CARS

จุดเริ่มต้น MotoGP การแข่งขันนักบิด 4 สูบ WORLD CHAMPIONSHIP ที่เร็วและเก่าแก่ที่สุดในโลก

By: Chaipohn April 27, 2018

ช่วงนี้บ้านเรากำลังอยู่ในกระแสตื่นเต้นของการแข่งขัน MotoGP เป็นการแข่งขันที่ผู้ชื่นชอบ Motorsport ต้องทราบความยิ่งใหญ่กันอยู่แล้ว แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ความรายการนี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ทำไมอยู่ ๆ ถึงมาจัดที่ประเทศไทยได้ เปรียบให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ ถ้า F1 เป็นการแข่งขันรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก MotoGP ก็คือการแข่งขันมอเตอร์ไซต์ที่เร็วที่สุดและเป็นรายการระดับ World Championship ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกนั่นเอง ดังนั้นการที่ MotoGP ปีนี้ถูกจัดขึ้นในบ้านเรา ใช้ชื่อ Title การแข่งขันว่า “Thailand Motorcycle Grand Prix” จึงมีความหมายเป็นอย่างมากสำหรับพวกเราทุกคน

ในโอกาสดีแบบนี้ เราจึงมาย้อนเรื่องราวประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่และเก่าแก่ของรายการ MotoGP เผื่อใครอ่านแล้วอยากจะรีบไปจองบัตรเพื่อรับชมการแข่งขันที่สุดท้าทายและดุเดือด รวมถึงการพบปะนักแข่งระดับโลกมากมายอย่างใกล้ชิด ตอนนี้บัตรก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว แต่รีบจองตอนนี้อาจจะทัน

ถ้าแยกรายการแข่งมอเตอร์ไซต์ออกเป็น 3 รายการหลักภายใต้การรับรองโดย Federation Internationale de Motorcyclisme (FIM) ได้แก่ MotoGP, Superbike World Championship และ Isle of Man TT มีเพียง MotoGP รายการเดียวเท่านั้นที่ใช้รถสร้างสำหรับการแข่งขันโดยเฉพาะ ไม่มีวางขายในรุ่น Production Car ทั่วไป ต่างจากอีกสองรายการที่ใช้รถ Production Car มาปรับแต่งเพื่อลงแข่งขัน และแม้ Isle of Man TT จะมีความเก่าแก่ไม่แพ้ MotoGP แต่ก็ไม่ใช่การแข่งแบบ World Championship ในประวัติศาสตร์ Isle of Man TT เคยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ MotoGP ในช่วง 1949–1976 แต่ก็ถูก Discontinued ไปเนื่องจากความอันตราย และถูกพูดถึงว่าเป็นการแข่งขันที่ “Not suited to the growing professionalism”

Images courtesy of Motogp.com

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของ MotoGP ที่จริงแล้วการแข่งขัน Motorsport ที่เร็วที่สุดในโลกนี้ควรจะถูกจัดขึ้นก่อนปี 1949 ด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากติดช่วง World War II ทำให้การแข่งขันต้องหยุดชะงัก และต้องรอไปอีกสักพักแม้สงครามจบลงเนื่องจากขาดแคลนน้ำมัน หลังจากทุกอย่างค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับสู่สภาพปกติ จึงเกิดเป็นรายการที่ในสมัยนั้นเรียกว่า FIM Road Racing World Championship Grand Prix ขึ้น

ในยุคแรก การแข่งขันถูกแบ่ง Class ออกตามพิกัดรถเป็น 4 รุ่นได้แก่ 500, 350, 250, 125 และกลุ่ม Side Car 600cc ช่วงนั้นการแข่งขันมักจะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มประเทศยุโรป จึงเป็นปีทองของแบรนด์มอเตอร์ไซค์จาก Italy ทีมีประวัติยาวนานอย่าง Mondial, Moto Guzzi, Gilera และ MV Agusta ยาวนานถึงช่วงปี 1959

Images courtesy of Motogp.com

เมื่อทั้งโลกให้การยอมรับว่านี่คือการแข่งขันที่ท้าทายที่สุด แบรนด์มอเตอร์ไซค์จากญี่ปุ่นจึงอยากเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อประกาศศักดาให้โลกยอมรับในความสามารถบ้าง ซึ่งนั่นหมายถึงการลงทุนมหาศาลที่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปแข่งถึงถิ่นยุโรป 8 สนามใน 8 ประเทศ และด้วยความพยายามของค่ายรถจากญี่ปุ่น นับตั้งแต่ปี 1960s เป็นต้นมา ทั่วโลกก็ได้รู้จักกับความยิ่งใหญ่จากการลุยเก็บอันดับ 1 หลายสนาม และครอง World Championship มานับไม่ถ้วน เรียกว่าไม่มีพื้นที่บนโพเดียมเหลือให้มอเตอร์ไซต์จากยุโรปได้ยืนเลยทีเดียว

ต้องขอบคุณความกล้าท้าทายอุปสรรคและตัดสินใจลงแข่งขันรายการ MotoGP เพราะจากเดิมที่มีแต่ชื่อของผู้ชนะเพียงไม่กี่คนเช่น John Surtees ผู้เป็นทั้ง English Grand Prix motorcycle road racer และ F1 road racer ผู้ยิ่งใหญ่, Giacomo Agostini นักบิดชาว Italian ที่ครองแชมป์รุ่นใหญ่ได้สถิติมากถึง 122 Grand Prix wins และ 15 World Championships titles ให้ได้รู้จักกับชื่อแชมป์ใหม่ ๆ อย่าง Freddie Spencer, Michael Doohan, Valentino Rossi, Nicky Hayden, Jorge Lorenzo และ Marc Marquez  จะเห็นว่าการตบเท้าเดินเข้าแข่งขันของทีม Honda, Kawasaki, Suzuki, Yamaha นอกจากสร้างความยิ่งใหญ่ให้แบรนด์ตัวเอง ยังเป็นการสร้างความยิ่งใหญ่ให้ประเทศของตัวเอง รวมถึงสมาชิกทีมและนักบิดที่สร้างชื่อเสียงเอาไว้มากมาย ทุกความท้าทายไม่เคยจบแค่ประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

Images courtesy of pttchallenger.com/motogpcustom/

มาถึงการแข่งขัน 2018 MotoGP ซึ่งปีนี้จะแข่งกันทั้งหมด 18 สนาม ใน 15 ประเทศทั่วโลก และที่น่าตื่นเต้นคือ ประเทศไทยของเราเป็น 1 ในสนามแข่งขัน MotoGP ปีนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีเพราะการคัดเลือกสนามของ MotoGP นั้นถือว่าโหดหินมาก ต้องมีความพร้อมในทุกด้านจริง ๆ ซึ่งประโยชน์จากการแข่งขัน MotoGP ในบ้านเรานั้น ไม่ใช่แค่ไปรับชมง่ายเพราะใกล้กรุงเทพ แต่ทุกฝ่ายยังได้ประโยชน์จากศึกครั้งนี้ไปเต็ม ๆ ตั้งแต่ด้านการท่องเที่ยว ชื่อเสียงของประเทศ รวมไปถึงตัวนักแข่งของไทย เป็นการยกระดับวงการ Motorsport ในบ้านเราให้ทั่วโลกได้รู้จักแบบก้าวกระโดด

นับเป็นการตัดสินใจที่ท้าทายแต่เฉียบขาดของ PTT ที่ตัดสินใจลงทุนจำนวนเงินมหาศาลกว่า 80 ล้านบาท เพื่อให้เกิดการแข่งขัน PTT Thailand Grand Prix ครั้งนี้ขึ้นที่สนาม Chang International Circuit จังหวัดบุรีรัมย์ ต้องบอกเลยว่าไม่ใช่แค่มีเงินจ่ายแล้ว MotoGP จะมาจัด การจะได้เป็น Title Sponsor ในรายการนี้จึงหมายถึงการเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพระดับโลกด้วย บวกกับความพร้อมของสนามที่ออกแบบทางตรงและทางโค้งได้มันส์สะใจ  โดยเฉพาะจากจุดสตาร์ทไปโค้งที่ 1 จะเป็นทางตรงยาวเกือบกิโลเมตรในโค้งที 2 และ 3 ทำให้เราได้เห็นสมรรถนะของเครื่องยนต์ 4 สูบ กับความเร็วทะลุ 300 km/h ของรถที่สร้างขึ้นมาแข่งโดยเฉพาะทั้ง MotoGP, Moto2 และ Moto3 classes

Images courtesy of pttchallenger.com/motogpcustom/

นอกจากการทำให้โลกได้เห็นศักยภาพที่เทียบเท่าระดับสากลของประเทศไทยแล้ว นักแข่งไทยก็ยังได้ประโยชน์ให้แสดงศักยภาพจากการที่ PTT คว้าสิทธิการแข่งขัน MotoGP ในบ้านเราด้วย โดยในการแข่งขันครั้งนี้จะมีนักบิดชาวไทยเข้าร่วมแข่งขัน และเราอยากเชิญชวนทุกคนไปเชียร์กัน นั่นคือ ชิพ นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ ในสังกัดทีม Idemitsu Honda Team Asia ที่เข้าแข่งในรุ่น Moto3 นอกจากนี้ยังมีอีกคนที่ได้สิทธิไวด์การ์ด ซึ่งเป็นสิทธิสำหรับนักบิดเจ้าบ้านได้เข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นนักบิดที่มีศักยภาพสูง หรือเป็นแชมป์รายการใหญ่ ๆ มา โดยปีนี้เป็นเวลาของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา จาก เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์, “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ จาก วีอาร์46 มาสเตอร์ แคมป์ ทีม และ “ติ๊งโน๊ต” ฐิติพงศ์ วโรกร ที่เพิ่งได้รับการยืนยันให้ลงแข่งขันในรุ่น Moto2 ร่วมกับ แซ็ก เรซซิ่ง ทีม ที่จะได้เฉิดฉายเก็บประสบการณ์สุดท้าทายในวันที่ 5 – 7 ตุลาคมนี้

เชื่อว่าการตัดสินใจของ PTT ครั้งนี้น่าจะทำให้วงการ Motorsport ของประเทศไทยเกิดความฮึกเหิม ทำให้แฟน ๆ ที่ไม่เคยรู้จักได้หันมาสนับสนุนนักบิดและทีมงานชาวไทยกันมากขึ้น และที่สำคัญคือการได้ทำให้คนหลายสิบล้านคนทั่วโลกที่เฝ้าดูการแข่งขัน PTT Thailand Grand Prix ได้เห็นจิตวิญญาณที่พร้อมเอาชนะทุกความท้าทายของคนไทยกันมากขึ้น

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line