ในเวลานี้ถ้าพูดถึงภาพยนตร์สยองขวัญกับตัวตลก ทุกคนจะต้องนึกถึงตัวตลก Pennywise กับลูกโป่งสีแดงจากเรื่อง It (2017) และ It: Chapter Two (2019) ผลงานจากปลายปากกาของ Stephen King ที่กระโดดออกจากหนังสือสู่จอภาพยนตร์ ด้วยใบหน้าแสนไม่เป็นมิตร รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจ และสีขาวกับสีแดงแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า ทำใครหลายคนไม่คาดคิดว่านักแสดงใต้หน้ากากตัวตลกจริง ๆ จะมีใบหน้าหล่อกับลุคที่เท่ได้ขนาดนี้ ชายผู้รับบทตัวตลกจากเรื่อง It คือนักแสดงหนุ่มนามว่า Bill Skarsgard เขาเกิดในครอบครัวสายเลือดนักแสดง พ่อของเขาเป็น Stellen Skargard ใครหลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเขากับบทดอกเตอร์สติเฟื่องจากเรื่อง Thor ส่วนตัวของ Bill เริ่มแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่ออายุ 9 ขวบ กับเรื่อง White Water Fury (2009) ด้วยใบหน้าดูดี บวกกับความสูงถึง 192 เซนติเมตร และนัยน์ตาที่ใครหลายคนลงความเห็นตรงกันว่ามีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ทำให้ UNLOCKMEN อยากรู้จักสไตล์ทั้งในจอและนอกจอของเขาให้มากขึ้น BILL SKARSGARD’S STYLE IN THE
เคยถามตัวเองไหมว่าทำไมเราถึงมีชีวิตอยู่ หรือถามตัวเองว่าทำไมเราถึงอยากตาย ? หลายคนอาจจะมีคำถามเหล่านี้แวบเข้ามาในหัว แต่สำหรับบางคนคำถามเหล่านั้นมักเป็นสิ่งที่เฝ้าถามอยู่ทุกวัน เพราะความต่างทางความคิด สภาพแวดล้อมและสังคมทำให้แต่ละคนมีความคิดที่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้ที่ทำให้เอง UNLOCKMEN เกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าแต่ละคนมีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้ต้องมีชีวิตอยู่ การค้นหาคำตอบเริ่มขึ้นในเว็บไซต์ reddit ซึ่งเป็นเว็บไซต์พูดคุยยอดนิยมของคนอเมริกัน ภายในเว็บรวบรวม forum ต่าง ๆ และแยกแต่ละเรื่องให้เข้ากันโดยการจัดหมวดหมู่ กระทั่งเราได้เห็นกระทู้ตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า “เหตุผลดี ๆ ที่ทำให้แต่ละคนอยากมีชีวิตอยู่คืออะไร ?” คำตอบในกระทู้มีมากมายหลากหลายเกือบสองหมื่นคำตอบ โดยมีตั้งแต่เหตุผลของเรื่องส่วนตัวเล็ก ๆ แต่แสนสำคัญอย่าง “ไม่อยากสร้างความเจ็บปวดให้กับคนในครอบครัว ซึ่งครอบครัวที่ว่ารวมถึงน้องหมาที่เลี้ยงไว้ด้วย” หรือคำตอบที่ว่า “ก็แค่อยากใช้ชีวิต” ไปจนถึง “ตอนนี้ยังสนุกอยู่” หรือ “ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่หดหู่แต่ใช่ว่าจะมีความสุข ที่อยู่ต่อทุกวันนี้เป็นเพราะอยากใช้เวลาอยู่กับพ่อ” ส่วนคำตอบที่คนชื่นชอบมากที่สุดจนได้ Top Comment คือคำตอบที่ว่า “ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ แต่แค่มีเหตุผลที่ยังตายไม่ได้” เมื่อลองคิดดูแล้วคำตอบของคนส่วนใหญ่มักเชื่อมโยงไปยังบุคคลอื่น ๆ เช่น ไม่อยากให้คนรู้จักต้องเศร้าไปจนถึงไม่อยากให้คนที่เกลียดขี้หน้าเราดีใจ จากนั้นจึงค่อยคิดถึงความสนใจของตัวเองอย่างการอยู่เพื่อไปฟังเพลงที่ชอบในคอนเสิร์ต หรือรอดูหนังภาคต่อเรื่องโปรด ถัดจากการดูคำตอบไกลตัวของคนจากอีกซีกโลกหนึ่งที่พอจะทำให้เห็นอะไรชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ผลที่ตามมาคือคำถามที่ชวนให้เราเกิดความสงสัยว่าหากเป็นคนใกล้ตัวอย่างสมาชิกของ UNLOCKMEN ล่ะจะมีคำตอบอะไรบ้างที่ทำให้ต้องมีชีวิตอยู่ Video Editor คนหนึ่งของ
มันคงต้องมีกันบ้างที่คอเพลงชายฉกรรจ์ทั้งหลาย อยากจะสลับมาเสพของสวย ๆ งาม ๆ ให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นสาย Hardcore หรือนักรันวงการ Hiphop มาด Swag มาจากไหน บางเวลาคุณก็อยากจะพักผ่อน ฟังเสียงใส ๆ มองหน้าสวย ๆ ของเหล่าศิลปินสาวกันบ้างแหละ ซึ่ง UNLOCKMEN เข้าใจความรู้สึกดี! วันนี้เราเลยจะมาแนะนำเพลงหลากหลายแนวจากเหล่าศิลปินสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม แถมเพลงยังพริ้มพราว ไว้ให้คุณได้เพิ่มเข้าเพลย์ลิสต์ หรือคลิกไปดู MV ให้ชื่นใจกันเล่น ๆ เผื่อจะมีคนที่คุณยังไม่เคยรู้จัก หรือรู้จักแล้วแต่ยังไม่เคยฟัง มาดูกันดีกว่าว่ามีใครบ้าง Bad Guy – Billie Eilish หลายคนอาจจะรู้จัก Billie Eilish สาวน้อยอเมริกัน วัย 17 ปีคนนี้กันแล้ว เพราะเธอกลายเป็นป๊อปสตาร์ดาวรุ่งพุ่งแรงคนใหม่ประจำปีนี้ก็ว่าได้ เพลงของเธอเป็นอิเล็กทรอนิกส์ป๊อป ถึงเสียงร้องจะใส แต่อารมณ์ในเพลงค่อนข้างจะหม่นและลึกลับ จึงถูกใจแฟนเพลงทั้งชายและหญิงที่ไม่ถนัดเพลงสายหวานกันถ้วนหน้า หากคุณนิยมเพลงเร็ว เบสหนัก ๆ ก็อาจจะถูกใจเพลงฮิตอย่าง Bad Guy
เป็นอีกครั้งที่แบรนด์เครื่องแต่งกายมักจะหยิบยกเรื่องราวจากภาพยนตร์และการ์ตูนมาปรับให้เข้ากับไอเทมแฟชั่นของตัวเอง และในครั้งนี้ก็เช่นกันกับแบรนด์เครื่องกีฬา Nike ที่หลายคนคุ้นเคย ได้นำคาแรกเตอร์ตัวละครสุดกวนจากการ์ตูนเรื่อง SpongeBob SquarePants มาอยู่บนรองเท้ากีฬารุ่น Kyrie 5 SpongeBob SquarePants การ์ตูนแอนิเมชันสัญชาติอเมริกาสุดกวน บอกเล่าเรื่องราวของฟองน้ำที่อาศัยอยู่ในโลกใต้ทะเลกับชุมชนชื่อ Bikini Bottom มีเพื่อนสนิทเป็นปลาดาวทะเลสีชมพู Patrick Star และต่อให้เป็นฟองน้ำหรือดาวทะเลก็ต้องทำงานเหมือนกับเรา ๆ ทำให้ทั้งสองคนต้องเป็นพนักงานอยู่ร้านแฮมเบอร์เกอร์ของ Mr. Krabs ซึ่งอร่อยที่สุดในเมือง ฟองน้ำใต้ทะเลและผองเพื่อนกับความกวน บ๊อง ไร้สาระ เห็นทีไรก็หวนนึกถึงวัยเด็กอันสดใสและมีพลังคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ SpongeBob SquarePants กลายเป็นการ์ตูนยอดนิยมข้ามโลกและทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของช่อง Nickelodeon ดังนั้น คงไม่แปลกถ้าการเป็นขวัญใจมหาชนแบบนี้จะดึงดูดวงการแฟชั่นให้เข้าหาและใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบคอลเลกชันพิเศษบ่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่ขาใหญ่ของวงการสนีกเกอร์อย่าง Nike “Kyrie 5” จากคาแรกเตอร์ SpongeBob SquarePants เป็นสนีกเกอร์อันดับที่ 5 ในตระกูลโมเดล Kyrie ซึ่งถือกำเนิดจากการร่วมมือระหว่าง Kyrie Irving นักบาสเกตบอลดาวรุ่ง NBA กับแบรนด์เครื่องกีฬาชื่อดังอย่าง Nike ออกแบบโดย Ben Nethongkome ดีไซเนอร์มากฝีมือที่เคยฝากผลงานไว้ใน Kyrie 4 แต่รุ่นล่าสุดเขาเพิ่มเติมความพิเศษด้วยลายพื้นรองเท้าที่มาจากรอยสักของ Kyrie Irving ผสมผสานเข้ากับความเจ๋งของฟังก์ชันการใช้งานที่ออกแบบมาเพื่อรองรับแรงกระแทกอย่างดีเยี่ยม
“ครั้งแรกที่ผมสูบกัญชา ตอนนั้นผมอายุแค่ 8 ขวบ” วลีสั้น ๆ จากปากของ Danny Trejo นักแสดงที่เราคุ้นเคยในบทบาทตัวร้ายสัญชาติเม็กซิกันซึ่งเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า ชีวิตของเขานั้นเคยผ่านเรื่องราวโชกโชนมามากแค่ไหน ด้วยผลงานภาพยนตร์มากกว่า 100 เรื่อง ไล่ตั้งแต่บทตัวประกอบตอนเริ่มเข้าวงการ ไปจนถึงพระเอกในหนังอย่าง Machete ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จของ Danny ได้เป็นอย่างดี แต่ใครจะรู้ว่า ก่อนจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ ชีวิตของเขาเคยจมดิ่งสู่ด้านมืดของโลกไปลึกมากแค่ไหน วัยหนุ่มที่โชกโชน Danny Trejo เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ปี 1944 อาศัยอยู่ในย่าน Echo Park , Los Angeles พ่อแม่ของ Danny เป็นคนงานก่อสร้างชาวเม็กซิกันหาเช้ากินค่ำ จึงไม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ลูกมากนัก ลุงแท้ ๆ ที่เป็นทั้งขี้ยาและพ่อค้าขายอาวุธ จึงกลายเป็นคนสอน Danny ให้รู้จักโลกใบนี้อย่างลึกซึ้งแทน แต่เป็นในด้านที่ต่างจากเด็กคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ตอนอายุได้ 12 ปี ลุงสุดที่รักของ Danny ต้องการจะปล้นร้านค้าแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าคนขับรถไม่ใช่ใครนอกเสียจาก
เราทุกคนย่อมมีงานอดิเรกและของสะสมต่างกันไปตามรสนิยม เช่น สะสมโมเดลรถของเล่น โมเดลหุ่นยนต์ สะสมรองเท้า หรือตามเก็บผลงานภาพวาดราคาแพงของศิลปินชื่อดัง ครั้งนี้ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งของสะสมที่เรียกว่าไม่ธรรมดาของชายผู้หลงใหลรอยสักบนผิวหนังมนุษย์ เขาคือ ฟุคุชิ มาซาอิชิ ศาสตราจารย์นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยาซึ่งเป็นสาขาที่ศึกษาและวินิจฉัยโรคจากการตรวจอวัยวะ เซลล์ และเนื้อเยื่อของมนุษย์จากการชันสูตร แถมเขายังเป็นประธานสมาคมพยาธิวิทยาของญี่ปุ่นและอาจารย์หมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์นิปปอน (Nippon Medical School) ที่ดูแล้วไม่น่าจะกลายมาเป็นชายสะสมของสุดแปลกได้ ความชอบสะสมรอยสักเนื้อมนุษย์ของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1907 เป็นช่วงเวลาที่หมอมาซาอิชิกำลังสนใจรักษากามโรคพร้อมทำวิจัยเรื่องการเติบโตของไฝบนผิวหนังและพบสมมุติฐานน่าสนใจว่าน้ำหมึกที่ใช้สักอาจทำลายเชื้อซิฟิลิสได้ เพราะแผลจากซิฟิลิสจะไม่เกิดขึ้นตรงบริเวณผิวหนังที่เพิ่งสัก หลังจากข้อสันนิษฐานนั้นทำให้หมอมาซาอิชิทุ่มความตั้งใจทั้งหมดเพื่อศึกษาเกี่ยวกับเม็ดสีของผิวและการขยายตัวของไฝจากคนที่มีรอยสัก ต่อมาปี 1926 เขาเริ่มศึกษาผิวหนังจากทั้งคนเป็นและคนตาย พร้อมกับค้นหาวิธีเก็บผิวหนังจากศพที่มีรอยสักไปพร้อมกัน การทำงานวิจัยแต่ละครั้งจะต้องใช้ผิวหนังที่มีรอยสักจำนวนมาก คำถามที่ตามมาคือหมอมาซาอิชิจะไปหารอยสักมากมายขนาดนั้นมาจากไหน คำตอบที่เขาได้คือกลุ่มยากูซ่าที่มีรอยสักและวิธีการสักแตกต่างจากคนทั่วไป เพราะการสักสีทั่วทั้งตัวแบบ Irezumi จะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากจึงมีแค่ยากูซ่าเท่านั้นที่นิยมสักทั่วทั้งตัว หลากหลายเหตุผลที่ทำให้ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ได้พบกับแก๊งยากูซ่า สิ่งหนึ่งเกิดจากมุมมองแง่ลบของคนทั่วไปที่มองว่าคนสักมักจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย เพราะในสมัยเอโดะรอยสักคือสัญลักษณ์ของนักโทษเพื่อแยกผู้มีความผิดออกจากคนทั่วไป เมื่อวันเวลาผ่านไปเหล่ายากูซ่าก็นิยมสักกันทั่วตัวยิ่งทำให้คนญี่ปุ่นมองว่าคนสักคือคนไม่ดี แต่สำหรับหมอมาซาอิชิคนเหล่านี้คือคนที่เขาต้องการพบเป็นอย่างมาก เมื่อหมอมาซาอิชิรู้จักและคลุกคลีอยู่กับเหล่ายากูซ่าจำนวนมากและเห็นรอยสักลวดลายแตกต่างกันที่ทั้งมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงบอกเล่าเรื่องราวไว้มากมาย ความเหมาะเจาะก็คือยากูซ่าส่วนใหญ่ที่มารับการรักษาจากหมอมาซาอิชิเป็นนักเลงปลายแถว เวลาไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นก็มักจะเจอสายตาดูแคลนอยู่เสมอ แต่หมอมาซาอิชิพอใจที่จะรักษายากูซ่า แถมบางคนมาหาเขาพร้อมกับรอยสักที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งรอยสักครึ่ง ๆ กลาง ๆ นี้เองได้จุดประกายความคิดบางอย่างให้กับเขา หลังจากที่เขารู้จักกับเหล่ายากูซ่าที่ไม่มีเงินมากพอจะทำให้รอยสักสมบูรณ์ หมอมาซาอิชิยื่นข้อเสนอว่าจะรักษาโรคให้และเก็บเงินแค่ครึ่งราคา หรือถ้าเป็นอะไรเล็กน้อยจะไม่คิดเงิน โดยคนที่มีรอยสักครึ่ง ๆ
ความทรงจำที่หลั่งไหลอยู่ในหัวของเรา สำหรับเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไร อาจจะกระจัดกระจายไม่ปะติดปะต่อ แต่เรื่องที่มันชัดเจนอยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประทับใจหรือสะเทือนใจ มันจะถูกเรียงไว้เหมือนแฟ้มคนไข้ในโรงพยาบาลที่ถูกเรียงลำดับไว้เป็นอย่างดี แม้จะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเราก็ยังคงจำมันได้เสมอแม้เวลาจะผ่านมานาน UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาดูหนัง 5 เรื่องที่เล่นเกี่ยวกับความทรงจำอันแสนพิศวงนี้กัน ก่อนจะไปดูทั้ง 5 เรื่อง ทำความเข้าใจกันก่อนว่า WATCHLIST เป็นคอนเทนต์แบ่งหนังกันดู เหมือนเพื่อนแชร์กัน ไม่ใช่เป็นการจัดอันดับหนังดีในดวงใจ ไม่จำเป็นต้องน้อยใจหากหนังโปรดในใจของคุณไม่อยู่ในลิสต์นี้ Memento (2002) Director : Christopher Nolan เมื่อคุณตื่นมาพร้อมกับ Clue มากมาย แต่คุณไม่อาจรู้ได้เลยว่าสิ่งไหนคือเรื่องจริง เช่นเดียวกับ Leonard (Guy Pearce) ที่ตื่นขึ้นมาพร้อมคำใบ้ปริศนามากมายรอบตัวของเขา ทั้ง Note รอยสัก เบอร์โทรศัพท์ ที่เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันปะติดปะต่อกันอย่างไร เขาพยายามอย่างมากในการลำดับเรื่องราวทั้งหมดด้วยข้อมูลที่มี แต่โชคร้ายตรงที่เขามีความทรงจำแค่สั้น ๆ เท่านั้น ทำให้ทุกอย่างยิ่งยากเข้าไปใหญ่ การเล่าเรื่องราวจะเป็นไทม์ไลน์ของภาพสีและขาวดำ อันนี้แนะนำให้ไปดูเอาเองสนุกกว่า ถ้าบอกตอนนี้เลยเข้าข่ายสปอยล์แน่นอน ถือเป็นผลงานยอดนิยมอีกเรื่องของ Nolan บทดั้งเดิมที่ได้ฝีมือการเขียนของน้องชายของเขาเอง เรื่องนี้ขึ้นชื่อเรื่องความมึนงง แนะนำให้ตั้งใจดูและเก็บรายละเอียดเรื่องนี้แบบถี่ถ้วน แล้วจะอึ้งไปกับความจีเนียสของเขา
ถ้าพูดถึงหนังซุปเปอร์ฮีโร่หน้าใหม่ที่มาแรงที่สุดในช่วงเวลานี้ ก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Arthur Curry หรือที่รู้จักกันในชื่อ Aquaman หนุ่มลูกครึ่งมนุษย์-แอตแลนติส ที่ทำให้เขามีความสามารถเหนือมนุษย์ ซึ่งรับบทโดยหนุ่มเซอร์กล้ามใหญ่อย่าง Jason Momoa ที่ในเรื่อง Aquaman เรามักจะไม่ค่อยได้เห็นเจสันใส่เสื้อซักเท่าไหร่ แต่ในชีวิตจริงเค้าเป็นคนที่มีสไตล์ในแบบของตัวเองอย่างชัดเจน และเป็นสไตล์ที่เหมาะกับหนุ่มไทยพอสมควร UNLOCKMEN จึงจะพาไปส่องแฟชั่นของพระเอกหนุ่มเคราดกคนนี้ เป็นไอเดียการแต่งตัวที่ชิว ๆ เซอร์ ๆ เจสันคือผู้ชายที่มีสไตล์หลากหลาย ผมยาว เคราดก คิ้วบาก รอยสักที่แขนขวา และลุคเซอร์ ๆ คือเอกลักษณ์ของเจสัน โมมัว แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้มีแค่ลุคเซอร์อย่างเดียวเท่านั้น เพราะเจสันคือผู้ชายมากสไตล์ บางวันเป็นหนุ่มลุคสบาย ๆ ด้วยเสื้อสีพื้นอย่างขาว เทา ดำ พร้อมกับกางเกงขายาว กับรองเท้าบู๊ทแฟชั่นไอเท็มจากยุค 90s อย่าง Timberland ซึ่งถ้าไม่ใส่บู๊ทก็มักจะสวมรองเท้าแตะไปไหนมาไหน ในบางครั้งเจสันก็เป็นผู้ชายลุคสปอร์ต เพราะกีฬาโปรดของเขาคือการไปปีนเขา บางครั้งก็ดูดุดันแบบร็อคเกอร์ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า ศิลปินเพลงร็อคคือคาแรคเตอร์ที่เขาต้องศึกษาและทำความเข้าใจ เพราะตัวละครอาเธอร์ในเรื่องอควาแมนจะต้องมีสไตล์แบบชาวร็อค นอกจากนี้เรายังเห็นเจสันในลุคหนุ่มคันทรี่ขี่ฮาร์เล่ย์ ซึ่งเจสันจะมีหมวกคาวบอยคู่ใจที่มักชอบสวมเวลาไปเที่ยวกับลูก ๆ หรือไปเดินเล่นกับภรรยา แต่ไม่ว่าจะแต่งตัวสไตล์ไหนเจสันก็จะเน้นเรื่องของความสบายเอาไว้ก่อน
Designer (นักออกแบบ) อาชีพหนึ่งที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน คำว่านักออกแบบ มีการแบ่งออกไปเป็นสาขาย่อย ๆ อีกมากมาย แต่การเป็นนักออกแบบมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันเป็นอาชีพที่ต้องการความสดใหม่ของความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็ต้องมี Signature ที่แค่ดูผลงานก็รู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนออกแบบ และเป็นวงการที่มีการแข่งขันสูงมากในโลกที่ไร้พรมแดน ผลงานการออกแบบจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนตัวตน วิถีชีวิต ความเชื่อ รวมถึงลายเซ็นของ Designer แต่ละคนโดยไม่ต้องพูดอธิบายออกมา และสำหรับนักออกแบบที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักชื่อเสียงและผลงานที่โด่งดังระดับ World Class มากมาย นั่นก็คือ “Karim Rashid” นักออกแบบที่มีประสบการณ์เกือบ 30 ปี ออกแบบผลงานระดับโลกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4,000 ชิ้น ได้รับรางวัลดีไซน์มามากกว่า 300 รางวัล และผ่านการ Collaboration กับแบรนด์มากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Collection สุดพิเศษร่วมกับสตาร์บัคประเทศเกาหลี แคมเปญพิเศษร่วมกับทาง Lamborghini & Riva 1920 featured หรือแม้กระทั่งออกแบบลวดลายขวดในคอลเลคชั่นพิเศษร่วมกับทาง Pepsi และอื่น ๆ อีกมากมาย จึงไม่แปลกที่สื่อทั่วโลกต่างยกย่องให้
Tom Hardy นักแสดงหนุ่มสัญชาติอังกฤษผู้มีผลงานการแสดงนับไม่ถ้วน อย่างภาพยนตร์เรื่อง Mad Max: Fury Road และ Venom ที่นอกจากจะฝากผลงานอันยอดเยี่ยมไว้ ล่าสุดยังได้เข้ารับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น CBE หรือ Commander of the Most Excellent Order of the British Empire จากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ในตำแหน่งของบุคคลผู้สร้างชื่อระดับภูมิภาค แต่กว่าจะมาถึงวันนี้เขาคือชายผู้เคยติดสุราเรื้อรังและเล่นยามาตั้งแต่อายุ 11 ปี และนี่คือเรื่องราวที่จะหักล้างความคิดของหลายคนที่เข้าใจว่า เด็กที่เริ่มต้นไม่ดี อนาคตก็ต้องไม่ดีตามไปด้วย ก่อนที่จะกลายเป็นบุคคลผู้สร้างชื่อเสียงให้กับอังกฤษ ชีวิตของทอม ฮาร์ดี้ ผ่านอะไรเจ็บ ๆ มาเยอะกว่าที่คิด เด็กหนุ่มชาวอังกฤษที่แม่เป็นศิลปินวาดภาพและพ่อเป็นนักเขียนชื่อดัง ทุกอย่างดูเพียบพร้อมจนฮาร์ดี้อายุ 11 ปี เขาเริ่มยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดด้วยการดมกาว เมื่ออายุ 13 ก็เริ่ม Turn Pro เข้าสู่สายดาร์กแบบเต็มตัวด้วยการหันมาเสพโคเคนและติดเหล้า ซ้ำยังโดนไล่ออกจากโรงเรียนประจำมีชื่อเสียงของอังกฤษอย่าง Reed’s School ตอนอายุ 16 ปี เพราะขโมยของ ซึ่ง