Business

CONVERSATION WITH ‘สน จันทร์ศุภฤกษ์’ เจ้าของแบรนด์ SUITCUBE กับความสำเร็จที่ไม่มีทางลัด

By: Thada August 24, 2018

“เพราะความสำเร็จนั้นไม่มีทางลัด” ในยุคที่ทุกคนต้องการออกมาเป็นเจ้านายตัวเอง อยากเริ่มต้นสร้างธุรกิจและวิ่งหนีระบบองค์กรการทำงานประจำ เรามักถูก Life Coach หรือคำคมต่าง ๆ สอนให้เชื่อว่าสามารถประสบความสำเร็จได้ ทำให้เราได้เห็นธุรกิจ Start Up เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเด็กยุค Gen Z ที่มีฝันอันแรงกล้าต้องการจะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย ๆ เพราะพวกเราล้วนถูกสอนให้มีไอดอลอย่าง Mark Zuckerberg หรือ Steve Jobs ซึ่งการที่เด็กคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาบอกตัวเอง “ฉันต้องเป็นนักธุรกิจ” นั้นไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว เนื่องจากคุณมีสิทธิ์ที่รุ่งหรือร่วงก็ได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยความพร้อมด้านต่าง ๆ

ในวันนี้เราจะขอนำเรื่องราวของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง สน จันทร์ศุภฤกษ์ เจ้าของแบรนด์ชุดสูท SUITCUBE ผู้ที่ทำให้เรื่องสูทเป็นเรื่องง่ายและใกล้ตัวคนไทยมากยิ่งขึ้น โดยคุณ สน มีแนวคิดเรื่องการทำงานที่ค่อนข้างน่าสนใจ และเป็นคนที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความสำเร็จนั้นไม่มีทางลัด ต้องลงมือทำ จนออกดอกผลทำให้ SUITCUBE  ในปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 8 สาขาด้วยกันในระยะเวลาไม่ถึง 4 ปี ดังนั้น UNLOCKMEN จะขอมาถอดรหัสความสำเร็จของ คุณ สน จันทร์ศุภฤกษ์  เพื่อเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่มีไฟอยากจะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง

ก่อนอื่นเลยเราอาจจะมาทำความรู้จักกับ คุณ สน ก่อนว่ามีที่มา เริ่มต้นจับพลัดจับผลูอย่างไรถึงได้มาเริ่มต้นธุรกิจ SUITCUBE ได้

สน : ท้าวความก่อนว่าผมเรียนจบวิศวะ ภาคอุตสาหกรรมการจัดการโรงงาน ช่วงฝึกงานตอนปีสามฝึกงานที่บริษัทสยามมิชลินดูแลโรงงาน ตอนนั้นทำอยู่ประมาณสามสี่เดือน เราเป็นเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียนมาก ตอนนั้นพอเราได้เข้าไปทำเลยรู้ว่าจริง ๆ เราไม่ชอบอุตสาหกรรมรถยนต์เท่าไหร่

จนเราไปเจอเพื่อนที่ฝึกงานทำงานบริษัท P&G เรารู้สึกว่าคุณภาพชีวิตเขาดีกว่าเรา ก็เลยปรับตัวเอง ตั้งใจเรียนมากขึ้นเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ให้เข้า P&G ให้ได้ ตั้งมั่นมากเลยว่าจะไปสมัครที่ P&G และก็ได้เข้าไปทำงานที่นั้น

ในช่วงระยะเวลาสี่ปีมันก็มีความท้าทาย มีงานใหม่ ๆ ให้เข้ามาเสมอ แต่เราก็รู้สึกว่าเริ่มอิ่มตัวกับการทำสายที่เราเรียนมา เลยตัดสินใจลาออกไปเรียนต่ออเมริกา ซึ่งก็ยังไม่พ้นสายเดิม ยังไปเรียน Engineering Management ที่มหาลัย The George Washington พอเรากลับเมืองไทย ตอนนั้นก็ยังอยากจะไปต่อในสาย Professional Career ก็คือไปเข้าบริษัทพวก Consult แต่ตอนนั้นมันเป็นช่วงที่ธุรกิจประเภทนี้ไม่ค่อยดีนัก บริษัทก็มีแต่จะ Layoff คน เราเลยคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่เราจะมาหาอะไรทำเป็นของตัวเอง เป็นไฟต์บังคับเลยเพราะไม่มีงานทำ (ขำ)

เราก็เลยเปิดแบรนด์ชุดสูทขึ้นมา ในชื่อแบรนด์ SUITCUBE จุดเริ่มต้นก็คือตอนที่เราไปอยู่อเมริกาเราก็เห็นแล้วว่าจริง ๆ แล้วลูกค้าเขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปหน้าร้านเพื่อรับสินค้าหรือบริการ ที่อเมริกาเนี่ยก็จะมีเจ้าใหญ่ ๆ พวก Amazon ที่เป็นพวก Third party ส่งของมี Supplier ไปขายของ-ส่งของให้ลูกค้า แม้กระทั่งพวกแบรนด์ Nike, Abercrombie & Fitch, Zara, Ralph Lauren ก็ใช้วิธีเดียวกัน

 

แสดงว่าที่มาของ SUITCUBE ก็เริ่มตั้งแต่ตรงนี้

สน : ใช่ครับ เราก็เลยคิดว่าน่าจะทำแบบนี้กับเมืองไทยได้ ช่วงประมาณปี 2014 ผมเลยเปิดแบรนด์ชุดสูทขึ้นมาชื่อ SUITCUBE มาจากคำว่า Suit ก็คือตรงตัวว่าแปลว่าชุดสูท ส่วน Cube ก็แปลว่ากล่อง เราต้องการส่งกล่องนี้ไปให้กับลูกค้า ลูกค้าสั่งออนไลน์มา เราส่งไปปุ๊บเขาเปิดกล่องมา เฮ้ย! เขาหล่อเลย ตอนนั้นเราคิดให้มัน Simple มาก คิดว่าเฮ้ยโมเดลนี้มันต้องขายได้แน่เลย เพราะว่าเราก็ทำ Website ที่เป็น E-Commerce นะ ลูกค้าเข้ามาเราก็ให้ Consult กับเขาว่าควรแต่งตัวแบบไหน และสามารถ Return เปลี่ยนสินค้าได้ถ้าเขาไม่ชอบเนี่ยมันก็น่าจะโอเคแล้ว

ณ ตอนนั้น เราก็เลยลองรันมาประมาณหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนนั้นไม่มี Order เลย คือ ศูนย์ เราก็เลยคิดว่ามันมาผิดทางแล้ว ถ้าเกิดว่าเรายังทำแบบนี้ต่อไปเราก็คงจะเจ๊งแน่นอน ก็เลยเริ่มเปิดสาขาแรก ลูกค้าโทรมาถามว่าเรามีหน้าร้านมั้ย เราบอกไม่มีเขาก็วางสายไปเลย เราก็เริ่มจับทางได้แล้ว ต้องบอกว่าผมมีหน้าร้านครับ แต่ตอนนั้นจริง ๆ คือไม่มีหน้าร้าน เราก็เลยใช้ตึกที่เรามีมาทำง่าย ๆ เลย เอาราวแขวนเสื้อมาสองราวมาแขวนชุดสูทที่เราทำไซส์ไว้หลาย ๆ แบบ

มันคือช่วงลองผิดลองถูกในช่วงแรก เพราะถ้าตลาดเมืองไทยยังไม่ได้รับการทำแบบ Fully E-Commerce ขนาดนั้นเราควรจะมีหน้าร้านเพื่อ Support ลูกค้าน่าจะดีกว่า เราก็เลยทำสาขาแรก คือสาขาพระรามสาม แต่ตอนนั้นเป็นทาวน์เฮาส์ธรรมดาเลย

 

 คุณ สน เรียนวิศวะมา แล้วหันมาสู่ธุรกิจแฟชั่นได้อย่างไร

สน : จริง ๆ แล้วการทำ Business เนี่ยมันก็เป็นศาสตร์และศิลป์ โดยส่วนใหญ่ผมมองว่าคนที่จะประสบความสำเร็จได้ ส่วนหนึ่งก็คือได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ซึ่งผมก็เป็นคนชอบการแต่งตัวระดับหนึ่ง อาจจะเรียกว่าเนี๊ยบเกิน Standard

ตอนนั้นเรามามองว่าธุรกิจไหนที่เราน่าจะมาจับบ้าง ช่วงที่ไม่มีงานทำเราก็ลองหลายอย่างเลย งานพิมพ์ อสังหา ซื้อขายคอนโด มีจุดหนึ่งที่เรามาดูเรื่องชุดสูท แต่ก่อนหน้านั้นมันมีเรื่องที่ฝังใจอยู่คือเราเคยไปใช้บริการสูทร้านอื่น ร้านที่แบบเป็นชาวต่างชาติขาย เราเข้าไปด้วยคำที่เขา PR ว่า เฮ้ย! ชุดสูทราคาสี่พันบาทนะได้เสื้อกางเกงเชิ้ต เสื้อหนึ่ง กางเกงสอง เสื้อหนึ่งกางเกงหนึ่ง เชิ้ตสามอะไรแบบนี้

แล้ววันที่เราเข้าไปใช้บริการจริง ๆ เนี่ยเราก็แบบว่าเฮ้ย คุณหลอกดาวนี่ (ขำ) มันไม่ใช่อะ พอเราเข้าไปปุ๊บเขาก็บอกว่าเนี่ย ผ้าเนี่ยไม่ดีหรอกอย่าไปตัดเลยคุณไปตัดผ้าที่เทพกว่านี้ดีกว่า เราเข้าไปร้านด้วยการกำเงินไปสี่พันบาทแต่เราออกจากร้านเราเสียเงินไปหมื่นกว่าบาท เราก็ไม่ได้คิดอะไรมากนะ

พอกลับไปบ้านคุณแม่ถามว่าเสียไปเท่าไหร่เราก็ตอบไปหมื่นกว่าบาทตามประสาเด็กมหาลัย ที่บ้านก็ทำธุรกิจ Garment อยู่แล้วแต่เป็นเสื้อผ้าผู้หญิง เขาก็บอกว่า Cutting แบบนี้ราคาหมื่นกว่าบาทโคตรแพงเลย อันนี้คือเราก็รู้ว่าเราโดนหลอกนี่หว่า เสียความรู้สึก จนเป็นที่มาว่าถ้าอย่างนั้นเราก็ทำธุรกิจสูทก็ได้นี่ ผมลองมาศึกษาเรื่องชุดสูทอย่างจริงจัง จากการที่เป็นแค่คนใส่เนี่ยมาเป็นคนผลิตดู นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นแรกบวกกับไอเดียเรื่องการส่งของถึงที่ก็เลยมาเป็น SUITCUBE

 

สิ่งสำคัญสำหรับ Start Up กับเทรนด์ของเด็กที่เพิ่งเรียนจบแล้วอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง

สน : จริง ๆ แล้วในวันนี้ สื่อบอกว่า ให้เป็นนายตัวเองดีกว่า อย่าไปเป็นลูกจ้างเขา แต่อย่างตัวเรา เราเกิดในยุคที่มันไม่มีความคิดนั้นอยู่ มันโชคดีส่วนหนึ่งตรงที่ว่า เราถูกบังคับให้ทำงานหนักมากกว่าคนอื่นอยู่แล้วตั้งแต่ตอนเรียนเอย ตั้งแต่ตอนทำงานเอย เรารู้ว่าส่วนหนึ่งของคน Generation ผมมีก็คือ ‘วินัย’ เราก็แค่ตื่นเช้ากว่าคนอื่น นอนดึกกว่าคนอื่น แค่นี้เราก็มีเวลาทำงานมากกว่าคนอื่นแล้ว

ส่วนจะ Success หรือไม่ มันก็อยู่ที่การโดนหล่อหลอม ผมเชื่อว่าวันนี้คนที่เรียนจบมาจากรั้วมหาวิทยาลัย โอกาส Success ต้องบอกว่ามีอยู่ 5% แต่ว่าคนที่เคยทำงานอื่นมาก่อน เคยเป็นลูกน้องเขามาก่อน คนที่เคยรับเรื่องราวโดนกดดันมาก่อน โอกาสที่จะประสบความสำเร็จจาก 5% มันก็อาจจะเป็น 10% ก็ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็เอาแนวคิดประมาณนี้มาสอนน้อง ๆ ที่บริษัท เรารู้ว่าเด็กเขาไม่อยากอยู่กับเราหรอก เราก็เล่าให้เขาฟังว่าเราเคยจบมาแบบนี้นะ คุณมาทำงานกับเราเนี่ย เราก็เชื่อว่าคุณจะเก่งขึ้น เพราะฉะนั้นมันก็เป็น Win-Win อยู่แล้ว เราพยายามจะโคลนนิ่งตัวเราให้ไปอยู่ในร้านทุกสาขา ซึ่ง ณ ตอนนี้เราก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง

 

อะไรคือความยากของการทำธุรกิจที่มีหลายสาขาพร้อมกัน

สน : ความลำบากของธุรกิจแบบนี้คือมัน Scale Up ลำบาก ถ้าวันนี้เราขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่เป็นไซส์เนี่ย เราก็ส่งไปตามห้างให้พนักงานยืนขาย แต่ว่าเสน่ห์ของการเข้ามาร้านสูทคือการจับต้อง พูดคุย ปรึกษาไอเดีย ซึ่งส่วนใหญ่คำแนะนำดีจะมาจากเจ้าของร้าน แน่นอนว่าเราวิ่งไปพร้อมกันทุกสาขาไม่ได้ และจะนัดลูกค้าทีละมาก ๆ ก็ไม่ได้เช่นกัน

วันนี้เราพยายามที่จะเทรนนิ่งพนักงานให้มีความรู้ทัดเทียมกับเรา เรามี Training Plan ที่เข้มข้น อาจเพราะเราเป็นวิศวกรมาก่อน ก็จะรู้ว่าคนเรามันสร้างกันได้ สิ่งที่มันเปลี่ยนไม่ได้อย่างเดียวคือ ‘ทัศนคติ คือ Attitude’ วันแรกที่คุยกับพนักงานเราไม่ได้ถามเค้าว่า คุณวัดตัวเป็นหรือเปล่า เคยขายของแฟชั่นมามั้ย คุณเคยเป็นอะไรมาก่อน เราแทบจะไม่สนใจเลย

เรามองแค่ว่าวันนี้คุณมีทัศนคติพอที่จะเรียนรู้หรือเปล่า เพราะตัวเราเองเราไม่ได้จบตัดเย็บมาด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นถ้าผมทำได้ ผมคิดว่าคุณก็ทำได้ ขอแค่ตั้งใจที่จะเรียน จดจำ สังเกต และอยากก้าวหน้า เราคิดว่าถ้าเราสอนแบบนี้เด็กก็จะแฮปปี้

ผมว่า Genaration ของลูกน้องผมปัจจุบันนี้อายุไม่ถึงสามสิบทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องความรู้ เงินทอง สวัสดิการเนี่ยมันเป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเขาทำงานที่เขาไม่ชอบ เขาก็ไม่อยากอยู่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมย้ำเสมอก็คือต้องการสร้างคน แบรนด์เราที่โตมาได้ขนาดนี้ก็เป็นเพราะคน เป็นเพราะว่าคนที่ช่วยดูแลหน้าร้านของเรา คนที่ช่วยปกป้องคอมเพลนจากลูกค้า คนที่คอยอธิบายลูกค้าว่าสินค้าตัวนี้เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับลูกค้าอย่างไร

 

คุณ สน มี Role Model ในการทำธุรกิจบ้างมั้ย

สน : ผมมีต้นแบบที่ Extreme มาก ๆ เลย นั่นก็คือ Zappos

Zappos เนี่ยเขาเขียนหนังสือชื่อว่า Delivering Happiness ก็คือการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้า ตอนที่เขาทำแบรนด์มาได้สักระยะหนึ่งเนี่ยเขาก็ถูก Amazon ซื้อไป

เขามีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่ว่า จริง ๆ แล้วลูกค้าเขาไม่ต้องการอะไรเลย เค้าต้องการแค่ความสบายใจในการซื้อ เขาต้องการแค่คนที่คอยแนะนำของให้เขาได้ เค้าก็เลยทำ Call Center ที่สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ทุกอย่างเลย ไม่ว่าลูกค้าจะโทรไปเรื่องอะไรก็ตามเขาก็สามารถตอบได้หมด เคยมี Case Study ว่ามีคนโทรไปถามว่า พิซซ่าในเมืองเนี่ย ร้านไหนอร่อย ซึ่งเขาก็ตอบให้

ตอนผมอยู่ที่อเมริกา ผมก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาและคิดว่ามันน่าสนใจ เราก็โทรไปที่ Call Center ของ Zappos และก็บอกว่าผมอยากได้หนังสือของคุณเล่มหนึ่ง เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเขาส่งไปให้ที่บ้านไม่คิดเงินด้วย เราก็รู้สึกว่า Role Model นี้แม่งเจ๋งว่ะ ถ้าเรามี Mind Set ของผู้ประกอบการแบบนี้ ลูกค้าต้องประทับใจแน่นอน

 

การไปเรียนต่อต่างประเทศมีส่วนช่วยเกี่ยวกับทัศนคติที่เปลี่ยนไปจากเดิมบ้างไหม

สน : ตามสัตย์จริงเลยนะครับ ก็คือช่วยแหละ แต่ถามว่าต้องไปเรียนต่อหรือเปล่า ผมว่ามันก็ไม่จำเป็นขนาดนั้น คือในแต่ละประเทศเนี่ยมันก็มี Culture ที่ต่างกัน เช่นคนไต้หวันก็แบบหนึ่ง คนญี่ปุ่นก็จะขยันทำงานมาก คนอินเดียก็จะอีกแบบหนึ่ง

ในสมัยที่ทำงานบริษัทเนี่ย ผมอยู่ในตำแหน่ง Regional Manager ผมจำเป็นจะต้องคุยกับคนทุกชาติที่อยู่ในภูมิภาคอยู่แล้ว ทั้งคนอินเดีย คนอเมริกา คนญี่ปุ่น คนยุโรป เราเลยรู้ว่าแต่ละประเทศเนี่ย Culture มันไม่เหมือนกันเลย ดังนั้นมันไม่จำเป็นต้องไปเรียนต่อเมืองนอกถึงจะเปิดมุมมองเหล่านี้ได้

 

ดูเหมือน SUITCUBE ให้ความสำคัญกับ Online Marketing

สน : เราให้ความสำคัญมากนะ “เราไม่อยากบอกลูกค้าว่าเฮ้ย ! ผมขายชุดสูทนะ คุณมาซื้อชุดสูทกับผมสิ” แต่วันนี้เราอยากจะสร้างประสบการณ์ของลูกค้าให้มันดี เรามี Core Value ของแบรนด์ เราอยากให้ลูกค้ารู้สึกได้รับชัยชนะในสี่ส่วน เราเรียกว่าเป็น Moment of Truth เป็นช่วงเวลาแห่งความจริง เราพูดกันเล่น ๆ ในบริษัทว่ามันคือช่วงเวลาแห่งความจริงที่ลูกค้าจะได้รับจากเรานะ ช่วงเวลาที่ลูกค้าเดินเข้ามาเนี่ย เขาต้องแฮปปี้ที่จะเห็นเราก่อน มันคือ First Moment of Truth พอเขาเห็นสินค้าเราแล้วเขาชอบ หลังจากที่ได้รับบริการแล้ว เขาใส่สินค้าเราไปที่งานเขาต้องได้รับ Second Moment of Truth คือใส่ไปแล้วมันดีจริงว่ะ ไม่ใช่ว่าคุณใส่เพราะโดนพนักงานเชียร์ขายแล้วหลงซื้อไป แล้วรู้สึกว่ากูไม่น่าซื้อมาเลยว่ะ เหมือนที่ผมเคยเจอ

มันจะมี moment มากกว่านั้นที่เรียกว่า Zero Moment of Truth กับ Micro Moment of Truth คือเราอยากให้ลูกค้านึกถึงเราตลอดเวลา การที่จะทำได้เราต้องมีส่วนร่วมในกิจวัตรของเขา เช่น เมื่อเดือนที่แล้วเราออกแคมเปญฟุตบอลโลก ใครทายถูกว่าทีมไหนชนะเราจะมีของรางวัลให้ลูกค้า หรืออย่างวันนี้เรามีสาขาใหม่ สาขาใหม่ที่เราจะไปตั้งอยู่ที่ไหน ถ้าคุณทายถูกเรามีของรางวัลให้ สิ่งที่เราให้คือของรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สิ่งที่ได้คือเรารู้ว่าฐานลูกค้าอยู่ที่ไหน

เราไม่ใช่มหาเศรษฐีพันล้านที่จะขึ้นสามสิบสาขาพร้อมกันได้ เราเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามา เรามีเงินจำกัด เราก็อยากจะเลือกลงทุนในที่ที่มันเหมาะสม ในเมื่อเราไม่มีเงินไปลงบิลบอร์ดราคาแพง ๆ แบบแบรนด์เจ้าตลาด หรือลง TV Commercial ที่มันราคาสูงมากเนี่ย งั้นเราสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยวิธีง่าย ๆ แล้วกันคือ Online

 

ยังมีธุรกิจอื่นนอกจาก SUITCUBE หรือไม่

สน : ผมมีรับงานพิมพ์เล็ก ๆ ที่ทำพาร์ทเนอร์กับเพื่อน งานพิมพ์ภาพหน้างานแต่งเป็นของขวัญ เพราะสมัยก่อนตอนผมไปเรียนที่อเมริกาผมไม่ได้ขอเงินพ่อแม่ไป เราเลยคิดว่าช่วงเบรกเราอยากไปเที่ยวจะทำยังไงดี เลยรับจ้างถ่ายรูป เราก็ไปถ่ายรูป งานอีเว้นต์ งานแต่ง เเละเก็บเงินไปเที่ยว ในสมัยก่อนเราก็ต้องมีปรินท์รูปให้ลูกค้า คุณภาพดีมากเลยที่อเมริกา แต่พอมาที่ไทยปุ๊บคุณภาพมันก็จ๋อย ๆ หน่อย เราก็เลยคุยกับเพื่อนที่ทำโรงพิมพ์ว่าเราขอเป็นพาร์ทเนอร์กันนะ ส่วนอื่น ๆ ผมเป็นคนที่ทำนู่นทำนี่ตลอด มีโปรเจคอยู่เรื่อย ๆ บางอันก็ดีบ้าง บางอันก็เจ๊งเป็นเรื่องธรรมดา

 

รู้สึกพอใจกับธุรกิจ SUITCUBE ในตอนนี้แล้วหรือยัง

สน : พอใจครับ ถามว่าวันนี้เรายิ่งใหญ่ขนาดเดินไปถามร้อยคน รู้จักเราร้อยคนมั้ยมันก็ยัง แต่ถ้าถามว่าเราแฮปปี้มั้ย เราแฮปปี้ที่เราเห็นลูกค้ามีความสุข เราแฮปปี้ที่เห็นพนักงานเรามีความสุข วันนี้ผมปั้นคนขึ้นมาได้ดี เพราะเวลาไป Review Performance ของเขาทุกหกเดือน ทุกสิบสองเดือน เรารู้เลยว่าเขาแฮปปี้ที่ทำงานกับเรา เราคุยกับเขาว่าคุณมาทำงานกับเราคุณต้องเก่งขึ้น ถ้าไม่เก่งขึ้นก็มีอยู่สองแบบเลย หนึ่งคือ พี่อะห่วยพี่ไม่สามารถ Coaching ให้คุณเก่งได้ สองคือคุณน่ะห่วย เพราะฉะนั้นพนักงานเราจะมีแรงกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาให้พัฒนาตัวเอง

 

ดูเหมือน คุณ สน จะให้ความสำคัญกับการสร้างคน แต่ท้อมั้ยเวลาปั้นพนักงานให้เก่ง สุดท้ายเขาก็ลาออกไป

สน : มันเป็นวัฏจักรอยู่แล้ว วันนี้เราห้ามให้ใครออกไม่ได้หรอก เราคุยกับเขาชัดเจนเลยว่า ถ้าเจอสิ่งที่ดีกว่าเขาก็ต้องไป ตอนนี้มีแต่ธุรกิจโบราณเท่านั้นแหละที่บอกว่าคุณมาทำงานเช้าจรดเย็น แล้วอยู่ไปอีกสามสิบปีเลยนะ

คือถ้าเราแฟร์กับเขาเราก็ต้องอยากให้เขาเจอสิ่งดีที่สุด เราคุยกับคนของเราทุกตำแหน่งไม่ใช่แค่หน้าร้าน ไม่ใช่แค่การตลาด รวมถึงช่าง รวมถึง Operation เราด้วยว่า ถ้ามี Offer ที่ดีกว่าคุณไปได้เลย หน้าที่ของเราคือเราทำให้เราเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด  เหมือนกับที่เราทำกับลูกค้า หน้าที่วันนี้คือเราทำตัวเองให้ดีที่สุด

 

นอกจากมุมประสบความสำเร็จ มันต้องมีช่วงเวลาท้อ เจอปัญหาหนัก ๆ เราผ่านมันมาได้ยังไง

สน : ท้อมั้ย? ไม่ท้อ เราเจอปัญหาหนักอยู่เรื่อยเป็นปกติ เช่น ปัญหา Operation บริษัทเราเป็นมือใหม่มาก ตอนเราขยายสาขาบางทีเราคุมลูกน้องบางคนไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นจุดบกพร่องของเราที่ขาดการ Coaching หรือบางทีเราบริการลูกค้าแบบนี้ แต่เขาคาดหวังอีกแบบหนึ่ง มันก็เกิดช่องว่างตรงนี้ได้อยู่เรื่อยๆ

ผมเชื่อว่าคนที่ทำธุรกิจอยู่มันก็ต้องเจอปัญหา อยู่ที่ว่าวันนี้คุณจะท้อมั้ย ถ้าคุณท้อคุณก็เจ๊ง เพราะอย่างนั้นคุณท้อไม่ได้หรอก คุณต้องคิดว่าจะแก้ไขอย่างไรให้ Fast และ Effective ที่สุดมากกว่า

 

ถ้ามีเด็กจบใหม่อยากทำร้าน Suit ให้สำเร็จแบบคุณสน จะแนะนำอย่างไร

สน : ผมจะแนะนำว่า “ไปหางานทำก่อน” เพราะมันมีความน่าปวดหัว มันมีด้านมืดของการทำธุรกิจอยู่เยอะ เช่น วันนี้จะบริหารการเงินอย่างไร วันนี้คุณจะสอนลูกน้องอย่างไร วันน้ีคุณจะบริหารจัดการลูกค้าและหน้าร้านอย่างไร จะทำเรื่องขนส่งอย่างไร วันนี้จะทำเรื่อง Communication อย่างไร

ในรูปแบบของแบรนด์หรือบริษัท เขามี Protocal ในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้อยู่แล้ว ในขณะที่ถ้าวันนี้คุณเป็นเด็กจบใหม่มาเลยเนี่ย ต่อให้เรียนได้ A+ ทุกตัว  ผมคิดว่าโอกาสที่มันจะ Fail เพราะเจอของจริงเนี่ยมีค่อนข้างสูง เลยแนะนำแบบนี้เลยว่า ไปทำงานเถอะ แล้วค่อยออกมาลุยงานของตัวเองก็ยังทัน

 

สุดท้ายมีอะไรที่ คุณ สน อยากปลดล็อกตัวเองนอกเหนือจากนี้บ้างไหม

สน : เราเชื่อว่าเรายังทำได้ดีกว่านี้อีกในหลายมุม ทั้งในเรื่องจำนวนสาขาที่ยังไม่ครอบคลุม เช่นถ้าลูกค้าอยู่ต่างจังหวัด เรามีช่องทางออนไลน์แล้ว ก็จริง แต่มันยังให้ประสบการณ์ที่ควรจะเป็นได้ไม่ครบ เพราะมันไม่ได้มาคุยแบบ in person แบบนี้ ลูกค้าอยู่ต่างจังหวัดได้รับบริการกับเรายากมาก จึงมอบประสบการณ์ที่ดีแบบที่เราอยากจะให้ลูกค้าไม่ได้ ปลดล็อคแรกเราอยากจะขยายไปในจุดที่มีคน Welcome เรา

ปลดล็อกที่สองคือ เรายังคิดว่าเรื่องของบุคลากรเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ถ้าถามว่าวันนี้เขาเก่งมั้ย ต้องบอกว่าเขาเก่ง Above Average ของตลาดไปไกลมากเลย แต่วันนี้เราอยากให้เขาเหมือนเรา เราอยากให้เขาเป็นร่างโคลนนิ่งของเราแล้วก็เก่ง ไม่ต้องอยู่กับเราตลอดชีวิตก็ได้ แต่อยากให้เขารู้สึกว่าเขาโคตรเก่ง วันหนึ่งอาจจะพร้อมที่จะออกไปทำธุรกิจของตัวเอง เราอยากสร้าง Mindset แบบนี้ให้กับสังคม

วันนี้เราทำได้แค่สอนคนที่อยู่ในองค์กรของเรา แต่ถ้ามีโอกาสเราก็อยากแชร์ประสบการณ์แบบนี้ให้กับคนอื่น ๆ ด้วย ในรูปแบบบทสัมภาษณ์แบบนี้ก็ตาม หรือการบรรยายในที่ต่าง ๆ ก็ได้หมด

 

เราเห็นด้วยกับคุณสน และคิดเหมือนกันทุกอย่าง ทั้งในเรื่องการหาประสบการณ์ เรื่องการจะประสบความสำเร็จไม่มีทางลัดอยู่จริง การพยายามปั้นพนักงานให้เก่งกาจกว่าใครเพื่อโอกาสที่เหนือกว่าในอนคต ทุกคนต้องลงมือทำหากอยากจะก้าวไปอยู่ในจุดที่ตัวเองต้องการ และต้องไม่หยุดที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาตัวเองให้พร้อมต่อโอกาสที่อาจจะเข้ามาได้เสมอ ใครสนใจอยากจะลองตัดสูทกับมือโปร ก็ลองเข้าไปเยี่ยมชมกันได้ทั้ง 8 สาขา

1. สาขาสยามสแควร์วัน ชั้น 3

2. สาขาเทอร์มินอล 21 ชั้น 2

3. สาขาเดอะพรอมานาด รามอินทรา

4. สาขาพระราม 3 (Signature Store)

5. สาขาซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์

6. สาขาเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่

7. สาขาลาดพร้าว อาคาร Move Amaze

8. สาขาฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต

หรือจะเข้าไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Website : www.suitcube.com/product-category/suit/

Facebook Page: SUITCUBE  

INSTRAGRAM : suitcubebrand และเบอร์โทร 087-504-3333

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line