Life

THE PROFILES: RONALDO “R9” สุดยอดกองหน้าบราซิลเจ้าของฉายา “The Phenomenon”

By: JEDDY October 20, 2021

ยุคนี้ชื่อของ Ronaldo อาจทำให้หลายคนนึกถึง Cristiano Ronaldo กองหน้าชาวโปรตุเกสและสโมสร Manchester United แต่หากย้อนไปในความทรงจำของคอฟุตบอลในยุค 90’s ทุกคนจะต้องนึกถึง Ronaldo “R9” สุดยอดกองหน้าทีมชาติบราซิลเจ้าของฉายา “The Phenomenon” (ปรากฏการณ์) อย่างแน่นอน

แม้ชื่อเสียงของ Ronaldo จะถูกยกย่องในวงการฟุตบอลไปทั่วโลก แต่อุปสรรคหลาย ๆ อย่างก็ทำให้เจ้าตัวต้องพบกับปัญหามากมาย โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บที่เล่นงานจนทำให้เราไม่ได้เห็นฝีเท้าของเขาไปนานนับปี รวมไปถึงเรื่องของน้ำหนักตัวที่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัวถึงต้องตัดสินใจยุติการค้าแข้งไวกว่าที่ใครคาดคิดเอาไว้

ทิ้งการเรียนมาลงถนนเพื่อเตะฟุตบอล

Ronaldo Luis Nazario de Lima ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 18 กันยายน 1976 ณ กรุงริโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล ชีวิตของเขาผูกพันกับลูกฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดสำหรับคนบราซิล เพราะบางคนเกิดมาก็ได้รับของขวัญเป็นลูกฟุตบอลแล้ว รวมไปถึงคนส่วนใหญ่ในประเทศเชื่อว่ากีฬาชนิดนี้จะทำให้พวกเขาหนีออกจากความยากจนซึ่งเป็นปัญหาของประชากรส่วนใหญ่ไปได้

อย่างไรก็ตามครอบครัวของ Ronaldo ไม่ได้ยากจนขนาดนั้น และสามารถส่งเขาเรียนหนังสือได้อย่างสบาย ๆ

แต่ตอนที่ Ronaldo มีอายุได้ 11 ปี กลับต้องมาเจอปัญหาพ่อแม่แยกทางกัน และก็เป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงดูเด็กชายคนนี้ให้เติบโต โดยมีการศึกษาเป็นความหวังและเป้าหมายเพื่อให้ลูกชายมีชีวิตที่ดี แต่แล้วคุณแม่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าลูกชายโดดเรียนมาเตะฟุตบอลอยู่ในถนนย่าน Bento Ribeiro เป็นประจำ

หลังจากนั้น Ronaldo จึงตัดสินใจหันหลังให้กับการศึกษา มุ่งหน้าสู่เส้นทางฟุตบอลอย่างเต็มตัวด้วยวัยเพียง 12 ปี และนี่คือจุดเริ่มต้นของตำนาน “The Phenomenon”


จุดเริ่มต้นและรากฐานเทคนิคระดับโลกจากฟุตซอล

Social Ramos Athletic คือชื่อของสโมสรฟุตซอลระดับเยาวชนที่ Ronaldo ได้เข้าร่วมทีมในวัย 12 ปี เและสร้างความตกตะลึงให้กับวงการฟุตซอลบราซิลในทันที ด้วยการซัดไปถึง 166 ประตูในฤดูกาลแรก และที่นี่เองที่ Ronaldo ได้ฝึกทักษะและพื้นฐานในการเล่นฟุตบอล

Alirio Carvalho โค้ชของทีม Social Ramos Athletic เคยกล่าวชื่นชม Ronaldo ไว้ว่า

“อะไรคือสิ่งที่พิเศษของ Ronaldo อย่างงั้นหรอ? มันคือทัศนคติของเขาไง เขาเหมือนกับคนที่มาจากดวงจันทร์ ไม่มีใครมารบกวนอะไรเขาได้ ไม่มีใครอยู่เหนือเขา ไม่มีใครเอาเขาออกไปจากเกมได้เลย”

ด้วยฟอร์มอันร้อนแรง ทำให้ชื่อเสียงไปเข้าตาสโมสรฟุตบอลทีม Sao Cristovao จนได้ย้ายจากการเล่นฟุตซอลมาสู่สนามฟุตบอลในวัย 13 ปี และด้วยความเก่งกาจเกินวัย Ronaldo ใช้เวลาเพียง 2 ปีได้เดบิวต์ขึ้นสู่ทีม U-17 และ U-20 ด้วยวัยเพียง 15 ปีเท่านั้น

ศักยภาพของ Ronaldo ดูเหมือนจะพัฒนาแซงหน้าขีดจำกัดของสโมสรแห่งนี้ เพื่อที่จะเปิดโอกาศให้เติบโตและพัฒนาได้มากเท่าที่ควรจะเป็น Jairzinho โค้ชของทีมซึ่งเป็นอดีตนักเตะทีมชาติบราซิลจึงได้แนะนำให้เขาย้ายไปอยู่กับทีม Cruzeiro สโมสรยักษ์ใหญ่ในบราซิล และเป็นอดีตสโมสรของ Jairzinho ด้วยเช่นกัน


ก้าวย่างสู่ฟุตบอลอาชีพ

เอเยนต์ของ Ronaldo ได้ปฎิเสธการเซ็นสัญญากับทางสโมสร Botafogo และ Sao Paulo เพื่อย้ายไปสโมสร Cruzeiro ด้วยค่าตัว 50,000 ยูโร หรือประมาณ 2 ล้านบาท ตามคำแนะนำของ Jairzinho

เมื่อได้ตัวมา สโมสรใหม่ก็ไม่รอช้า ส่ง Ronaldo ลงไปประเดิมเล่นให้ทีมเยาวชน และ Ronaldo ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยการซัดประตูตั้งแต่นัดแรกที่ได้ลงสนาม จนถูกส่งขึ้นทีมชุดใหญ่ในอีก 3 เดือนถัดมา และในวันที่ 7 พฤศจิกายน 1993 Ronaldo ก็แจ้งเกิดต่อสาธารณะชนได้สำเร็จ เมื่อเขาซัด 5 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ในเกมที่ Cruzeiro ถล่มทีม Bajia ราบคาบถึง 6-0

เด็กวัย 17 ปีกับผลงานแบบนี้มันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย ใครก็ตามที่ได้ชมเกมในวันนั้นต่างตกตะลึงในฝีเท้าของ Ronaldo โดยเฉพาะเทคนิคการเลี้ยงบอลหลบผู้เล่นและผู้รักษาประตูเข้าไปทำสกอร์ (ภายหลังได้กลายเป็นซิกเนเจอร์ของ Ronaldo) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Cafu แบ็กขวาทีมชาติบราซิล ที่ตอนนั้นยังค้าแข้งอยู่กับทีม Sao Paulo เจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากชมเจ้าหนูวัย 17 ปีคนนี้ว่า

“ครั้งแรกที่ผมเห็นเขาลงเล่นกับทีม Cruzeiro เขาก็ดูเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป แต่หลังจากจบเกมที่เขาซัดไป 5 ประตู ก็แสดงให้เห็นแล้วว่านี่คือนักเตะระดับ The Phenomenon ตัวจริง”

Ronaldo (Brazil) in World Cup USA94,
Brazil3-0 Cameroon at San Francisco, USA 24/6/1994
Photo by Masahide Tomikoshi / TOMIKOSHI PHOTOGRAPHY

Ronaldo ใช้เวลาอยู่กับ Cruzeiro ไปสองฤดูกาล ลงเล่นไปทั้งหมด 47 นัด ยิงไป 44 ประตู ถือเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยมมากในฐานะกองหน้าตัวจบสกอร์ และยังสามารถพาทีมคว้าแชมป์ Copa do Brasil ได้เป็นครั้งแรกในปี 1993 แถมด้วยแชมป์ Minas Gerais State Championship ในปี 1994 และยังถูกดึงตัวไปติดทีมชาติบราซิล ชุดลุยฟุตบอลโลกที่สหรัฐอเมริกาในปี 1994

ซึ่งปีนั้นทีมชาติของเขาคว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จจากการดวลจุดโทษเอาชนะทีมชาติอิตาลี ถึงแม้ว่าตลอดทั้งตารางที่ทีมชาติลงแข่งขันนั้น โค้ช ไม่ได้ส่ง Ronaldo ลงสนามเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่ก็ทำให้เจ้าตัวได้ซึมซับประสบการณ์จากนักฟุตบอลรุ่นพี่ และบรรยากาศของฟุตบอลโลกที่สุดกดดันมาเต็ม ๆ


ลาก่อนละตินอเมริกามุ่งหน้าสู่เวทียุโรป

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจฟุตบอลโลก Romario กองหน้ารุ่นพี่ในทีมชาติได้แนะนำให้ Ronaldo ย้ายไปค้าแข้งยุโรปกับ PSV Eindhoven ทีมดังจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่ง Romario เองก็เคยค้าแข้งที่สโมสรแห่งนี้มาก่อน Ronaldo น้อมรับคำแนะนำของรุ่นพี่ จึงได้เก็บกระเป่าโบกมือลาดินแดนละตินอเมริกามุ่งหน้าสู่ดินแดนกังหันลมในทวีปยุโรป

Ronaldo ลงเล่นเกมแรกกับเสื้อหมายเลข 9 พบกับทีม Vitesse เขาใช้เวลาเพียง 10 นาที ก็สามารถทำประตูแรกในสโมสรแห่งใหม่ได้สำเร็จ รวมถึงทำแฮตทริกได้ในเกมที่พบกับ Utrecht และในเกมฟุตบอล UEFA Cup กับทีม Bayer Leverkusen จากประเทศเยอรมนี แม้ทีมของเขาจะแพ้ไป 5-4 แต่ชื่อของ Ronaldo ก็กระหึ่มไปทั่วยุโรปและวงการฟุตบอลทั่วโลก แม้แต่ผู้บรรยายในเกมนั้นยังยกย่องว่า “เป็นเด็กวัยแค่ 17 ปี ที่พร้อมเล่นกับทุกทีมในยุโรป”

Ronaldo ลงเล่นให้กับ PSV Eindhoven ไป 58 นัด ยิงไป 54 ประตู จาก 2 ฤดูกาล ยังคงทำสถิติการทำประตูที่ยอดเยี่ยมเอาไว้ได้เช่มเดิม อีกทั้งยังพาทีมคว้าแชมป์ KNVB Cup ในฤดูกาล 1995-1996 และ Johan Cruyff Shield ในปี 1996 เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า Ronaldo ไม่ได้เก่งเฉพาะในลีกบ้านเกิด

น่าเสียดายที่ PSV ไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเนเธอร์แลนด์มาได้ โดยทำอันดับได้สูงสุดคือที่ 2 ในฤดูกาล 1995-1996 (ในฤดูกาลนี้ Ronaldo ลงเล่นไปทั้งหมด 21 นัดเท่านั้น เนื่องจากเผชิญอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า)

ในปี 1996 ทาง Ronaldo ยังได้มีโอกาสไปแข่งขันโอลิมปิกที่เมืองแอตแลนตา กับทีมชาติบราซิลและคว้าเหรียญทองแดงกลับมาได้


ค่าตัวสถิติโลกกับเวลา 1 ปีในทีม BARCELONA

ถึงเวลาแล้วที่ Ronaldo จะได้ออกไปเฉิดฉายของทีมบิ๊กเนมแห่งทวีปยุโรป และ Barcelona คือเป้าหมายต่อไปของเขา ทีมเจ้าบุญทุ่มยอดจ่ายเงินค่าตัวให้กับ PSV Eindhoven สูงถึง 19.5 ล้านดอลลาร์ ทำให้ Ronaldo กลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกในขณะนั้น ภายใต้การคุมทีมของกุนซืออังกฤษ Bobby Robson

Ronaldo ไม่ทำให้แฟน ๆ บาร์ซาต้องผิดหวัง ลีลาการลากเลื้อยอันน่าตื่นตา ความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความเฉียบคมในจังหวะจบสกอร์ ยังคงถูกนำมาใช้นัดแล้วนัดเล่า โดยเฉพาะในเกมพบกับทีม SD Compostela ที่ Ronaldo ทำให้แฟนบอลทั้งสนามต้องตื่นเต้น เขาลากเลื้อยบอลจากครึ่งสนามผ่านการเข้าสกัดและดึงจากผู้เล่นฝั่งตรงข้าม แต่ไม่มีเอาอยู่

ฤดูกาล 1996/1997 เขายิงไปได้ 47 ประตู จากการลงเล่น 49 นัด ช่วยให้เจ้าบุญทุ่มคว้าแชมป์ Copa del Rey, UEFA Cup Winners’ Cup และ Supercopa de España ได้รางวัลนักเตะเยาวชนยอดเยี่ยมจาก FIFA มาครอบครองเป็นของแถม

อย่างไรก็ตามชีวิตการค้าแข้งกับทีม Barcelona กลับไม่ได้สวยงามมากนัก ในช่วงท้ายฤดูกาลที่กำลังอยู่ในช่วงเบียดแย่งแชมป์กับ Real Madrid แต่ทาง Ronaldo กลับเลือกไปเก็บตัวในทีมชาติเพื่อลงแข่งทัวร์นาเมนต์พรีฟุตบอลโลกที่ประเทศฝรั่งเศสแทน ส่งผลให้ Barcelona พลาดการคว้าแชมป์ฤดูกาลนั้นไป นอกจากนี้ Ronaldo ยังมีปัญหาเรื่องสัญญาที่ไม่ลงตัว ทำให้ชีวิตบนแคว้นคาตาลันต้องจบลงภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี


ความล้มเหลวในกัลโช เซเรียอา และฟุตบอลโลก 1998

Ronaldo ย้ายเข้ามาสู่ทีมงูใหญ่ Inter Milan ด้วยค่าตัว 27 ล้านดอลลาร์ เป็นการทำลายสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลกของตัวเองลงอีกครั้ง

ในฤดูกาลแรก 1997/1998 เจ้าตัวยังคงโชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงสมกับค่าตัว กดไป 34 ประตูจากการลงเล่น 47 นัด พร้อมกวาดแชมป์ UEFA Cup มาประดับสโมสร ซึ่งในนัดชิงชนะเลิศกับทีม Lazio เป็นนัดที่แฟน ๆ ฟุตบอลต่างจดจำกับความสุดยอดของ Ronaldo จังหวะโยกตัวหลอกผู้รักษาประตู Luca Marchegiani จนหลังแทบหักและพังประตูขึ้นนำให้กับทีม

ในนัดนั้นทาง Youri Djorkaeff เพื่อนร่วมทีมชาวฝรั่งเศสถึงกับเอ่ยปากชมอีกครั้งถึงความเหมาะสมกับฉายานักเตะระดับ The Phenomenon ของ Ronaldo พาทีมจบอันดับที่ 2 ในลีก และคว้า Ballon d’Or รางวัลอันทรงเกียรติของอาชีพนักฟุตบอลเป็นสมัยแรก

หลังจบฤดูกาลก็ตรงกับวงล้อเวลาที่หมุนมาครบ 4 ปีอีกครั้ง กับเทศกาลฟุตบอลโลกปี 1998 ที่จัดขึ้น ณ ประเทศฝรั่งเศส แชมป์เก่าอย่างทีมชาติบราซิลยังคงถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งในรายการ ด้วยตัวผู้เล่นฝีเท้าเวิร์ลคลาสมากมาย เช่น Cafu, Roberto Carlos, Dunga, Rivaldo, Bebeto รวมไปถึง Ronaldo ด้วย

กองทัพเซเลเซาบุกตะลุยตั้งแต่รอบแรกจนสามารถเข้าชิงชนะเลิศกับเจ้าภาพทีมชาติฝรั่งเศส แต่สุดท้ายพวกเขากลับต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมตราไก่อย่างย่อยยับถึง 3-0 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัว Ronaldo ที่ดูขาดความฟิต โดยก่อนหน้าที่จะมีการแข่งขันมีรายงานว่าเจ้าตัวต้องเจอกับอาการป่วยเล่นงาน ทำให้ฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 ของ Ronaldo ต้องชวดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย

Ronaldo แบกความผิดหวังกลับมาอิตาลี พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตารอฤดูกาลใหม่กับเป้าหมายคือการคว้าแชมป์สกูเดตโตของฤดูกาล 1998/1999 แต่โชคกลับไม่เข้าข้างเอาซะเลย เมื่อ Ronaldo ยังโดนหลอกหลอนด้วยอาการบาดเจ็บเล่นงาน ทำให้ลงเล่นทุกรายการได้เพียง 28 นัด ยิงไปได้ 15 ประตู และยังเป็นฤดูกาลอันย่ำแย่ของ Inter Milan เพราะพวกเขาจบถึงอันดับ 8 ในลีก จากทีมลุ้นแชมป์กลายเป็นทีมกลางตาราง พ่วงด้วยการตกรอบ Semi-Finals ใน Coppa Italia แถมยังตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย UEFA Champions League จากการปราชัยให้กับ Machester United คำว่าล้มเหลวคงไม่เกินเลยไปแต่อย่างใด

อาการบาดเจ็บยังคงลุกลามชีวิตของ Ronaldo ในรั้วของ Giuseppe Meazza อย่างต่อเนื่องถึง 3 ฤดูกาลติด ๆ กัน ซึ่งเจ้าตัวลงเล่นรวมกันไปเพียง 24 นัด ทำไปได้ 10 ประตู และในฤดูกาล 2000-2001 เจ้าตัวไม่ได้ลงสนามเลยซักนัด 

ซึ่งเหตุการณ์ที่หนักที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 21 พฤศจิกายน 1999 ในนัดที่พบกับทีม Lecce ทางทีมแพทย์ได้แจ้งว่า Ronaldo เอ็นเข่าขาดต้องเข้ารับการผ่าตัด 


ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามกับความสำเร็จในฟุตบอลโลกปี 2002

หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บมานานแรมปี ในที่สุดร่างกายของเขาก็กลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้งและมันประจวบเหมาะกับช่วงฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพพอดี ทีมชาติบราซิลยังคงขนกองทัพซุปเปอร์สตาร์มาทวงบัลลังก์แชมป์ นำทีมโดย Ronaldo, Rivaldo, Ronaldinho, Cafu, Roberto Carlos, Gilberto Silva และ Lucio

ความผิดหวังจาก 4 ปีที่แล้ว ส่งให้บราซิลคว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 5 มาครองได้สำเร็จ พวกเขาผ่านด่านตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มจนมาถึงนัดชิงชนะเลิศที่มีชัยชนะเหนือทีมชาติเยอรมนี 2-0 ซึ่ง Ronaldo เป็นคนยิงผ่านมือ Oliver Kahn ทั้ง 2 ลูก และ Ronaldo ยังคว้าตำแหน่งดาวซัลโวของทัวร์นาเมนต์ด้วยการกดไปถึง 8 ประตูด้วยกัน อีกทั้งยังได้ใจแฟน ๆ ชาวญี่ปุ่นจากการตัดผมทรงไดโกโระของเจ้าตัว

ความสุดยอดของ Ronaldo ในฟุตบอลโลกปี 2002 ยังส่งให้เขาคว้า Ballon d’Or เป็นสมัยที่ 2 ของตัวเองได้อีกด้วย

ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลกทำให้ทีมราชันย์ชุดขาว Real Madrid ที่กำลังสร้างทีมออลสตาร์หรือที่เรียกกันว่า “Galacticos” ตัดสินใจทุ่มเงิน 46 ล้านยูโร กระชาก Ronaldo มาจาก Inter Milan มาร่วมเล่นกับนักเตะอย่าง Zinedine Zidane, Steve McManaman, Luís Figo, Raul Gonzalez และเพื่อนร่วมทีมชาติ Roberto Carlos รวมไปถึง David Beckham ในฤดูกาลถัดมา

แม้ในฤดูกาล 2002/2003 จะมียังมีอาการบาดเจ็บอยู่บ้างแต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงแบบที่เคยเป็น ตลอดฤดูกาลเขาลงเล่นทุกรายการไป 44 นัด ยิงไป 30 ประตู พร้อมกับพา Real Madrid คว้าแชมป์ลาลีกามาครองได้สำเร็จ พ่วงด้วย Intercontinental Cup อีก 1 ถ้วย

Ronaldo ได้สร้างโมเมนต์สุดประทับใจในศึก UEFA Champions League รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดที่ 2 ในเกมที่พบกับ Manchester United ในเกมนั้น Ronaldo ยิงแฮตทริกต่อหน้าแฟนบอลใน Old Trafford และในขณะที่เจ้าตัวกำลังถูกเปลี่ยนตัวออก แฟนบอลของปีศาจแดงต่างลุกขึ้นปรบมือกันทั้งสนาม (Standing Ovation) เพื่อยกย่องความสุดยอดของ Ronaldo ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ กลายเป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลไปเป็นที่เรียบร้อย

Wes Brown ปราการหลังของทีม Manchester United ได้เล่าถึงการเผชิญหน้ากับ Ronaldo ในเกมดังกล่าวไว้ว่า

“ไม่มีใครหยุดเขาอยู่เลยครับ ถ้าเป็นช่วงตอน Ronaldo วัยรุ่น (ก่อนได้รับบาดเจ็บ) เขาน่าจะอันตรายกว่านี้อีก แต่นี่เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมมันเป็นยังไง ไม่ว่าเขาต้องการจะทำอะไรเขาก็ทำได้ดั่งใจต้องการในทุก ๆ เวทีการแข่งขัน และในทุก ๆ สนาม”

Ronaldo ใช้ช่วงเวลากับทีม Real Madrid ไป 4 ฤดูกาลครึ่ง ลงสนามรวมกันทั้งหมด 177 นัด ยิงไป 104 ประตู โดยในช่วงท้ายของการค้าแข้งกับราชันย์ชุดขาว Ronaldo ก็ยังคงมีอาการบาดเจ็บ รวมไปถึงเรื่องของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทำให้ร่างที่เคยสลิมของเขาหายไป

ภายหลังทางเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเขาอ้วนขึ้นมาจากอาการปัญหาของต่อมไทรอยด์ ทำให้กระบวนการเผาผลาญไขมันผิดปกติ ต้องรักษาด้วยการฉีดฮอร์โมนส์ ซึ่งผิดกฏการใช้ยาโด๊ป ทำให้เจ้าตัวไม่สามารถรักษาตัวเองได้

นอกจากนั้น Ronaldo เองยังมีปัญหากับ Fabio Capello กุนซือชาวอิตาลี ที่เข้ามาคุมทีม Real Madrid ในฤดูกาล 2006–2007 และยังต้องสูญเสียตำแหน่งตัวจริงให้กับ Ruud Van Nistelrooy ที่ย้ายมาจาก Manchester United ทาง Capello เคยออกมาโจมตี Ronaldo ว่าเป็นนักเตะที่ควบคุมยากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา

ด้วยเหตุนี้ทำให้ Ronaldo ต้องระเห็จออกจาก Real Madrid ในช่วงกลางฤดูกาลพร้อมกับความโกรธแค้นต่อกุนซือชาวอิตาลี โดยเจ้าตัวเคยให้สัมภาษ์ณ์ขอบคุณแฟน ๆ ที่เห็นอกเห็นใจกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญ

“ผมอยากจะขอบคุณแฟน ๆ ที่สนับสนุนในตัวผมตลอดเวลา และขอบคุณเพื่อนร่วมทีมและโค้ชที่อยู่เคียงข้างผม ยกเว้นคน ๆ หนึ่ง”

“ผมหวังว่าคุณจะโชคดีกับสิ่งที่คุณทำกับนักเตะที่ยอดเยี่ยมแบบนี้”

ในช่วงปี 2006 มีศึกฟุตบอลโลกเกิดขึ้นอีกครั้งที่ประเทศเยอรมนี Ronaldo ทำได้ 3 ประตู แต่ทีมชาติบราซิลต้องตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยฝีมือของทีมชาติฝรั่งเศส และฟุตบอลโลกครั้งนี้ยังเป็นครั้งสุดท้ายของ Ronaldo อีกด้วย


บทสุดท้ายบนเวทีลูกหนัง

Ronaldo กลับคืนสู่ประเทศอิตาลีอีกครั้ง และยังคงอยู่ในเมืองมิลาน แต่รอบนี้เขาเซ็นสัญญาเข้าร่วมทีม A.C. Milan ทีมเพื่อนบ้านคู่ปรับของ Inter Milan แต่กว่าจะได้เซ็นสัญญาก็ต้องผ่านการตรวจร่างกายที่ละเอียดยิบ เพราะสภาพร่างกายของเขาไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่สุดท้ายเขาก็ผ่านมันมาได้

การกลับมาอิตาลีรอบนี้ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เจ้าตัวหวัง เพราะอาการบาดเจ็บที่เปรียบเสมือนปีศาจร้ายยังคงทำร้ายและซ้ำเติมอยู่เสมอ จนทำให้ 2 ฤดูกาลเจ้าตัวลงเล่นไปเพียง 20 นัด และยิงได้ 9 ประตู เป็นการปิดฉากการค้าแข้งบนแผ่นดินยุโรปไว้ที่ทีมปีศาจแดงดำ A.C.Milan

หลังจากที่ตะลุยอยู่ในยุโรปมานานกว่า 14 ปี Ronaldo ตัดสินใจเดินทางกลับประเทศบราซิล ในช่วงแรกระหว่างที่รักษาอาการบาดเจ็บหัวเข่าเขาลงฝึกซ้อมกับทีม Flamengo สโมสรที่เขาเป็นแฟนบอลมาตั้งแต่เด็ก ๆ นานถึง 4 เดือน อย่างไรก็ตามเจ้าตัวกลับเลือกไปเซ็นสัญญากับทีมคู่ปรับอย่าง Corinthians ทำเอาแฟน ๆ Flamengo โกรธแค้นจัดถึงขนาดเอาเสื้อ Ronaldo มาเผาที่หน้าสโมสรกันเลยทีเดียว แต่ทาง Ronaldo ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจได้ออกมาอธิบายถึงเหตุผลดังกล่าว

“ผมเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดีเลยครับ ผมเปิดรับแฟน ๆ ของทีม Flamengo นะ แต่ในช่วงที่ผมซ้อมอยู่กับทีม 4 เดือน ผมไม่ได้รับการยื่นสัญญาให้แต่อย่างใดเลย แต่กลับเป็นทีม Corinthians ที่ยื่นสัญญาให้ผมได้กลับไปเตะฟุตบอล”

Ronaldo ตอบแทนความไว้ใจต่อ Corinthians อย่างดีเยี่ยม ในฤดูกาลแรกเขายิงไปทั้งหมด 23 ประตู  จากการลงเล่น 38 นัด และพาทีมคว้าแชมป์ Campeonato Paulista และ Copa do Brasil มาครองได้

ดูเหมือนว่าจะเป็นสัญญาณที่ดีในการกลับมายืนระยะในวงการฟุตบอลได้อีกครั้ง แต่มันกลับไม่ใช่แบบนั้นเพราะในปี 2010 และ 2011 เขาก็ยังคงต้องเผชิญปัญหาเดิม ๆ ที่เจอมาตลอดครึ่งชีวิตในเส้นทางการค้าแข้ง จนสุดท้าย Ronaldo ได้ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 พร้อมด้วยการหลั่งน้ำตาต่อหน้าสาธารณะชน

“มันยากที่จะออกมาจากสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข แม้ในใจจะอยากเดินหน้าต่อแค่ไหนแต่ร่างกายมันกลับยอมแพ้ไปแล้ว ในหัวของผมต้องการจะลุยต่อแต่ร่างกายมันไม่เป็นไปตามอย่างที่ต้องการ มันถึงเวลาแล้วที่ผมต้องบอกลา”

แม้ Ronaldo จะลาวงการฟุตบอลไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาสร้างไว้กับโลกของฟุตบอลมันจะยังคงอยู่ไปตราบนานเท่านาน ความพยายามและการต่อสู้ต่ออุปสรรคจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนอีกมากมาย นี่คือตำนานที่ยังมีลมหายใจ “The Phenomenon”

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line