระหนกหรือเบรกกะทันหัน สร้างความงุนงงให้กับเจ้าหน้าที่ธนาคารที่อยู่บนรถเป็นอย่างมาก

หลังคนขับตบไฟเลี้ยวนำรถขนเงินจอดเข้าข้างทาง เขาลงมาคุยกับชายที่เขาคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ชายคล้ายตำรวจได้แจ้งกับพนักงานว่าตัวเองได้รับรายงานว่ารถขนเงินคันนี้ไม่ได้กำลังขนแค่เงินสด แต่ยังขนระเบิดเวลาติดมาด้วย

หากเป็นแค่คำพูดลอย ๆ ของคนคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงคนเดียว อาจไม่ทำให้พนักงานทั้ง 4 คน ที่มากับรถขนเงินเชื่อสนิทใจ อย่างไรก็ตาม ชายคนดังกล่าวไม่รอช้าไซโคต่อว่าไม่รู้เหรอว่าก่อนหน้านี้ทางธนาคารนิปปอนทรัสต์ได้รับจดหมายข่มขู่หลายครั้ง ประกอบกับบ้านพักของผู้จัดการธนาคารสาขาที่ขนเงินออกมาก็เคยถูกวางระเบิด

ยังไม่ทันได้ทีเวลาให้พินิจพิจารณา อยู่ ๆ ก็มีกลุ่มควันลอยออกมาจากใต้ท้องรถ ชายคล้ายเจ้าหน้าที่จึงรีบก้มลงดูที่ใต้ท้อง เมื่อเห็นสิ่งที่ทำให้เกิดควันเขาก็มีท่าทีตื่นตระหนก ใบหน้าซีดเผือด เขากลิ้งเกลือกลนลานอยู่ตรงพื้น ล้มลุกคลุกคลานแล้วค่อยยืนขึ้นเพื่อตะโกนบอกกับพนักงานธนาคาร 4 คนว่า “ระเบิด! มีระเบิดอยู่ใต้นี้!”

ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำ พวกเขารีบวิ่งหนีให้ไกลจากตัวรถให้มากที่สุดเท่าที่จะไกลได้เพื่อรักษาชีวิตตัวเองโดยไม่ทันได้ดูว่ามีใครกำลังกระตุกยิ้มมุมปากอยู่

ระหว่างที่กำลังวิ่งหนีสุดชีวิต ชายแต่งกายคล้ายตำรวจที่ตะโกนว่ามีระเบิดอยู่ใต้ท้องรถก็โยนข้าวของจำนวนมากที่พกมาด้วยไว้บนพื้น ก่อนจะรีบเปิดประตูรถขนเงิน ขึ้นไปนั่งตรงที่คนขับ เข้าเกียร์ เหยียบคันเร่งสุดชีวิตหนีไปต่อหน้าต่อตาพนักงานธนาคารทั้ง 4 คน รถขนเงินที่มีเงินสดเกือบ 300 ล้านเยน อัดแน่นอยู่เต็มหลังรถถูกขโมยหายไปโดยชายเพียงคนเดียว เหลือทิ้งไว้เพียงมอเตอร์ไซค์ที่ถูกปรับแต่งให้คล้ายกับรถที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกับข้าวของไร้สาระกองเต็มถนนไว้ดูต่างหน้า

พนักงานธนาคารเมื่อรู้ว่าถูกแหกตาครั้งใหญ่จึงรีบโทรแจ้งตำรวจ หน่วยสืบสวนเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุก็ต้องพบกับภาพชวนสงสัย เมื่อบนถนนเต็มไปด้วยหลักฐานกว่า 120 ชิ้น เป็นสิ่งของไร้สาระ ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ โดยคาดว่าหัวขโมยโปรยทิ้งไว้ก่อนจะขับรถขนเงินหนีไปเพราะต้องการใช้หลักฐานกว่าร้อยชิ้นสร้างความสับสนให้กับตำรวจ และช่วยถ่วงเวลาให้เขาหนีไปได้นานขึ้น

ภายหลังรถขนเงินถูกขโมย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ตัวจริง) ได้สอบสวนเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด จากการตรวจสอบจำนวนเงินที่ถูกขโมยพบว่าเงินที่อยู่ในรถทั้งหมดมีมูลค่า 294,307,500 เยน หากใช้อัตราแลกเปลี่ยนจากเงินเยนเป็นดอลลาร์ในปี 1968 อยู่ 817,520 ดอลลาร์ หรือราว ๆ 25.5 ล้านบาท

เงินจำนวนมหาศาลสร้างชื่อเสียงให้กับคดีนี้ ข่าวญี่ปุ่นทุกสำนักต่างตีข่าวการขโมยที่แสนจะหวานหอมและชาญฉลาด ซึ่งการถูกสื่อจับจ้องก็ถือเป็นการกดดันเจ้าหน้าที่สืบสวนให้เร่งทำงานอย่างเต็มที่เพื่อตามหาหัวขโมยตัวแสบให้ได้

เจ้าหน้าที่สืบสวนได้แถลงกับสื่อว่าคดีสุดฉาวครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนทำงานมากกว่า 170,000 คน ได้ส่งภาพผู้ต้องสงสัยกว่า 780,000 ภาพ ส่งไปทั่วเกาะญี่ปุ่น และมีรายชื่อผู้ต้องสงสัยเข้าข่ายมากกว่า 110,000 รายชื่อ ซึ่งการใช้เจ้าหน้าที่นับแสนคนเพื่อคดีเดียวก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ และทำให้การปล้นเงิน 300 ล้านเยนครั้งนี้ กลายเป็นคดีอาชญากรรมที่ใช้ทีมสืบส่วนใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

 

 

ในวันที่ 12 ธันวาคม 1969 เจ้าหน้าที่ได้จับกุมชายต้องสงสัยวัย 26 ปีมาสอบสวน ชื่อของเขาคือ ไมนิจิ ชิมบุน (Mainichi Shimbun) ทว่าเขาก็ต้องถูกปล่อยตัวภายหลังเพราะในเวลาที่เกิดการปล้น นายชิมบุนกำลังเข้ารับการตรวจร่างกายอยู่ในโรงพยาบาล จึงทำให้เข้ามาหลักฐานพยานแน่นหนา ต่อมาไม่นานเจ้าหน้าที่จับกุมชายต้องสงสัยอีกคนได้ คราวนี้เป็นเด็กวัย 19 ปี พ่อเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สุดท้ายก็ต้องคว้าน้ำเหลวเมื่อเด็กชายเครียดจัดจนตัดสินใจฆ่าตัวตาย ไม่นานหลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ข้อพิสูจน์ว่าเขาบริสุทธิ์ ความตายของเด็กที่ไม่รู้เรื่องส่งให้สื่อและประชาชนวิจารณ์การทำงานของตำรวจอย่างเผ็ดร้อน

อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีที่ว่าหัวขโมยต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงเป็นข้อสันนิษฐานหลักที่น่าเชื่อถือ ศาสตราจารย์วาตานาเบะ มาโคโตะ (Watanabe Makoto) จากมหาวิทยาลัย Hokkaido Bunkyo กล่าวว่า “ผู้ก่อเหตุจะต้องเป็นลูกชายของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือคนใกล้ชิด เพราะเขารู้ถึงขั้นตอนการขอตรวจรถของตำรวจ มีเครื่องแต่งกายที่หลอกตาคน และรู้ว่าจะต้องแต่งรถมอเตอร์ไซค์อย่างไรให้เหมือนต้นแบบ”

ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1975 ที่ทิ้งห่างจากปีที่เกิดเหตุนาน 7 ปี เจ้าหน้าที่จับผู้ต้องสงสัยได้อีกคน เป็นเด็กหนุ่มที่รวยแบบผิดปกติ เป็นเพราะอยู่ ๆ เจ้าหน้าที่ธนาคารสังเกตเห็นความผิดปกติของยอดเงินในบัญชีที่พุ่งสูงขึ้นจนน่าตกใจ เขาจึงกลายเป็นอีกหนึ่งถูกต้องสงสัย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจขอคำอธิบายถึงเงินจำนวนมากในบัญชี เขาก็ปิดปากเงียบไม่ยอมพูดอะไร และสิ่งที่ชวนปวดหัวมากที่สุดคือทางทีมสอบสวนก็ไม่สามารถแกะรอยได้ว่าเงินจำนวนมากนี้มาจากไหน ได้จากการเล่นพนัน เล่นหุ้น ขายของผิดกฎหมาย หรือว่าปล้นรถขนเงินมากันแน่

คดีปล้นรถขนเงิน 300 ล้านเยน ยืดเยื้อมานานกว่า 7 ปี แต่ละช่วงเวลาเจ้าหน้าที่ก็สามารถตามจับถูกต้องสงสัยมาสอบสวน แต่ก็ไม่สามารถหาตัวคนร้ายได้สักที จนอายุความเดินมาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อปี 1988 ท้ายที่สุดผู้ร้ายก็ไม่ถูกจับ เงินหลักร้อยล้านถูกปลดเปลื้องหนี้สินทางแพ่ง

สิ่งที่จี้ที่สุดของคดีนี้คือ นายตำรวจตัวปลอมคนนั้นสามารถเอาวีรกรรมของตัวเองไปโพนทะนาได้โดยไม่ถูกจับอีกด้วย แต่วันแล้ววันเล่าก็ไม่มีใครเคยได้ยินว่าจะมีชายคนไหนมาเคลมว่าวีรกรรมการปล้นสุดหวานหมูนี้เป็นฝีมือเขาเลย ถึงมีพวกแอบอ้าง พอถูกถามว่าเงินไปไหนหมดก็เฉไฉไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ และตำนานการปล้นสุดฉาวที่สร้างความอับอายให้กับตำรวจญี่ปุ่นก็จะยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำคู่ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นตลอดไป


 

Source: 1 / 2 / 3 / 4
Source Photo: 1

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line