FASHION

ลุงแมค-แอดเป้ แห่ง Signore Closet สองหนุ่มผู้หลงใหล Classic Menswear ที่อยากบอกเพื่อน ๆ ว่าการแต่งตัวควรเป็นเรื่องสนุก

By: GEESUCH September 23, 2023

บทประโยคเปิดคลิปที่คุ้นเคยหากว่าเพื่อน ๆ (ชื่อด้อมชาวช่องของพวกเขา) ติดตามช่องยูทูปที่ใช้ชื่อว่า Signore Closet กันอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่อ่านแล้วสงสัยว่าพวกเขาเป็นใคร เราขอรีแคปสั้น ๆ ไว้ในบรรทัดถัดไป

Signore Closet คือช่องยูทูปของชายหนุ่มสองคน ‘เป้’ และ ‘แมค’ ที่จะพาเพื่อน ๆ ไปรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแฟชั่นซึ่งเรียกว่า Classic Menswear อันเป็นสไตล์การแต่งตัวที่ทั้งคู่หลงใหล ไม่ว่าจะคอนเทนต์อย่าง สูทเบลเซอร์กับสปอร์ตแจ็คเก็ตต่างกันอย่างไร หรือชวนทุกคนรู้จักแบรนด์ที่ทำรองเท้า Penny Loafer เจ้าแรกของโลก ก็จะเห็นว่าเป็นคอนเทนต์ระดับ Geek มาก ๆ อย่างที่คำโปรยช่องเขียนเอาไว้ไม่มีผิด

“ทุกอย่างที่คุณสุภาพบุรุษสาย Sartorial และ Classic Menswear ควรรู้เกี่ยวกับการแต่งตัว ตั้งแต่สูท แจ็คเก็ต กางเกง รองเท้า เสื้อเชิ้ต เนคไท การเลือกผ้า รู้จักช่างผ้า ร้านตัดสูท และอีกมากมายที่จะทำให้เข้าใจการแต่งตัวในสไตล์ Sartorial หรือ Classic Menswear มากยิ่งขึ้น”

แต่สิ่งที่พิเศษมาก ๆ คือถึงจะเป็นคอนเทนต์ระดับเนิร์ดแบบสุด ๆ เป็นเรื่องของแฟชั่นที่เฉพาะทางและเต็มไปด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์กับดีเทลยิบย่อยเชิงลึกเต็มไปหมด เป้และแมคกลับเล่าเรื่องในโทนที่ย่อยง่าย ผ่านความขบขันในเคมีของทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา พวกเขาทำให้การแต่งตัวแบบ Classic Menswear ไม่สิ ๆ ต้องบอกว่า พวกเขาทำให้การแต่งตัวไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ยาก ใส่แบบที่ตัวเองมั่นใจไปได้เลย

มารู้จักกับ Signore Closet ให้มากขึ้น ผ่านบทสนทนาที่ว่า Classic Menswear คืออะไร สำคัญกับพวกเขาอย่างไร ไปจนถึงแต่งตัวอย่างไรให้สนุก ที่ร้าน The Primary Haus จุดกำเนิดคลิปแรกเมื่อปี 2021 ของทั้งคู่ ตั้งแต่ตะวันลอยอยู่บนฟ้าจนตกดิน   

** จากนี้เราจะแทนชื่อพวกเขาว่า ‘แอดเป้’ กับ ‘ลุงแมค’ อย่างที่ผู้ติดตามช่อง Signore Closet คุ้นเคยกันดี **


เพื่อเข้าใจที่มาที่ไปว่าทั้งคู่มาแต่งตัวแบบ Classic Menswear ได้อย่างไร เราจึงถามถึงวันแรก ๆ ที่เริ่มต้นสนใจการแต่งตัว วันที่ลองผิดลองถูกจนเจอสไตล์ที่ใช่ของแต่ละคน 

แฟชั่นวันแรก ๆ ของ ‘แอดเป้’

แอดเป้ : ผมเริ่มชอบการแต่งตัวช่วงสมัยเรียนมหาลัย พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเราก็รู้สึกว่าอยากจะหล่อเนาะ เลยเริ่มจากที่รองเท้าหนังก่อน แต่ช่วงนั้นก็ยังไม่ค่อยมีเงินฮะ แล้วเสื้อผ้ากับกางเกงเป็นอะไรที่เรายังไม่ค่อยใส่ใจมากเท่าไหร่ จนพอเรียนจบมหาลัย เริ่มทำงาน เก็บเงิน จากรองเท้าหนังมันก็ลามมาเครื่องแต่งกายชิ้นอื่น ๆ เสื้อแจ็ตเก็ต กางเกง แต่ความคิดของผมในเวลานั้นเสื้อผ้าก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่ควรค่าต่อการลงทุนอยู่ดี ผมก็จะซื้อเสื้อเฉพาะตอนเซลล์ จะเปลี่ยนเสื้อผ้าทุก ๆ 6-7 เดือน ด้วยความที่น้ำหนักผมขึ้นลงบ่อยด้วยแหละ แล้วทีนี้ผมก็ก้าวเข้ามาสู่การแต่งตัวกับเสื้อผ้าที่เรียกว่า Luxury Brand แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่เหมาะกับตัวเองสักเท่าไหร่ (Luxury Brand คือแบรนด์ที่มีความพิเศษ ความหรูหราเฉพาะตัวมาก ๆ)

ผมชอบรองเท้าหนังเพราะมันไม่ได้อิงกับสัดส่วนของเรา น้ำหนักขึ้น-น้ำหนักลง เท้าของเรามันไม่ได้เปลี่ยน แล้วก็รู้สึกว่าเป็นไอเทมที่สามารถลงทุนได้ เพราะระยะการใช้งานของรองเท้าค่อนข้างนาน Ferragamo เป็นแบรนด์รองเท้าหนังที่ผมชอบจริง ๆ แบรนด์แรก ๆ และก็ยังชอบมาจนถึงตอนนี้ 

แต่พอเวลาผ่านไป อายุมากขึ้น เราก็อยากจะหาอะไรที่มันเรียกว่า “ซื้อแล้วจบ” ลงทุนอยู่กับมันได้นาน ๆ ไม่อยากตามเปลี่ยนทุก 6-7 เดือนละ น้ำหนักที่เราสวิงเราก็คิดว่าเราคุมน้ำหนักตัวเองก็ได้ ก็เลยเริ่มมาหาเครื่องแต่งกายที่มันสามารถตอบโจทย์ตรงนี้ จนเมื่อสัก 4-5 ปีก่อน ผมก็มาเจอกับสไตล์ที่เรียกว่า Classic Menswear เป็นสไตล์การแต่งตัวที่มันดูเรียบ ๆ ไม่หวือหวา ไม่มีโลโก้แบรนด์ ไม่มีอะไรบนตัวเลย มันคือสิ่งที่ผู้ชายใส่มาตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนจนปัจจุบันก็ยังใส่กันอยู่ ก็มาจบที่ตรงนี้ครับ

แฟชั่นวันแรก ๆ ของ ‘ลุงแมค’

ลุงแมค : จุดเริ่มต้นเลยจริง ๆ ผมจะมีความคล้ายคลึงกับคุณเป้อยู่ แล้วก็แตกต่างกันนิดหน่อย ผมเริ่มต้นจากไอเทมรองเท้าหนังเหมือนกัน 

ผมต้องยกเครดิตให้กับคนที่ทำให้ผมได้เข้าวงการแต่งตัวจริงจังมากขึ้น ก็จะเป็นคุณพ่อกับน้องชาย ผมจะเห็นคุณพ่อแต่งตัวสไตล์ Classic Menswear ใส่สูท กางเกงเอวสูง ผูกไทด์ เสื้อเชิ้ตที่เป็นแบบ Button Down (เสื้อเชิ้ตที่ตรงปลายปกเสื้อมีรังดุมเพื่อยึดกับกระดุมบนตัวเสื้อ) หรือเป็น Spread Collar (ปกเสื้อเชิ้ตแบบป้านกว้าง) คู่กับรองเท้าหนังใส่ไปทำงานทุกวัน โดยเน็กไทด์ของแกจะเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ผมก็รู้สึกว่า มันเท่ดีนะ

อีกคนอย่างที่บอกไปคือน้องชายผมเขามีโอกาสไปเที่ยวเมืองนอก ไปเรียนต่างประเทศ ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่ได้เข้าวงการแต่งตัวเขาก็บอกว่าผมควรจะมีรองเท้าหนังดี ๆ ใส่สักคู่ ก็มีรองเท้าหนัง 3 สไตล์ที่ควรจะเล่น อย่างเช่นพวก Penny Loafer ที่เป็นรองเท้าสวมไม่มีเชือกผูกแบบ Slip-On แล้วก็จะมี Oxford Cap Toe (รองเท้าในตระกูล Oxford ที่มีลายเส้นคาดขวางกับตัวรองเท้าในส่วนปลาย ทำให้ไม่ค่อยมีรอยย่นเร็วเหมือนกับรองเท้าหนังแบบอื่น) และที่เป็นลายฉลุอย่าง Wingtip Oxford

ซึ่งตอนนั้นในเมืองไทยถือว่ามีของน้อย ผมก็เริ่มสงสัยว่าทำไมถึงไม่ค่อยมีใครใส่แนวนี้เลยนะ ก็เลยเริ่มศึกษา เริ่มหาแบรนด์ที่เป็นต้นกำเนิดรองเท้าทรงพวกนี้ จนเริ่มอิน ไปเจอว่าอย่าง Penny Loafer ก็จะมีรุ่น Bass Weejuns ของ G.H.Bass แบรนด์ที่เป็นออริจินอลเจ้าแรกของโลกที่ทำรองเท้าทรงนี้ ก็พยายามหามาใส่ซึ่งตอนนั้นก็อาศัยฝากเพื่อนหิ้วมาจากเมืองนอกบ้างครับ

จนเมื่อประมาณ 3-4 ปีก่อน ก็สนใจแนว Classic Menswear อย่างที่แอดเป้พูดไปว่ามันมีความ Timeless เป็นแฟชั่นที่ไม่ตกยุค ผมเองก็อยากหาเสื้อผ้าที่ไม่ต้องเป็น Fast Fashion เปลี่ยนทุกซีซั่น แล้วก็ทำให้เรา Express ตัวตนออกมาได้


ทั้งคู่ล้วนเริ่มต้นการแต่งตัวแบบ Classic Menswear ด้วยรองเท้าหนังก่อน และเป็นรองเท้าหนัง Luxury Brand ซึ่งอยู่ในหมวดที่เรียกว่า Classic Shoe ด้วยกันทั้งคู่ ที่ต้องเป็นรองเท้าประเภทนี้เพราะมันมีความพิเศษโดยส่วนตัวกับพวกเขาอยู่  

Classic Shoe ก็เป็นรองเท้าหนัง Dress Shoe รองเท้าหนังที่แบ่งออกเป็น 4 ประเภท Oxford / Derby / Brogue / Monk Strap เป็นรองเท้าซึ่งอดีตใส่เพื่อออกงานที่เป็นทางการเป็นหลัก ที่คนยุคสมัยก่อนใส่ เป็นร้องเท้าแบบ Shoemaker แบรนด์ที่เก่าแก่ เป็น Specialist เจ้ารองเท้าซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากอังกฤษและอเมริกา เขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตัดเย็บรองเท้า แบรนด์พวกนี้มันทำแต่รองเท้าอย่างเดียวเลย มีอายุแบรนด์ 130 ปีขึ้นกันทั้งหมด

แอดเป้ : รองเท้าหนังคู่แรกสุดที่เป็น Shoemaker ของผม จำได้เลยว่าซื้อที่ The Passion’s Key ก็คือร้านมือสองที่เจ้าของร้านคือเจ้าของร้านร้าน The Primary Haus ที่เรานั่งคุยกันอยู่นี่แหละ

Classic Shoe ที่เป็นแบรนด์เนมกับไม่ใช่แบรนด์เนมมันต่างกันอย่างไร

แอดเป้ : ถ้าเป็น Luxury Brand ที่เราคุ้นเคยกันมันจะแทรคกลับไปหาต้นกำเนิดว่ารองเท้ามาจากไหน มีกระบวนการทำยังไง โครงสร้างเป็นมายังไงค่อนข้างยาก แต่รองเท้าแบรนด์ที่เป็น Shoemaker คือเราจะสามารถรู้ตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่าเขาทำที่ไหน ประวัติเป็นยังไง ผ่านมากี่เจเนอเรชั่นแล้ว เรียกว่าเราสามารถรู้ทุกอย่างได้ทั้งหมด ตั้งแต่วิธีการผลิตจน Material มันก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมเปลี่ยนจาก Luxury Brand มาเป็น Classic Menswear เรียกว่าอะไรที่เป็นคลาสสิกทั้งหลายมันมีความโปร่งใส รวมไปถึงพวกแจ็คเกต เครื่องแต่งกาย และอื่น ๆ ด้วยนะ มันทำให้รู้สึกว่าเรามีคอนเนคชั่นกับ The Maker กับคนทำโดยตรงจริง ๆ

ก็อย่างที่ผมบอกตอนแรกแหละ ผมอยากจะมองผ่านความเป็นแบรนดด์ดิ้ง มองผ่านมาร์เก็ตติ้ง อยากจะซื้อของที่มีความเป็น authentic ความเป็น original จริง ๆ คือเราจ่ายของซื้อคุณภาพ ไม่ได้จ่ายของเพื่อซื้อแบรนด์

แล้วทำไมทั้งคู่ถึงต้องเลือกของแบรนด์ที่เป็น Original

ลุงแมค : เขาคือคนที่ริเริ่มเป็นตัวจริงที่สร้างของพวกนี้ขึ้นมา แล้วมีหลักฐานความเป็นมาบันทึกเอาไว้หมดเลย ผมว่าเสน่ห์มันอยู่ตรงที่สตอรี่นี่ล่ะ


รู้จักความเป็นมาเป็นไปของทั้งคู่แล้ว ถ้าจะไม่ถามว่าแอดเป้กับลุงแมคมาเจอกันได้อย่างไร เริ่มต้นทำ Signore Closet ตอนไหน เหตุการณ์ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง บทสัมภาษณ์นี้ก็คงจะไม่สมบูรณ์

ลุงแมคขอเริ่มต้นเล่าก่อน ลุงบอกว่าการเจอกันครั้งแรกจริง ๆ ต้องเล่าย้อนกลับไปประมาณช่วงก่อนโควิด ปี 2018-2019 ลุงเจอคุณเป้ที่ร้าน The Primary Haus ร้านซึ่งลุงให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าคุณพีเจ้าของร้านเป็นรุ่นน้องโรงเรียนมัธยมของตัวเอง (สถานที่แห่งความทรงจำจริง ๆ) หลังจากที่แต่งตัวสไตล์ Classic Menswear มาสักพัก ซื้อของมือสองอย่างเสื้อวินเทจ รองเท้าหนังแล้ว มีกางเกงทรงกระบอกใหญ่ ๆ แล้ว ลุงยังขาดสูทดี ๆ ตัวแรกของตัวเอง และนั่นทำให้ได้มาเจอกับแอดเป้ที่นี่ 

แอดเป้รับไม้ต่อเรื่อง เขาบอกว่าจริง ๆ เคยเจอกับลุงแมคในร้านขายของ Classic Menswear หลายที่ ด้วยความที่ตอนปีนั้น (2018-2019) ยังมีร้านและคนแต่งตัวแนวนี้ไม่ได้เยอะมาก จนได้มาคุยกันจริง ๆ ที่ร้าน The Primary Haus มันเป็นวันที่แอดกำลังจะไปตีกอล์ฟต่อ เขาจำดีเทลของวันนั้นได้แม่นถึงขนาดว่าตัวเองใส่ชุดออกกำลังกาย ตั้งใจมาซื้อ Bomber Jacket ผ้าลินินสีขาว และมีการถ่ายรูปร่วมกับลุงแมคเลยทีเดียว 

ทั้งคู่บังเอิญมาเจอกันตลอดเลยหรอ

แอดเป้/ ลุงแมค : บังเอิญครับ (ตอบพร้อมกันอย่างไว)

ลุงแมค : พอเจอหน้ากันบ่อย ๆ ก็เลยลองคุยกัน เออหนุกดีเว้ย คุยกับคนนี้แล้วฮาดี ชอบของอะไรคล้าย ๆ กันอีก เวลาเราซื้อของมือสองก็จะชอบแย่งกัน เพราะตอนนั้นเราไซส์เดียวกัน ตีกันบ้าง ตอนนั้นเวลาไปร้านก็จะมีเหตุการณ์ที่แบบพ่อค้าจำได้ ชิ้นนี้คุณเป้ซื้อไปนะคุณแมค อะไรงี้ มีการแย่งตัดหน้าเกิดขึ้น

แล้วคิดว่าเคมีอะไรที่ทำให้คลิกกัน

แอดเป้ : ทำไมคุณถึงชอบผม (ค่อย ๆ ยื่นมือไปจับมือลุงแมค) เพราะอะไรครับ ทำไมคุณถึงถูกใจผม

ลุงแมค : คุณเป็นคนบ้าครับผม เราบ้าเหมือนกัน (หัวเราะ) มันอาจเป็นเพราะผมเป็นเด็กเรียนโรงเรียนชายล้วนมาก่อน ทำให้เข้ากับหนุ่ม ๆ ง่าย ยิ่งพอดีคุณเป้เขาชอบสิ่งที่เราชอบเหมือนกัน คุยภาษาเดียวกัน ก็เลยรู้สึกว่าคลิก

แอดเป้ : พอเจอกันบ่อยก็รู้สึกว่าเป็นคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน ส่วนตัวผมเป็นคนตรง ๆ ด้วย เป็นคนที่แบบมีไรก็คุย พอเจอคนที่ตรง ๆ เหมือนกัน มันก็ดูจริงใจดูจริงจังดี แค่นั้นเลย


ความเป็น Classic Menswear ของแอดเป้กับลุงแมคคืออะไร มีหน้าตาอย่างไร

ลุงแมค : ยากนะคำถามนี้ ตอบยากมากเลย

แอดเป้ : ใน Classic Menswear ก็จะมีหมวดย่อยลงไปอีกหลากหลายแบบอย่าง เช่น ในความวินเทจก็จะมีสไตล์แบบ American Preppy Style / Vintage Workwear รวมไปถึง Sartorial ซึ่งเป็นอะไรที่เราใส่กันมาวันนี้ เป็นการใส่สูทกับสปอร์ตแจ็คเกต ถ้าให้นิยาม Classic Menswear มันคือมวลรวมของเครื่องแต่งกายที่ผู้ชายใส่มานานมาก ๆ แล้วปัจจุบันก็ยังใส่กันอยู่ 

ลุงแมค : สำหรับผมมันเหมือนการเอาสิ่งของที่คุณผู้ชายในยุคอดีตร้อยกว่าปีก่อนมายำรวมกัน มามิกซ์แอนด์แมช เอาสไตล์อื่นที่ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นสูทอย่างเดียวมาปนกันเลย เพิ่มความสนุกให้มัน ฟรีสไตล์เพื่อแสดงออกถึงความเป็นตัวตนของเรา โดยใช้เครื่องแต่งกายสไตล์คลาสสิค

แอดเป้ : แต่ก่อนเวลาที่เราจะซื้อเสื้อผ้าสักชิ้นนึงผมจะมองไปที่แบรนด์ก่อน สมมุติผมชอบแบรนด์นึง ผมถึงจะค่อยไปดูว่าแบรนด์มีอะไรตอบโจทย์เราบ้าง แต่ Classsic Menswear มันคือการมองกลับมาที่เราก่อน เราชอบอะไรแล้วจึงไปหาอีกทีหนึ่ง มันเป็นการมองที่ค่อนข้างจะย้อนกลับกันกับกับตลาดปัจจุบัน แบรนด์มาทีหลัง มองมาที่เราก่อนว่าเราเป็นคนยังไง เราชอบอะไร แล้วค่อยไปหาอะไรที่มันตอบโจทย์เรา ถ้าอย่างที่ลุงแมคบอกว่า Classic Menswear คือเสื้อผ้าที่สามารถเอาหลายสิ่งอย่างมาปนกันได้ แล้ว Final Fitting ยังไงถึงจะเรียกว่ายังเป็นสไตล์ของ Classic Menswear อยู่ 

แอดเป้ : มันเป็นคำตอบเชิงปรัชญาเหมือนกันนะ ผมรู้สึกว่าพอเราเข้าใจแล้วว่าเราชอบแบบไหน ความคลาสสิคคืออะไร เราจะสามารถสลับไอเทมบางอย่างมาใส่ได้โดยที่แบบลุคมันยังดูคลาสสิคอยู่ มันอยู่ที่ฟิตติ้งของเสื้อผ้าด้วยที่จะทำให้มันดูคลาสสิคหรือไม่คลาสสิค แต่ก็เป็นอะไรที่บอกยากมากเลย

Cool Fact By แอดเป้ : อะไรคือ Sartorial ? 

Sartorial เป็นแขนงหนึ่งของ Classic Menswear คำว่า “Sartorial” มาจากภาษาอิตาลีคำว่า “Sartoria” แปลว่า ร้านตัดสูท ช่างตัดสูท ห้องตัดสูท มันคือเรื่องของงาน Craftsmanship เรื่องของงานฝีมือที่มีการวัดตัดเย็บ เพราะว่าการตัดสูทต้องมีการวัดตัวของช่างที่เป็นยอดฝีมือ

ในช่อง Signore Closet หนึ่งในความสนุกคือการได้เห็นลุงกับแอดแย่ง F ของการที่หน้าร้านไปเลย คิดว่าการได้มีเพื่อนที่ชอบการแต่งตัวสไตล์เดียวกันมาแย่งซื้อของกัน มันทำให้การแต่งตัวของตัวเองสนุกขึ้นด้วยมั้ย

ลุงแมค : สนุกมากครับ (หัวเราะ) เอาจริงมันคือโกลของผมในการทำช่อง Signore Closet กับคุณเป้เลยนะ ผมอยากจะให้เพื่อนผู้ชายสไตล์เหมือนเรามาแต่งตัวสไตล์นี้ อยากจะเพิ่มความสนุกสนานในการแต่งตัวมากขึ้น ผมก็รู้สึกว่ามันสนุกมากที่ได้เห็นตลาดมันเริ่มโตขึ้น มีคนมา cf ของแย่งกัน พ่อค้าใหม่ ๆ ทั้งมือหนึ่งมือสองเปิดขึ้น แสดงความเป็นคุณออกมาเลย ซื้อสิ่งที่คุณชอบแต่งตามสไตล์คุณ 

แอดเป้ : จุดประสงค์ในการทำช่อง Signore Closet ที่ผมคิดไว้ตอนแรกคืออยากจะหาคนที่ใส่ Classic Menswear อยากจะบอกคนกลุ่มนั้นว่า “มึงมีกูอยู่นะ กูก็ใส่เหมือนมึงอยู่” ผมจำได้เลยว่าช่วง 4-5 ปีก่อน ที่เริ่มมาใส่แรก ๆ ไปเดินสยามหรือเดินห้าง จะมีผมแล้วก็เห็นคนอีกแค่ไม่เกิน 2 คนที่แต่งสไตล์นี้ ซึ่งก็น่าแปลกใจเพราะมันเป็นการแต่งตัวที่มีมานานแล้ว คนทำงานก็ใส่กันปกติ แต่ผู้ชายไทยใส่กันแต่ในเชิงของยูนิฟอร์ม ในรูปแบบที่เป็นแค่เครื่องแต่งกายไม่ค่อยเจอ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็คือเครื่องแต่งกายรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง  ถ้าอยากใส่ก็ใส่มาเลย ไม่ต้องกลัวจะโดนคนทักนู่นนี่นั่น ถ้าเราชอบก็แค่ทำมัน 

ลุงแมค : ผมเป็นคนทำงานออฟฟิส ผมก็จะมองเห็นว่าทำไมผู้ชายต้องแต่งตัวคล้าย ๆ กันหมดเลย กางเกงสแลคสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว เห็นแบบนี้ทุกวันก็แอบรู้สึกเบื่อ ๆ มันไม่จำเป็นว่าใส่สูทแล้วต้องเป็นผู้บริหาร เป็น ceo ขององค์กร หรือเป็นดารา นักแสดงเท่านั้น ก็เลยทำเป็นคลิปของ Signore Closet ออกมาให้คนเห็นว่าลุงแมคกับแอดเป้ก็ใส่สไตล์นี้ ใส่ในชีวิตประจำวัน พร้อมกับแชร์เป็นความรู้ทั้งในเรื่องของการตัดสูท เรามีประสบการณ์มาแล้วก็เอามาแชร์ต่อให้เพื่อน ๆ ฟัง คนที่เขาเสพพวกนี้ก็จะได้เห็นภาพจนอาจจะอยากใส่ตามพร้อมกับปรับไปเป็นสไตล์ของตัวเอง

แอดเป้ : ด้วยความที่บ้านเราเป็นเมืองร้อน เราอาจจะคิดว่าการมีเลเยอร์ใส่แจ็คเก็ตเพิ่มอีกชั้น หรือการใส่สูทมันต้องแน่น ๆ ตึง ๆ ขยับตัวลำบากร้อนแน่นอน ตอนแรกผมก็เข้าใจอย่างนั้น แต่พอได้มาตัดสูทจริง ๆ ทั้งกับช่างคนไทย ช่างอิตาลี ก็เลยทำให้เข้าใจว่าจริง ๆ มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย การที่เราติดภาพว่าสูทต้องหนา ต้องหนัก ต้องใส่แล้วร้อนมันเป็นเพราะหลายปัจจัย เช่น โครงสร้างมันหนา มีการฟิวส์ค่อนข้างเยอะ เลือกผ้าผิดวิธี ซับในผิดแบบ ดีเทลมันหลากหลายมาก แต่ว่าถ้าเราเลือกเป็น เข้าใจปัจจัยพวกนี้ เราสามารถทำให้เป็นเหมือนกับการใส่แจ็คเกตทับอีกตัวขึ้นมาเท่านั้นเอง ถามว่าการที่ใส่แจ็คเกตมันร้อนขึ้นมั้ย มันแน่นอนอยู่แล้ว การที่เราเอาเสื้อผ้ามาทับตัวเราเพิ่มอีกชั้นหนึ่งถ้าพูดว่าไม่ร้อนมันคงไม่ใช่ แต่ว่าจะร้อนยังไงให้มันร้อนน้อยที่สุด ให้มันเบาที่สุด ใส่สบายที่สุด มันมีวิธี

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเพิ่งนึกออกมันจะมีคำว่า Underdress กับ Overdress

Underdress คือการแต่งตัวเป็นทางการน้อยกว่างานที่จะไป ส่วน Overdress คือแต่งตัวดูมีความเป็นทางการสูงมากกว่างานที่จะไป สำหรับผมถ้าเราจะไปร่วมงานแล้วไม่มีสูทเลย เราไปชุดปกติที่เราใส่แล้วเกิดอาการที่เรียกว่าแต่งตัวไปลำลองเกินกว่าแขกคนอื่น เราจะกลายเป็นคนที่ ‘แต่งตัวไม่ดี’ ขึ้นมาทันที แล้วมันสื่อได้หลาย ๆ อย่างเลยนะ เราไม่เข้าใจบริบทของสังคมดีพอ หรือว่าเราอาจจะให้เกียรติเจ้าของงานไม่ดีพอด้วย เพราะฉะนั้น การที่แบบเราแต่งตัวใส่สูทคนอาจจะคิดว่ามันทางการเกินไปรึเปล่ากับการไปบางงาน ผมรู้สึกว่าเราแต่งแบบให้ Overdress เกินกว่าปกติหน่อยนึงดีกว่า Underdress

หลังจากคุยกับ Signore Closet มาสักพักใหญ่ ๆ ด้วยความที่ไม่รู้เราสนใจอยากอัพเดทว่าเทรนด์ของ Classic Menswear ในปี 2023 เป็นอย่างไรบ้างแล้ว 

แอดเป้ตอบคำถามผมด้วยคำที่น่าสนใจว่า “เทรนด์ Classic Menswear มันเพิ่งเริ่มฮะ” แอดเป้บอกว่าถึงแฟชั่นความคลาสสิคนี้จะมีมานานหลายร้อยปีแล้ว แต่มันเพิ่งกลับมาอยู่ในกระแส ผ่านสิ่งที่เขาบอกว่าเราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างอย่าง Quiet Luxury หรือ Old Money Style ที่เพิ่งกลับมาในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความหมายสื่อถึงแฟชั่นการแต่งตัวแบบผู้ดีเก่า ซึ่งก็จะมีความคล้าย Classic Menswear ที่ไม่ได้โชว์ความเป็นแบรนด์

แอดเป้ : แต่ว่าแบรนด์ที่ทำสไตล์ Old Money หรือ Quiet Luxury ก็ยังเป็นแบรนด์ในเมเจอร์กรุ๊ปใหญ่ ๆ อยู่ ยังไม่ถือว่าเป็น The Maker ครับ

ในมุมมองของแอดเป้ Quiet Luxury เป็นเทรนด์ระดับ Global Impact แล้วหลังจากนี้ก็จะเป็นยุคของ Classic Menswear เป็นแฟชั่นแบบที่คนใส่มีความสัมพันธ์กับ The Maker อย่างใกล้ชิดมากขึ้น มันมีความเป็น organic มีความเป็น Human Touch มากกว่า ซึ่งเขารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่หลาย ๆ คนโหยหาในยุคที่อินเทอร์เน็ตเฟื่องฟู สิ่งที่มีความเป็นคนมากขึ้น


คำถามนี้อาจจะนอกเรื่องจาก Signore Closet ไปหน่อยแต่ก็ยังเกี่ยวกับแฟชั่นและความสนุกของการแต่งตัวอยู่ (ฝืนเอาจนได้) ในฐานะที่ทั้งแอดเป้กับลุงแมคเป็นผู้ชายที่สนุกกับการแต่งตัว อยากรู้ว่าผู้หญิงแบบไหนที่เราจะแพ้การแต่งตัวของเขามาก ๆ เลย

ลุงแมค : จริง ๆ ผมชอบผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นสไตล์ของเขาเองครับ ก็ดูแบบสุภาพ แบบว่าไม่ได้หวือหวาเกินไป ใช้ไอเทมที่ค่อนข้างจะเรียบง่าย ผู้หญิงแต่ละคนจะมีคาแรคเตอร์เป็นของตัวเองเนอะ ซึ่งก็ตอบยากเหมือนกัน อย่างภรรยาผมก็แต่งตัวสไตล์คล้าย ๆ ผม ก็ชอบนะครับ เป็นเสื้อสไตล์มินิมอล อาจจะเป็นกางเกงขาแบบบาน ๆ หน่อย กระโปรงบ้าง

แอดเป้ : ผมยังไงก็ได้นะ ผมไม่ judge คนจากการแต่งตัวอยู่แล้ว แต่ผมว่าไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม ถ้าใส่เสื้อผ้าที่เรามั่นใจยังไงก็ดูดี จะเป็นแบบไหนก็ได้ พอเราใส่ละเรามั่นใจในตัวเองมันจะสื่อออกมาทาง Body Language เราจะดูมีออร่ามากกว่าปกติในวันนั้น เพราะฉะนั้นแต่งตัวยังไงก็ได้ที่เป็นตัวเองละก็รู้สึกมั่นใจ เป็นไง ตอบเป็นดาราปะ (หัวเราะ)


ความหมายของคำว่า Signore Closet คืออะไร ? 

แอดเป้ : วันแรกที่ผมทำช่องก็แค่อยากได้ชื่อที่มันเป็นอิตาเลียนผสมกับเสื้อผ้า พอนึกถึงภาษาอิตาลีมันก็มีไม่กี่คำ Sprezzatura / Sartorial แล้วคำว่า Signore มันก็ป๊อปขึ้นมาเลย Signore แปลว่ามิสเตอร์ แปลว่า ‘คุณ’ อารมณ์ผมก็จะแบบว่า “เฮ้ยคุณอะ คุณผู้ชาย” แต่คุณผู้ชายละไรต่อดี ก็เลยนึกถึงคำว่า Wardrobe แต่จะใช้คำว่า “Signore Wardrobe” ก็ดูแปลก ๆ เลยคิดต่อไปว่าคำไหนสามารถแปลว่าตู้เสื้อผ้าได้อีก ก็ Closet ละกัน เป็นไอตู้เสื้อผ้าง่ายดี

ลุงแมค : เป็นมิสเตอร์ตู้เสื้อผ้า

จุดเริ่มต้นคลิปแรกตอนปี 2021 เกิดจากการที่แค่แอดกับลุงชวนกันง่าย ๆ ไม่มีพิธีรีตองว่าอยากทำช่องยูทูปขึ้นมาเพื่อเล่าบันทึกประจำวันที่พวกเขาไปร้านเสื้อผ้ามือสอง ร้าน Classic Menswear แล้วได้ประสบการณ์ให้เพื่อน ๆ (คนดู) ฟัง 

คลิปแรกของพวกเขามีชื่อว่า เลือกผ้าตัดแจ็ตเก็ตยังไงไม่ให้ร้อน? – ผ้า Hopsack l SIGNORE CLOSET x The Primary Haus เป็นการดูผ้า Hopsack สำหรับการตัดสูท จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการจะสื่อให้คุณผู้ชายว่าเราสามารถใส่สูทในเมืองไทยได้นะ มันไม่ร้อนถ้าเกิดว่าเลือกผ้ากับโครงสร้างที่ถูกต้อง โดยมีคุณพีที่เป็นเจ้าของร้าน The Primary Haus มาช่วยแชร์ประสบการณ์ด้วย ทั้งคู่บอกว่าเป็นการถ่ายคลิปแบบที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย

แอดเป้ : มาปัจจุบันก็ยังไม่ได้เตรียมเหมือนกัน

ลุงแมค : อิมโพรไวส์กระจุยฮะ

แอดเป้ : จริง ๆ การทำยูทูปหรือว่าการที่ผมต้องเป็นคนออกหน้าพูดในที่ Public มันเป็นอะไรที่ผมอยากทำเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตเลยนะ

ลุงแมค : คุณเป้ไม่ชอบเลย (หัวเราะ)

แอดเป้ : ธรรมชาติผมเป็นคนชอบทำงานหลังบ้าน แต่ก็ลองฟอซให้ตัวเองทำดู แล้วการได้ป้ายยาให้คนอื่นมาเสียเงินไปด้วยกันมันก็เป็นอะไรที่สนุกดี

ลุงแมค : ต้องหาคนมาเป็นแนวร่วมเสียตังค์นี่คือความชอบส่วนตัว

ช่อง Signore Closet ทำคลิปแฟชั่นที่ Fact ที่ต้องรู้เยอะมาก ทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์ ทั้งในเรื่องของเชิงเทคนิคต่าง ๆ ชุดความรู้พวกนี้ทั้งคู่ศึกษามาจากไหน

ลุงแมค : ส่วนใหญ่ข้อมูลพวกนี้มันจะมาจากหนังสือหรือบทความที่เชื่อถือได้ เป็นข้อมูลที่คนจริง ๆ รวบรวมข้อมูลมาบันทึกเอาไว้ หรือว่าถ้าเป็นพวกแนววินเทจก็จะศึกษาจากพ่อค้าที่เขาอยู่ในวงการมาก่อน เล่นของพวกนี้มาก่อน ศึกษามาก่อน

แอดเป้ : จริง ๆ ข้อมูลพวกนี้เป็นสิ่งที่หาค่อนข้างยากนะ นอกจากยูทูป นอกจากบทความภาษาอังกฤษแล้ว การคุยกับคนที่มีประสบการณ์ผมว่าสำคัญที่สุด อย่างประสบการณ์ที่ผมคุยกับคุณพีเจ้าของร้าน The Primary Haus ก็สำคัญมาก เพราะว่าตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าผ้าในการตัดสูทกับแจ็คเกตแต่ละแบบมันต่างกันยังไง การที่เราหาข้อมูล เราดูผ่านจอ หรือว่าอ่านผ่านหนังสือเราไม่เข้าใจทั้งหมดหรอก เราต้องมาจับตัวจริง ต้องมีคนชี้ให้ดูว่ามันเป็นยังไง ต้องมีตัวอย่างมาเทียบให้ดูแบบหน้างานถึงจะเข้าใจ เพราะงั้นผมว่าสิ่งที่สำคัญของ Classic Menswear คือต้องมาสัมผัสทุกอย่างด้วยตัวเอง การเข้าใจทฤษฎีหรือเข้าใจที่มาก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งเลยคือต้องมาดูว่าอะไรที่มันตอบโจทย์เราได้ มันเป็นอะไรที่เป็น individual สูงมาก อิงกับความชอบส่วนตัวของแต่ละคน เราไม่สามารถบอกแทนได้ว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี เราบอกได้แค่ข้อมูลที่มันเป็น Fact แต่ความชอบมันแล้วแต่คน

ลุงแมค : มีหลายคนชอบถามเราว่าเสื้อผ้าชิ้นนั้นชิ้นนี้ดีมั้ย อันนี้คือคำถามที่ตอบยากมากเลยนะ แบรนด์ไหนดีครับ ตัดสูทร้านดีครับคุณแมค คำถามนี้ผมตอบให้ไม่ได้เลย คือคุณต้องมาลองเอง เราอาจจะชอบช่างอยู่คนหนึ่ง แต่คนที่ถามผมอาจจะไม่ชอบก็ได้ เพราะงั้นต้องมาลองสัมผัสด้วยตัวเองถึงจะรู้

ทำ Signore Closet มา 3 ปี มันมีความหมายอะไรต่อทั้งคู่บ้าง

ลุงแมค : เรารู้สึกเหมือนมีเพื่อนที่ชอบแบบเราเพิ่มมากขึ้น ผมรู้สึก success ตรงหลาย ๆ คนที่ติดตามช่องทักมาหาว่า “คุณแมคผมแต่งสไตล์นี้เพราะคุณ Signore Closet เลย” มันเหมือนกับเรามีโอกาสเปลี่ยนตู้เสื้อผ้าของคนอื่น

แอดเป้ : มีหลาย ๆ คนทักผมมาเหมือนกันว่า “ผมมั่นใจมากขึ้นเพราะว่าอ่านบทความของ Signore Closet แล้วรู้ทริคในการแต่งตัวสไตล์นี้” เออเรารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนเขาได้


อันนี้คำถามเอาแต่ใจนิดนึงครับ พอดีผมชอบคอนเทนต์ ‘ผู้ชายมือสอง’ ของช่อง Signore Closet ที่พาไปจับของเก่าของวินเทจอย่างเชิงลึกเอามาก ๆ อยากรู้ความสนุกของแฟชั่นแบบ Second Hand เป็นอีกหนึ่งความชอบนอกจาก Sartorial ของ Signore Closet รึเปล่า

แอดเป้ : ผมว่าความเป็นของวินเทจกับความเป็น Sartorial มันคล้ายกันตรงที่สามารถแทรคไปไปถึงต้นกำเนิดกับการเดินทางของเสื้อผ้าได้ สมมุติวินเทจทหารเราจะรู้เลยว่าตัวนี้มันถูกใส่ในช่วงปีไหน มันผ่านอะไรมาบ้าง มันเป็นประวัติศาสตร์ที่มันเป็นเรื่องราวจริงไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่งเรื่องราวขึ้นมาเพื่อขาย มันมีคนเคยใส่อย่างนี้จริง ๆ

ลุงแมค : แล้วมันเป็นเสื้อผ้าชิ้นที่ไม่สามารถหาอีกต่อไปได้แล้ว ผมรู้สึกว่าเสน่ห์คือมันต้องไปควานหา แล้วก็หายากด้วยนะ มันรู้สึกภูมิใจ เหมือนเรา achieve ด่านนึงในเกม และที่จะเรียกเป็นวินเทจต้องมีอายุ 20 ถึง 30 ปี แล้วของที่เราชอบก็จะเกิน range นี้ขึ้นไปอีก สมมุติว่าคุณเป้ซื้อของวินเทจชิ้นนี้ไปผมก็จะไม่สามารถหามันได้อีกแล้ว ที่มีรอยขาดแบบนี้ มีปักชื่อของทหารคนนี้ มันคือความสนุกของการหาของที่มีชิ้นเดียวบนโลก

แอดเป้ : ผมว่าของวินเทจมี  Process ในการทำเสื้อผ้า Material ถ้าเทียบกับสมัยนี้มันต่างกัน สมัยก่อนมันก็จะมีความเป็นคนที่มากกว่าปัจจุบัน วัสดุก็แตกต่างกัน 

แอดเป้ : อย่างช่วงนี้ผมอินเสื้อวินเทจทหาร แล้วก็จะเป็นทหารอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ อย่างตัวที่ผมเอามาวันนี้ถ้าคนเล่นของวินเทจก็รู้จักอยู่แล้วแหละ Jungle Jacket เป็นแจ็คเกตที่ทหารอเมริกาใส่รบในสงครามเวียดนามช่วงปี 60-70 สิ่งที่น่าสนใจที่ผมบอกตอนแรกก็คือเราสามารถแทรคได้ชัดมากว่าแจ็คเกตตัวนี้อยู่ในปีไหน ทหารคนนั้นมีเลเวลอะไรได้ชัดเจน อย่างตรงใต้ปกคอก็มี ตรงข้างในเสื้อก็มี มันจะมี Contract Number วิธีการใช้แจ็คเกตของทหาร แบบว่าต้องใส่อะไรยังไงครบ แล้วมีบอกปีด้วย แล้วมันจะมีสิ่งที่เรียกว่า Patch ซึ่งเขียนเอาไว้ชัดเลยว่า Republic of Vietnam Service เหมือนเป็นป้ายที่กองทัพแจกให้กับทหารผ่านศึกเวียดนาม เขาก็เอามาแปะกัน อันนี้ก็จะเป็น POW/MIA แปลว่า Prisoner Of War คำว่า MIA ก็คือ Missing In Action แพชนี้ก็เหมือนเป็นการไว้อาลัยให้กับคนที่เป็นเชลยศึกสงคราม ทหารที่ตามหาตัวไม่เจอ ข้างๆ ตรงแขนก็จะมีปักอาร์มเป็นชื่อทีมทหารหน่วยที่เขาสังกัด อย่างเป็นรูปนกอินทรีย์คือหน่วย 101 เป็นหน่วย Airborne หน่วยโดดร่ม 

หลาย ๆ คนถ้าให้คิดถึงแบรนด์เสื้อผ้าที่ใหญ่ทีสุดในโลก ก็คนอาจจะนึกถึง Lluxury Brand หรือไม่ก็เป็นแบรนด์ Fast Fashion อย่าง Sarah หรือ Uniqlo แต่ผมจะนึกถึง U.S. Military เพราะอะไรรู้ปะ ก็งบประมาณที่ใช้ในการลงทุนกับแจ็คเกตพวกนี้ขึ้นมาจนถึงปัจจุบันนะ ล่าสุดคือ 5 ล้านล้าน US Dollar ! เราลองคิดดูว่ากองทัพหรือว่าบริษัทที่ลงทุนในการทำเสื้อขนาดนี้มันต้องมีอะไรสักอย่างที่สามารถดึงดูดเราได้ ผมก็เลยรู้สึกว่าในเมื่อกองทัพมันลงทุนขนาดนี้ เราอยากรู้จังเลยว่าการลงทุนผลผลิตขนาดนั้นเนี่ยมันเวลาใส่จริงเป็นยังไง ฟีลเป็นยังไง แพทเทิร์นเป็นยังไง แล้วการใส่แจ็คเกตทหารไม่ได้หมายความว่าเราชื่นชอบทหาร หรือเราเป็นเผด็จการ มันไม่ใช่นะ เราชอบสตอรี่ของเสื้อ


สำหรับ Signore Closet คิดว่า ‘แฟชั่น’ มีความสัมพันธ์กับ ‘ชีวิต’ อย่างไรบ้าง 

แอดเป้ : แฟชั่นมันก็คือการแต่งตัวเนาะ การแต่งตัวมันก็เหมือนเปลือกนอก เราสามารถที่จะเปลี่ยนมุมมองของคนที่มองเข้ามาโดยใช้เครื่องแต่งกายได้ เครื่องแต่งกายถึงมีระดับความเป็นทางการ แฟชั่นทำให้เราดูสุขุมขึ้น หรือดูเงียบมากขึ้นก็ได้ อยากให้เราดูสบาย ๆ ดูเข้าถึงง่ายก็ทำได้เหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจในเรื่องของผ้า เรื่องของสี เรื่องของ Material ต่าง ๆ มันจะทำให้เราสามารถสื่อสารข้อความที่ไม่ใช่คำพูดออกไปได้ชัดมากขึ้นในสถานการณ์หรือว่าบริบทนั้นๆ

ลุงแมค : การแต่งกายเป็นปัจจัย 4 ที่มนุษย์ต้องใช้อยู่แล้วแหละ ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องมาแต่งกายสไตล์นี้ แต่ละคนอาจจะมีสไตล์ที่ชื่นชอบของตัวเองก็เลยอยากจะให้มองว่าแฟชั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตเราเหมือนเป็นปัจจัย 4 ที่ทำให้เราใช้ชีวิตได้สนุกขึ้น คุณอาจจะชอบสไตล์ที่เป็นสตรีทหรือว่าแบบไหนก็ตาม ไม่ต้องไปเครียดไม่ต้องไปพะวงว่าตัวเองจะแต่งกายผิดหรือแตกต่างจากคนอื่นมั้ย จนทำให้ขาดความมั่นใจ ก็รู้สึกว่าชีวิตกับแฟชั่นมันเกี่ยวโยงกันในเวย์ประมาณนี้ครับ

แล้วคิดว่า ‘ความชอบ’ กับ ‘ความสวยงาม’ อะไรสำคัญกว่ากัน

แอดเป้ : ความชอบสำคัญกว่าครับ เพราะความชอบมันบ่งบอกถึงอินเนอร์ของเราอะ สิ่งที่สวยอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบก็ได้ ผมก็จะให้น้ำหนักกับความชอบมากกว่า เราเข้าใจคนที่แต่งตัวไม่เหมือนเรานะ ถ้าเราไม่ได้ชอบแบบนั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะ แค่เราชอบอีกแบบหนึ่ง

ทั้งคู่เอาแนวคิดหรือหลักการของในการแต่งตัวแบบ Classic Menswear มาปรับใช้กับชีวิตอย่างไรบ้างมั้ย

แอดเป้ : การแต่งตัวสไตล์นี้มันเกิดมาจากการที่เราเป็นคนประมาณนี้อยู่แล้ว ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจุกจิกในดีเทล ถ้าชอบอะไรก็ค่อนข้างที่จะจุกจิกมันค่อนข้างเยอะ แล้วด้วยความที่เบสิคของ Classic Mmenswear มันคือความจริง เราเป็นคนที่ชอบอะไรที่มันจริงที่ไม่ต้องปรุงแต่ง เราสามารถตัดสินใจ Base On Fact ได้โดยที่ไม่ต้องสร้างสตอรี่มาครอบเพื่อให้แฟคมันดูดีขึ้น ผมว่ามันคือการเคารพกันและกันด้วยนะ ในการเอาแฟคมาคุยกันโดยที่ไม่ใช่เอาเรื่องราวสตอรี่ที่อาจจะไม่จริงมาคุยกัน มันมีเสน่ห์กับตัวตนของเราแหละ มันทำให้เรากลับมามองที่ตัวเองมากขึ้น มาโฟกัสที่ตัวเองมากขึ้นว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นคนยังไง เราชอบอะไร บางคนอาจจะไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าไหล่ซ้ายกับไหล่ขวาไม่เท่ากัน จนกระทั่งมาเจอช่างตัดสูทวัดตัวให้ มันจึงมีคำที่ว่า “ช่างตัดสูทรู้จักสัดส่วนของเราดีกว่าแฟนเสียอีก”

ลุงแมค : ผมมองว่ามันทำให้เราเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องของคุณภาพแต่ละอย่างที่เราจะซื้อ  เห็นคุณค่าจากสิ่งที่เราจะจ่ายเงินมากกว่าเดิม เพราะของที่เราซื้อมันก็ราคาไม่ได้จะถูกนะ ไม่ว่าจะเป็นของวินเทจหรือ Classic Menswear ที่มีการตัดเย็บ ทำให้เราเป็นคนศึกษาค้นหาข้อมูลมากขึ้น ใส่ใจในคุณภาพในสิ่งที่เราเลือกไปว่าจะต้องใส่คุ้มค่ากับมันจริง ๆ เรื่องของ Cost Per Wear ของที่ผมซื้อมามันต้องใช้ได้จริง ไม่เอาไปทิ้งนอนเป็นฝุ่นอยู่ในตู้ ทำให้รู้ค่าของชิ้นนั้นมากขึ้น


ก่อนที่จะจบบทสนทนาของพวกเราในร้าน The Primary Haus ซึ่งดวงอาทิตย์ได้ตกลงไปเรียบร้อยแล้ว โคมไฟในร้านที่แสงกระจายไปกระทบกับสูทต่าง ๆ ดูจะยิ่งทำให้สวยงามขึ้นไปอีก บรรยากาศชวนให้คุยถึงอนาคตอยู่ไม่น้อย และเราอยากรู้ว่าในวันที่พวกเขากลายเป็นลุงแมคกับแอดลุงเป้ขึ้นมาจริง ๆ ในสักวันหนึ่ง แฟชั่นของทั้งคู่จะไปทาง Classic Menswear อยู่มั้ย 

ลุงแมค : ผมขอเล่านิดนึงเกี่ยวกับชื่อ ‘ลุงแมค’ จริงๆ เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้ใช้ชื่อนี้ครับ แต่จะใช้ชื่อจริงผมคือ ‘แมค ธนกร’ (ในคลิปแรก ๆ ลุงจะแนะนำตัวแบบนี้) แต่ตอนหลังเปลี่ยนเป็นลุงแมคเพราะอยากให้คนจำง่าย มันเป็นชื่อที่ภรรยาของผมเป็นคนตั้งให้ เขาเรียกผมว่าลุง เขาก็เสนอไอเดียว่าเธอก็ใช้ชื่อนี้ไปเลยสิ เวลาขายของหรือตอนทำคลิป ก็เลยเปลี่ยนเป็นลุงแมคมาถึงตอนนี้ เวลาไปทำงานแล้วแต่งตัวสไตล์ Classic Menswear เจอคนทักทำไมแต่งตัวแก่จัง แต่งตัวเหมือนลุงเลย ผมไม่ถือว่าเป็นคำด่านะ มันเป็นคำชมนะ บางคนอาจจะบอกดูเจ็บจังเลยเหมือนลุง แต่ผมก็อยากจะให้เรียกอย่างงี้อะครับ เพราะพ่อผมแต่งแบบนี้มาอะ กลายเป็นโค้ดเนมลุงแมคไปเลย 

ผมก็ยังตอบไม่ได้นะว่าอนาคตจะเป็นยังไง เกิดไปเจอสไตล์อื่นที่มันเจ๋งแล้วชื่นชอบ เราก็อาจจะเปลี่ยนก็ได้ แต่คิดว่ายังไงก็เบสออนสไตล์นี้อีกสักพักนึงเลย เพราะว่ามันเป็นการแต่งกายที่เป็น Timeless Outfit มีความไม่ตกยุคตกสมัย ไม่ตกเทรนด์ เราไม่ต้องไปวิ่งตามว่าอีก 6 เดือนมันจะเปลี่ยนคอลเลคชั่นใหม่ละ ผมก็สามารถใส่ชุดเนี้ยได้จนถึงอายุ 60-70 เลย ถ้าเกิดผมน้ำหนักไม่ได้ขึ้นนะครับ

แอดเป้ : ผมว่าตอนผมแก่ผมจะกลับบ้านต่างจังหวัดแล้วก็ไม่ใส่เสื้อ ผมเป็นคนไม่ชอบใส่เสื้อ กับใส่กางเกงขาสั้นนั่งอยู่หน้าบ้าน ผมชอบมากเลยนะ คือเข้าใจเลยว่าทำไมคุณลุงแถวบ้านผมเขาชอบทำอย่างนั้น เพราะมันสบ๊ายสบาย ตอนแก่ก็คงแต่งตัวอย่างนั้นแหละครับ ไม่ใส่เสื้อ ใส่กางเกงขาสั้นแล้วก็รองเท้าแตะนั่งหน้าบ้านมีความสุข อาจจะเป็นภาพจำที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กด้วยมั้ง เห็นคุณลุง คุณป้า คุณน้า ชอบนั่งอยู่หน้าบ้าน ไม่ใส่เสื้อ ตอนแรกไม่เข้าใจ ทำไมไม่ใส่เสื้อกันอะ ตอนนี้เริ่มอายุมาก เริ่มมีพุงบ้าง เออสบายจัง (หัวเราะ)

ลุงแมค: เป็นอาแปะเท่เลยนะเว้ย 

แอดเป้ : ผมชอบนะ


ติดตาม Signore Closet 

Youtube / Website / Facebook / IG

Photographer : Krittapas Suttikittibut

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line