FASHION

SNEAKER STORY : NIKE CORTEZ มากกว่าแค่เรื่องรองเท้า แต่มันเป็น POP CULTURE แห่งวงการแฟชั่น

By: Thada August 6, 2018

หากพูดถึงโมเดลรองเท้าสักคู่ที่ได้รับอิทธิพล และติดภาพมาจากภาพยนตร์ จนกลายมาเป็นสนีกเกอร์ในฝัน ที่เหล่านักสะสมล้วนถวิลหาอยากจะได้มาไว้เป็นคอลเลคชั่นส่วนตัว หนึ่งในนั้นต้องมี Nike Cortez จากภาพยนตร์ Forrest Gump อย่างแน่นอน

ปรากฎการณ์ความดังของภาพยนตร์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผล แค่เพียงในจอเงินเท่านั้น ทว่ายังได้สร้างอิมแพคต่ออุตสาหกรรมแฟชั่นอีกด้วย เพราะรองเท้าที่ได้ปรากฎตัวบนแผ่นฟิล์ม พร้อมฉากชายผู้ไม่สมประกอบออกวิ่งด้วยรองเท้า Nike Cortez  ไปทั่วสหรัฐอเมริกา กับวลีอมตะ “Run Forrest Run” ได้กลายเป็นฉากคลาสสิคตลอดกาลต่อวงการภาพยนตร์โลก

Image via office.co.uk

นอกเหนือจากนี้ ด้วยคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นบวกกับความสวยงามของตัวรองเท้า Nike Cortez ทำให้มันกลายเป็นรองเท้าสามัญประจำตู้ถูกเก็บขึ้นหิ้ง แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปก็ยังอยากที่จะมีไว้สวมใส่ครอบครอง วันนี้ UNLOCKMEN จะขอนำเรื่องราวของรองเท้าในตำนานคู่ดังกล่าวที่ได้กลับมาวางขายอีกครั้งในบ้านเรามาเล่าสู่กันฟัง

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าแต่เดิม รองเท้า Nike Cortez  มีพี่ชายฝาแฝดที่เรียกได้ว่าแทบจะโคลนนิ่งกันมาอย่าง Onitsuka Corsair ซึ่งเหตุผลที่มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะ ก่อนที่นาย Bill Bowerman จะได้จัดตั้งบริษัท Nike ขึ้นเองนั้น เขายังคงรับหน้าที่เป็นโค้ชทีมวิ่งของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น โดย Bill ได้ทำงานร่วมกับบริษัท Onitsuka Tiger จากประเทศญี่ปุ่นในการผลิตรองเท้าช่วงกลางยุค 60s

Image via Kellomure

ก่อนที่ในเวลาต่อมา Bill Bowerman และ Phil Knight จะก่อตั้งบริษัทของตัวเองที่ชื่อว่า Blue Ribbon Sport เพื่อเป็นพันธมิตรกับบริษัท Onitsuka Tiger ในการผลิตรองเท้าวิ่งคุณภาพสูงร่วมกัน เนื่องด้วยความสามารถตลอดจนความหลงใหลในการสร้างสุดยอดรองเท้าสำหรับนักวิ่ง ช่วงกลางปี 1966 Bill ได้ติดสินใจผลิตรองเท้าที่ชื่อว่า TG-24 ซึ่งมันเปรียบเทียบได้เป็นรองเท้าต้นแบบของ Nike Cortez   โดยจุดเด่นของรองเท้าคู่นี้คือการอัดพื้นโฟมลงไปในส่วนของ Midsole เพื่อจะรับแรงกระแทกซัพพอร์ตให้ผู้สวมใส่วิ่งในลู่แข่งได้ดียิ่งขึ้น

และเพียงหนึ่งปีต่อมา Bill Bowerman ได้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อโมเดล TG-24 เป็น Mexico แทน เพื่อจะเป็นที่จดจำได้ง่าย และส่งผลดีต่อการทำตลาดอีกด้วย เหตุผลที่ Bill เลือกใช้ชื่อ Mexico ก็เพราะเขาต้องการให้สอดคล้องกับมหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนที่จะจัดขึ้นใน Mexico แต่ทว่าจนแล้วจนรอดทั้ง BRS ( Blue Ribbon Sport ) และ Onitsuka Tiger ต่างมีความเห็นตรงกันว่า พวกต้องการชื่อรุ่นรองเท้าที่ดูดึงดูดกว่านี้ จนกระทั่งเกือบไปลงเอยที่ชื่อ “Aztec” ทว่าชื่อดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับรองเท้ารุ่น Azteca Gold ของแบรนด์คู่แข่งอย่าง adidas จึงกลายเป็นเรื่องฟ้องร้องกันยกใหญ่

สุดท้าย Bill ได้ตัดสินใจเลือก “Cortez” ซึ่งมาจากชื่อของ Hernan Cortés นักล่าอาณานิคมชาวสเปน โดยเขาเป็นคนที่เข้ายึดอาณาจักร Aztec และก็มีเรื่องเล่ากันต่ออีกว่า เหตุที่ Bill ตั้งชื่อนี้ก็เพราะต้องการบลัฟ adidas นั้นเอง ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ตและเป็นมากกว่าเพียงรองเท้าวิ่ง ทำให้รองเท้ารุ่น Onitsuka Tiger Cortez  กลายเป็นรองเท้าขายดีอันดับ 1 ของทั้ง BRS และ Onitsuka Tiger ในช่วงหลายปีต่อจากนั้น และนำไปสู่ฉนวนจุดเริ่มต้นของการแตกแยกระหว่างสองบริษัท

ศึกระหว่าง Nike Vs Onitsuka Tiger

หลังจากร่วมหัวจมท้ายกันมาหลายปี Bill Bowerman และ Phil Knigh ก็คิดว่าถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องจะต้องแยกบริษัทออกมาทำรองเท้าเองเสียที ดังนั้นทั้งคู่จึงได้ก่อตั้ง Nike Inc. ขึ้นมาพร้อมกับสร้างไลน์รองเท้าตัวเองอย่าง Nike Cortez ขณะเดียวกัน Onitsuka Tiger ก็ยังคงผลิตรองเท้ารุ่น Cortez ทั้งคู่ต่างดำเนินการฟ้องร้องกันอยู่นานหลายปี กระทั้งในปี 1974 เมื่อศาลตัดสินให้ Nike ได้รับสิทธิ์ในชื่อนี้ เนื่องจากชื่อดังกล่าวได้อยู่บนภาพสเก็ตช์ต้นแบบของ Bill Bowerman ทำให้สุดท้าย Onitsuka Tiger ต้องมีการปรับดีเทลรองเท้าเล็กน้อย พร้อมกับเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Tiger Corsair” แทน นับเป็นชัยชนะเหนืออดีตพันธมิตรในทางกฎหมาย แต่นั้นก็ไม่ได้ลดจำนวนยอดขายของคู่แข่งลงได้เลย เนื่องจากยุคนั้น Onitsuka Tiger  ถือเป็นแบรนด์มหาอำนาจเหนือ Nike ที่ยังคงเป็นแบรนด์โนเนม

Tiger Corsair

Bill Bowerman ยังคงต้องการพัฒนารองเท้าโมเดลนี้ให้ดียิ่งขึ้น แม้รายได้ของ Cortez จะสูงถึง $800,000 เหรียญสหรัฐในปีแรกที่วางขาย แต่เขายังรู้สึกว่าต้องพยายามปรับปรุงมันให้ดียิ่งขึ้น จึงได้พยายามเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการผลิต ก่อนมาเลือกใช้วัสดุไนล่อน ทำให้เกิดเป็น Nylon Cortez ซึ่งทาง Nike ยืนยันในเวลานั้นเลยว่า นี่คือสุดยอดรองเท้าวิ่งน้ำหนักเบาที่สุดในโลก เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว รองเท้าเกือบถูกคู่ผลิตจากวัสดุหนังแท้เป็นที่นิยมใช้ในส่วน Upper

โดยจะว่าไปแล้ว Nike Cortez อาจจะไม่ได้โด่งดังมาจาก Forrest Gump ก็ได้ เพราะปี 1976 นักแสดงสาวมากความสามารถอย่าง Farah Fawcett ที่นำแสดงในซีรีย์สุดฮิตอย่าง Charlie Angels ได้สวมใส่รองเท้า Nike Cortez Seniorita  ซึ่งผลิตให้กับผู้หญิงโดยเฉพาะ ในฉากไถสเก็ตบอร์ดสุดเท่ จากตอน”Conenting Adults” และแน่นอนว่าหลังจากนั้น Nike Cortez ก็ได้รับความนิยมไปทุกเพศ ทุกวัยเสียแล้ว

Farah Fawcett ขณะสวมใส่ Nike Cortez Seniorita

หลังจากนั้น Nike Cortez ก็ได้สลับสับเปลี่ยนมาเป็น Pop Culture ที่ขาดไม่ได้เลย โดยเฉพาะโลกดนตรีที่มันเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งอย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็น Sir Elton John ร่วมมือกับ Nike สวมใส่รองเท้ารุ่น Cortez ในคอนเสิร์ตของเขาเอง หรือจะฝากของฮิปฮอป เพราะมันได้กลายเป็นรองเท้าคู่โปรดของแก๊ง West Coast ที่นำทัพด้วยแก๊ง NWA แลละคนที่ดูจะมีอิมแพคสุด ๆ กับรองเท้ารุ่นนี้คงจะหนีไม่พ้น Eazy-E ผู้ล่วงลับ

ตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษ Nike Cortez แทบจะเป็นรองเท้าที่ไม่เคยปรับเปลี่ยนดีไซน์ไปเลยแม้แต่น้อย อาจจะมีในเวอร์ชั่นแรก ๆ ที่วางขายในปี 1973 นั้น ตัวรองเท้าจะมีความแตกต่างอยู่บ้าง เช่นตัวรองเท้านั้นมีกันชนด้านหน้าที่สูงเป็นการ์ดขึ้นมา และ Pull-Tab ส้นเท้า ที่ต่างออกที่จะเป็นลิ้นห้อยออกมา แต่รวม ๆ แล้วกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ถือว่าคงดีไซน์การออกแบบได้อย่างดีเยี่ยม

Image via Sole Collector

Image Via Sneakers-Magazine

นับว่าเป็นความเจ๋งที่ UNLOCKMEN ได้นำมาบอกต่อในวันนี้ เพราะจะมีรองเท้าสักกี่คู่บนโลกที่แม้เวลาจะผ่านไปนานสักกี่ปีก็ยังคงได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการเสมอมา สำหรับหนุ่ม ๆ ที่อ่านบทความนี้เกิดสนใจถือเป็นข่าวดีอีกครั้ง เมื่อ Nike Thailand ได้รับรองเท้า Nike Cortez สีคลาสสิคอย่าง Varsity Red กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้ง หลังจากที่ Sold Out ไปเมื่อปีก่อน ที่สำคัญราคาไม่แรงอีกด้วยเพียง 3,100 บาท ใครที่อยากได้ก็รีบไปตามเก็บกันได้ทีร้านรองเท้าชั้นนำทั่วประเทศ ก่อนที่มันจะหมดเกลี้ยงอีกครั้ง ทีนี้จะหาซื้อคงเป็นเรื่องยากเสียแล้ว

Source , Source 2 

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line