

World
“โทล์บยอน ปีเตอร์เซน” กับการเดินทางรอบโลกที่ต้องหยุดพักครั้งแรกในรอบ 6 ปีเพราะโควิด-19
By: unlockmen April 26, 2020 182843
เชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้คงทำให้หลายคนพบเจอกับหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป บางคนต้องทำงานและใช้ชีวิตต่างไปจากเดิมซึ่งมีผลกระทบน้อยมากแตกต่างกันออกไป
แต่สำหรับคนที่ยังสู้และรอโอกาสเริ่มต้นใหม่ วันนี้ UNLOCKMEN มีเรื่องราวและมุมมองดี ๆ จากชายที่ต้องหยุดพักการเดินทางรอบโลกซึ่งใช้เวลากว่า 6 ปีลง เพราะไม่สามารถเดินทางต่อได้ในระหว่างที่หลายประเทศเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอยู่
ซึ่งอาจส่งผลให้การเดินทางทั้งหมดต้องถูกยกเลิกไป ทั้ง ๆ ที่เหลือจุดหมายอีกแค่ 9 ประเทศจากทั้งหมด 203 ประเทศเท่านั้น ในเวลาที่เรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตจำเป็นต้องหยุดพักลง ตัวเขาจะมีวิธีจัดการกับมันอย่างไร เราอยากพาทุกท่านไปทำความรู้จักและหาคำตอบไปพร้อมกัน
Don’t Stop Living
โทล์บยอน ปีเตอร์เซน (Torbjorn C Pedersen) คือชื่อของชายวัย 42 ปี เจ้าของทริปเดินทางรอบโลก 203 ประเทศโดยไม่ใช้เครื่องบิน ที่ตั้งชื่อว่า Once Upon a Saga โดยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ตัวเขาเดินทางไปเยือนมาแล้วถึง 194 ประเทศและเหลือเพียง 9 ประเทศเท่านั้น
แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างตัวเขาสักเท่าไหร่ เพราะในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ระหว่างนั่งเรือไปยังประเทศฮ่องกงเพื่อเปลี่ยนเส้นทางไปยังจุดหมายในช่วงท้าย กลับกลายเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้การเดินทางที่ต่อเนื่องยาวนานต้องหยุดลงเป็นครั้งแรก และจวบจนถึงตอนนี้ตัวเขาได้ติดแหง่กอยู่ในฮ่องกงมาแล้วกว่า 80 วัน
เรื่องราวของเขากำลังถูกพูดถึงเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนออกมาให้กำลังใจเพราะพวกเขารู้ดีว่าตลอดการเดินทาง โทล์บยอนมีโอกาสได้พบทั้งเรื่องราวดี ๆ และประสบการณ์ชีวิตสุดเสี่ยงตายนับครั้งไม่ถ้วน และการยกเลิกในขณะที่เหลือแค่ 9 ประเทศก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้ง่าย แต่ระหว่างที่ตัวเขากำลังหาทางสานต่อความฝันของตัวเองให้สำเร็จ มาย้อนดูว่า อะไรที่ทำให้เขาตัดสินใจเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ ? และประสบการณ์ครั้งไหนที่ลืมไม่ลงที่ มาฟังคำตอบไปพร้อมกัน
โทล์บยอน ซี ปีเตอร์เซน คือชาวแสกนดิเนเวียนขนาดแท้ที่เกิดในเมือง Kerteminde ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศเดนมาร์ก อย่างไรก็ตามดูเหมือนโชคชะตาจะต้องการปลูกฝังให้เขาเป็นนักเดินทางตั้งแต่เด็ก เพราะทั้งครอบครัวของโทล์บยอน จำเป็นต้องเดินทางเพื่อไปทำงานกับพ่อไกลถึงแคนาดาสลับกับสหรัฐอเมริกาเป็นบางช่วง ก่อนที่ในปี 1984 เขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตวัยรุ่นในเดนมาร์กและเรียกหนังสืออีกครั้ง
ขณะเดียวกันคุณแม่ของโทล์บยอน เคยเป็นไกด์มาก่อน ทำให้เธอสามารถพูดได้หลายภาษาและตัวเขาก็มีโอกาสได้ฟังเรื่องราวของนักเดินทางจำนวนมากผ่านเรื่องเล่าของคุณแม่ โทล์บยอน เลือกเรียนสายการช่างและเลือกเบนเข็มมาเข้าสู่โรงเรียนทหาร ก่อนจบมารับทำหน้าที่เป็น Royal Life Guard อยู่ช่วงหนึ่ง และตัดสินใจย้ายมาทหารในสังกัดองค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีโอกาสได้ประจำการทั้งในประเทศเอธิโอเปีย ลิเบีย บังกลาเทศ และสหรัฐอเมริกา
แต่ความรักในการเดินทางที่มีมาตั้งแต่เด็กก็ถูกสานต่อในปี 2013 โทล์บยอนเริ่มวางแผนเดินทางรอบโลกใน 203 ประเทศโดยไม่ใช่เครื่องบินและมีกฎว่าจะต้องอยู่ในแต่ละประเทศให้ครบหรือมากกว่า 24 ชั่วโมง กระจายไปในทวีปยุโรป, ทวีปอเมริกา, ทวีปแอฟริกา รวมถึงดินแดนตะวันออกกลาง เอเชียและหมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก
ซึ่งถ้าทำสำเร็จเขาจะเป็นคนแรกในโลกที่ทำได้เพราะสถิติเดินทางรอบโลกด้วยการขนส่งสาธารณะที่ Graham Hughes เคยทำไว้ มีการเดินทางกลับอังกฤษด้วยเครื่องบินรวมอยู่ด้วย
battleface
โทล์บยอนตั้งชื่อการเดินทางครั้งนี้ว่า Once Upon a Saga และออกเดินทางครั้งแรกในวันนี้ 10 ตุลาคมปี 2013 เริ่มต้นจากการมุ่งหน้าลงใต้เพื่อนั่งรถไฟไปที่ประเทศเยอรมนี โดยมีจุดหมายปลายทางสุดท้ายคือเกาะมัลดีฟและวางแผนเอาไว้ว่าเดินทางกลับเดนมาร์กในปี 2020
การเดินทางของโทล์บยอนส่วนใหญ่ หากเป็นเส้นทางระหว่างประเทศ เขาจะเลือกรถไฟหรือรถยนต์สาธารณะ แต่ในกรณีที่ต้องเดินทางข้ามทวีปตู้คอนเทนเนอร์บนเรือบรรทุกสินค้าคือที่พักหลักเขา พร้อมกำหนดการใช้เงินของตัวเองเอาไว้ที่ 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อ/วัน ซึ่งรวมค่าอาหาร ที่พัก และค่าเดินทางทุกอย่างเท่าที่จะสามารถบริหารได้ แม้ในช่วงหนึ่งจะได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุน Ross Offshore แต่ไม่นานก็ต้องกลับมาพึ่งเงินออมที่เตรียมไว้ของตัวเอง
Don’t Stop Living
การเดินทางมากกว่า 200,000 กิโลเมตรตลอดระยะเวลาหลายปีของโทล์บยอนตั้งแต่ปี 2013 -2020 ถูกติดตามและขอสัมภาษณ์จากสื่อชั้นนำทั้ง BBC, National Geographic, Forbes, Lonely Planet และ Al Jazeera เพราะการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่การท่องเที่ยวทำสถิติเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการเดินทางเพื่อพบเจอผู้คนในประเทศต่าง ๆ ในฐานะทูตขององค์กรกาชาดโลกไปพร้อมกันด้วย
โทล์บยอนเคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวบางส่วนที่เขาเคยพบเจอมาซึ่งเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ลืมไม่หลง ไม่ว่าเป็นตอนที่มีโอกาสเดินทางไปยังประเทศกานา ในตอนนั้นการหาที่พักเป็นเรื่องยากโทล์บยอนจึงต้องอาศัยนอนในปั๊มน้ำมันรกร้างแห่งหนึ่ง ผลปรากฏว่าตัวเขาโดนยุงเล่นงานซะอ่วม รวมถึงได้ไข้มาลาเรียเป็นของแถมด้วย ทำให้ต้องพักใช้เวลาพักรักษาตัวอยู่นาน รวมถึงถูกรักษาด้วยการกินยามากถึง 25 เม็ด/วัน จนกว่าอาการจะกลับมาเป็นปกติ
Trift
เหตุการณ์ลืมไม่ลงครั้งต่อมา เกิดขึ้นที่พรมแดนของประเทศแคเมอรูนและคองโก ระหว่างที่ตัวเขานั่งรถแท็กซี่เพื่อข้ามพรมแดนตอนตี 3 เพื่อให้แผนการเดินทางเป็นไปตามกำหนด แต่ระหว่างทางกลับถูกเรียกให้หยุดโดยชายในเครื่องแบบ 3 คนที่มีอาวุธครบมือในท่าทางเมามายซึ่งอาจยกปืนขึ้นมายิงพวกเขาได้ตลอดเวลา โทล์บยอนและคนขับถูกกักตัว 45 นาที เขาเล่าว่าเป็น 45 นาทีที่ยาวนานที่สุดในชีวิต กว่าจะได้รับอนุญาตให้ผ่านไปได้ แต่ไม่ว่าจะพบกับอันตรายสักกี่ครั้ง โทล์บยอนก็ไม่เคยหยุดการเดินทางของตัวเองลงเลย
กลับกัน หลาย ๆ ครั้งเขากลับได้รับกำลังใจจากผู้คนที่เข้ามาคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย รวมถึงผู้คนมากมายระหว่างการเดินทางที่ช่วยเหลือเขาทั้งด้านการเดินทาง อาหารและที่พัก ผู้คนในหลายประเทศ ที่ทำให้การเดินทางหลายครั้ง กลายเป็นการแบ่งปันความทรงจำที่สวยงามร่วมกัน
เวลาผ่านไปกว่า 6 ปีพร้อมการเดินทางที่ผ่านไปกว่า 300,000 กิโลเมตร โทล์บยอนเดินทางไปเหยียบมาแล้ว 194 ประเทศ เหลือเพียงไม่กี่ประเทศตามแผน คือหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างปาเลา, วานูอาตู, ซามัวและตูวาลู รวมถึงประเทศเป้าหมายในช่วงท้ายอย่างนิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, ศรีลังกาและเกาะสวรรค์อย่างมัลดีฟเพื่อแต่งงานกับคู่หมั้นที่กำลังรออยู่
แต่ระหว่างที่โทล์บยอนเดินทางมาที่ฮ่องกงเพื่อเปลี่ยนเรือ สถานการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น นั่นคือการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของจีนก็ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว ทำให้เส้นทางไปต่อของโทล์บยอนถูกปิดตายลงชั่วคราว
ที่จริงแล้วโทล์บยอนต้องแลกเปลี่ยนหลายอย่างในชีวิตไปกับการเดินทางครั้งนี้ เขาเคยทะเลาะกับคู่หมั้นเพราะความรักระยะไกลที่ไม่เจอกันเลยตลอดหลายปี และทุ่มเงินเก็บจำนวนมากให้กับจนทำให้ความมั่นคงทางการเงินเริ่มมีปัญหา ซ้ำยังไม่มีโอกาสได้บอกลาคุณยายที่เสียชีวิตไประหว่างเดินทาง ลึก ๆ แล้วในใจเขาจึงไม่ต้องการให้มันสิ้นสุดลงแบบนี้
ปัจจุบันโทล์บยอนติดอยู่ในฮ่องกงมานานกว่า 80 วันแล้ว ซึ่งถ้าเกิดตัดสินใจยอมแพ้ก็สามารถบินกลับไปที่เดนมาร์กได้ทันทีหลังจากกักตัว แต่เขายังคงรอความหวังที่จะได้ไปต่อ แม้จะรู้ว่าอาจต้องใช้เวลารออย่างน้อย 10 เดือนถึง 1 ปีหรือจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องราวของเขาถูก CNN เผยแพร่ออกไป มีผู้คนมากมายส่งข้อความให้กำลังใจเพื่อให้เขาสู้ต่อ พร้อมกันเอกอัครราชทูตเดนมาร์กและองค์กรกาชาดก็ยืนมือเข้าช่วยเหลือด้วยการเสนอที่พัก และระหว่างนี้ให้ร่วมเดินทางและทำงานไปกับโครงการต่าง ๆ ของสภากาชาดในประเทศฮ่องกง ระหว่างรอให้สถานการณ์กลับมาปกติเพื่อเดินทางต่ออีกครั้ง
ด้านโทล์บยอนตัวเขารู้ดีว่านี่คือช่วงเวลาที่การเดินทางรอบโลกของเขาไม่อาจเดินหน้าต่อได้ แต่ก็ยังคงเฝ้ารออย่างมีความหวังและย้ำให้ทุกคนมั่นใจอย่างชัดเจนผ่านคำพูดที่ว่า “ผมพร้อมที่จะเดินทางอีกครั้ง และกลับบ้าน เพราะผมยังมีพลังและความมุ่งมั่นไม่ต่างจากเดิม”
และ UNLOCKMEN ก็ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้โทล์บยอน ซี ปีเตอร์เซน สามารถกลับมาเดินทางอีกครั้งโดยเร็ว เพื่อที่จะได้เดินทางกลับบ้านและพบเจอกับคนที่รักอีกครั้ง และสำหรับคนที่ชีวิตต้องหยุดพักชีวิตจากหลายสิ่งที่เคยทำมาตลอดเหมือนกับเขา นี่คงเป็นช่วงเวลาที่เราคงต้องปรับความคิด ปรับการเป็นอยู่ และเอาตัวรอดเพื่อรอช่วงให้ได้กลับมาสู้บนเส้นทางของตัวเองในวันข้างหน้าอีกครา…