FASHION

STYLE GUIDE : มาเลือกเสื้อกันฝนแบบถูกวิธี เสริมฟังก์ชั่นหล่อลุยฝ่าหน้าฝน

By: Thada July 17, 2019

พอเข้าสู่ช่วงหน้าฝนทีไร เป็นเรื่องน่าหงุดหงิดใจอย่างมากที่ต้องมานั่งคอยระวังไม่ให้เสื้อผ้ารองเท้าต้องเปียก โดยที่เราเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะตกลงมาเมื่อไหร่ เดี๋ยวเช้าเดี๋ยวเย็น ตกแป๊ปเดียว หรือตกเป็นชั่วโมง พาลให้เสียอารมณ์กันไป ซึ่งชุดความรู้เกี่ยวกับการใส่เสื้อผ้ากันฝนของหนุ่ม ๆ ไทยดูจะเป็นเรื่องแสนไกลตัว เพราะส่วนมากมักจะเน้นเอาง่ายไปตายเอาดาบหน้ายืมร่มคนแถวนั้นกันไป และบางครั้งก็มีไม่เพียงพอมาถึง ทำให้ต้องนั่งรอจนฝนหยุด หรือทนลุยฝนฝ่ากันไปหากไม่อยากจะเสียเวลา

เราอยากให้หนุ่ม ๆ ทุกคนมาจบปัญหาสู้กับหน้าฝนในเมืองไทยไปพร้อมกัน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองมาพกเสื้อกันฝนให้เป็นนิสัย แต่ครั้นจะซื้อเสื้อกันฝนใส ๆ สีสันตามร้านสะดวกซื้อราคา 10-20 บาท ก็ดูไม่ค่อยจะเท่สักเท่าไหร่ ดังนั้นมาเรียนรู้วิธีการเลือกเสื้อกันฝนอย่างไรให้เท่ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง แม้สภาวะไม่เอื้ออำนวย

เลือกสไตล์ที่ใช่

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าเสื้อกันฝน (Raincoat) จริง ๆ มีดีไซน์ให้เลือกมากมายขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้สวมใส่ ซึ่งโดยส่วนมากจะแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ Cyclist และ Jogging ที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป

Cyclist Raincoat แปลได้ตามตัวว่าเสื้อกันฝน/กันลม เหมาะสำหรับคนที่ปั่นจักรยาน ดังนั้นชายเสื้อจะมีความยาวลงมาถึงบริเวณหัวเข่า และสามารถป้องกันน้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่งยังเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ชื่นชอบการเดินป่าอีกด้วย คุณสมบัติของเสื้อประเภทนี้ถือว่าค่อนข้างดี แต่มันอาจจะดูแปลกตาเสียหน่อยหากนำมาใส่บนท้องถนน ซึ่งถ้าคุณคิดถึงเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้งานเป็นหลัก ไม่แคร์สายตาคนมองก็ถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน

Jogging Raincoat เป็นอีกหนึ่งเสื้อกันฝนที่เรามักเห็นกันได้บ่อย ๆ  ซึ่งเสื้อประเภทนี้จะมีความยาวถึงแค่บริเวณเอวเหมือนเสื้อแจ็คเก็ตปกติธรรมดาทั่วไป ดังนั้นจึงทำให้ไม่สามารถปกป้องท่อนล่างของคุณให้รอดพ้นจากการเปียกฝนได้ แต่ใส่แล้วดูไม่แปลกเหมือนกับเสื้อ Cyclist Raincoat

Trench Coat อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับแจ็คเก็ตหน้าฝน แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในบ้านเรา เนื่องจากฤดูฝนของบ้านเราไม่ได้มาพร้อมกับลมโกรก ซึ่งเทรนช์โค้ต (Trench Coat) มักจะมาพร้อมการทอผ้าที่เรียกว่า กาบาร์ดีน (Garbardine) ที่มีคุณสมบัติเหนียวแน่น คงทน กันน้ำ โดยแบรนด์ที่เป็นต้นตำรับของ เทรนช์โค้ต ก็คือ Burberry นั่นเอง

สำหรับเสื้อกันฝนทั้งสามประเภทนี้ จริง ๆ มีรูปแบบดีไซน์แฟชั่นให้เลือกมากมายเต็มไปหมดตั้งแต่ราคาไฮเอนด์เหยียบหมื่น อาทิ ACRONYM, Barbour หรือถ้าเกิดจะเน้นไปที่ฟังก์ชั่นการใช่งานเป็นหลัก The North Face, Patagonia ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แต่ไม่ว่าจะเลือกเสื้อประเภทไหน ราคาเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญเท่ากับวัสดุที่เลือกใช้ว่าสามารถปกป้องคุณจากน้ำฝนที่กระหน่ำลงมาได้หรือไม่

วัสดุสำคัญยิ่ง

ส่วนมากเสื้อกันฝนจะผลิตจากวัสดุสังเคราะห์ผสม เพื่อช่วยในเรื่องของการกันน้ำ ซึ่งวัสดุยาง PVC ถือเป็นเสื้อกันฝนที่มีพลังในการป้องกันฝนได้ดีที่สุด แต่มันก็มีข้อเสียเช่นกันในเรื่องของการเนียบเนื้อและอากาศไม่ถ่ายเท

แตกต่างจากเสื้อกันฝนในสมัยก่อนที่มักจะทำมาจากคอตต้อน หรือขนสัตว์ (โดยเฉพาะขนแกะซึ่งจะกันน้ำได้โดยธรรมชาติและช่วยให้อบอุ่นแม้เปียก) แล้วจากนั้นนำมาทาขี้ผึ้งหรือยางมาเพื่อเคลือบเสื้อ ทว่าในปัจจุบันก็ยังมีอีกหลากหลายเทคโนโลยีทางเลือกที่เข้าช่วยอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น GORE TEX ซึ่งเป็นโพลีเมอร์บางๆที่สามารถป้องกันไม่ได้น้ำจับตัวได้ การจัดเรียง 3 ชั้น หรือจะเป็น Polartex และ HyVent  แต่ต้องแลกมาด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงเอาการ

นอกเหนือจากเรื่องเหล่านี้ยังมีคำศัพท์ชวนงงให้กับหนุ่ม ๆ ทุกคนระหว่างคำว่า Water-resistant, Waterproof และ Water repellent โดยทั้งสามคำนี้มีความหมายค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่คุณสมบัติค่อนข้างต่างกันพอสมควร

Water-resistant คือการที่สเปรย์ลงบนวัสดุต่าง ๆ เพื่อให้เสื้อมีคุณสมบัติกันน้ำ ซึ่งจะทำได้ในระดับปานกลาง เช่น ฝนตกปรอย ๆ แต่ถ้าไปตากฝนนาน ๆ เม็ดหนา ๆ น้ำอาจจะซึมผ่านเข้าไปได้

Waterproof คือ ผ้าซึ่งถูกผลิตออกมาเพื่อกันน้ำโดยเฉพาะ โดยส่วนมากจะเป็นวัสดุสังเคราะห์ที่ใส่เทคโนโลยีสมัยลงไป อย่างเช่น GORE TEX

Water repellent คือวัสดุพิเศษอีกประเภทที่ผลิตโดยการทอหรือเคลือบสารเพื่อไม่ให้น้ำซึมผ่าน แต่จะเกาะเป็นหยด ทั้งนี้ถ้าเกิดไปโดนน้ำจัง ๆ ก็มีโอกาสที่จะมีน้ำซึมผ่านได้เช่นกัน

ฟังก์ชั่นตามไลฟ์สไตล์

นอกเหนือจากเรื่องของดีไซน์ และวัสดุที่เป็นองค์ประกอบหลักในการตัดสินใจซื้อเสื้อกันฝนสักตัว เราอยากจะให้ทุกคนคำนึงถึงเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้งาน เพราะมันมีเรื่องของดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เคยคาดคิดมาก่อน ไหนจะเรื่องขนาดของฮู้ด จำนวนชั้นเลเยอร์ หรือช่องใส่กระเป๋า มาลองดูกันว่าปัจจัยเหล่านี้สำคัญต่อการตัดสินใจจ่ายเงินอย่างไร

ขนาดหมวกฮู้ด : ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรที่ตายตัวขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของผู้สวมใส่มากกว่า หากคุณจะใช้เสื้อกันฝนกับการขับขี่มอเตอร์ไซต์หรือจักรยานในช่วงฝนตก ขนาดของหมวกฮู้ดจำเป็นจะปกปิดทั้งบริเวณลำคอเพื่อคุณจะได้โฟกัสกับกิจกรรมเหล่านั้นไม่ต้องมานั่งพะวงกับการที่น้ำฝนจะซึมผ่าน แต่ถ้าเกิดใส่เดินถนนธรรมดาอาจจะไม่จำเป็นถึงขนาดนั้นก็ได้

จำนวนชั้นเลเยอร์ของเสื้อ : อันที่จริงแล้วเสื้อกันฝนแบบดี ๆ นั้นมีจำนวนชั้นเลเยอร์ตั้งแต่ 2, 2.5 จนไปถึง 3 ขึ้นอยู่กับดีไซน์ของแต่ละแบรนด์ โดยเสื้อกันฝนแบบ 2 เลเยอร์มักจะนิยมใช้สำหรับใส่เดินในเมือง และเพียงพอต่อการใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะเสื้อกันฝนแบบ 2.5 และ 3 ชั้นอาจจะมีเลเยอร์มากเกินไปเหมาะกับกิจกรรม Outdoor หรือกิจกรรม Adventure ระดับสูงอย่างเช่นฝ่าลุยหิมะเสียมากกว่า

ช่องกระเป๋าเก็บของต่าง ๆ : เช่นเดียวกัน ช่องกระเป๋าทั้งหลายก็ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของผู้สวมใส่ โดยทั่วไปกระเป๋าช่องใส่สำหรับเสื้อกันฝนคือ 2 ช่องมาตรฐาน แต่ถ้าในเสื้อรุ่นที่มีราคาสูงจะเพิ่มตรงส่วนนั้นเข้ามาทำให้เพิ่มความอเนกประสงค์มากขึ้น

พับเก็บในรูปแบบกระเป๋าได้ : ถ้าเกิดคุณเป็นคนที่ไม่ชอบพกเสื้อกันฝนให้มีขนาดใหญ่โตเทอะทะ ปัจจุบันก็มีเสื้อกันฝนแบบ Ultralight ที่สามารถพับเก็บได้จนเหลือขนาดเล็กนิดเดียว ทว่าคุณสมบัติของมันอาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมถึงขั้นกันน้ำได้เต็มรูปแบบ แต่จะได้ในเรื่องของการเก็บที่สะดวกสบาย พกพาสะดวก

จากข้อมูลทั้งหมดที่ UNLOCKMEN ได้มาแนะนำในวันนี้หวังว่าจะมีประโยชน์ให้หนุ่ม ๆ ใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อเสื้อกันฝนตัวใหม่ ที่ทั้งเท่คูลเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของทุกคน เพื่อรองรับช่วงฝนตกที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ในบ้านเรา

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line