เหล่านักสะสมไฟแช็ค ห้ามพลาด! กับการร่วมมือกันของแบรนด์สาย Punk อย่าง Vivienne Westwood และ ZIPPO กับคอลเลคชันไฟแช็กรุ่นพิเศษที่มี 6 แบบด้วยกัน จุดเด่นของคอลเลคชันนี้คือโลโก้ Vivienne Westwood ที่มีการฝังและแกะสลักไว้ตามจุดต่าง ๆ นั่นเอง สำหรับไฮไลท์ของคอลเลคชันนี้ คือ รุ่น “SPIN ORB” ที่ใช้ตัวโครงสร้างของรุ่น Armor Zippo โดยรุ่นนี้มีสองสีด้วยกันคือ สีเงิน และสีทอง ต้องบอกเลยว่าความเท่ของรุ่น “SPIN ORB” คือลายสลักโลโก้ที่อยู่ระหว่างฝาบนกับตลับ เรียกได้ว่าเรียบแต่โก้เลยทีเดียว ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 ชิ้น เท่านั้น ต่อมารุ่น “BIG ORB” ลายแกะสลักโลโก้ขนาดใหญ่ที่ตัวตลับไฟแช็ก และ “OUTSTANDING ORB” ที่แกะสลักลายโลโก้ของ Vivienne Westwood รอบตัวตลับไฟแช็ก ซึ่งในสองรุ่นนี้ผลิตขึ้นมามีความหนากว่าปกติ อ้างอิงจากรุ่นคลาสสิกของ ZIPPO 200 เนื่องด้วยการใช้พื้นผิวสำหรับการสลักลายที่ตลับ สำหรับสองรุ่นสุดท้ายของคอลเลคชันนี้
หลังจากได้ยินข่าวการร่วมมือระหว่าง Xiaomi และ Leica เชื่อว่าหลายคนคงอยากเห็นศักยภาพของกล้องจากมือถือตระกูล Ultra ซึ่งจัดได้ว่าเป็นแรงค์เรือธงที่แท้ทรูของ Xiaomi และเมื่อช่วงหัวค่ำของวันอังคารที่ 18 เมษา ที่ผ่านมา ตามเวลาประเทศไทย ก็ถึงเวลาประกาศศักดาของ Xiaomi 13 Ultra ซึ่ง Matt Stuart ช่างภาพสายสตรีทชื่อดังชาวอังกฤษให้คำนิยามว่า “This is a camera phone, not a phone with a camera.” กันเลยทีเดียว โดยคุณสมบัติด้านการถ่ายภาพของ Xiaomi 13 Ultra เรียกได้ว่าจัดมาแบบดุดันไม่เกรงใจใคร ด้วย Quad camera with six focal lengths กล้องถ่ายภาพ 4 ตัวหลัก ครอบคลุมระยะ 0.5x to 10x เทียบเท่าระยะเลนส์ 12 –
เอาใจหนุ่มนักกิจกรรม! “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ประกาศเปิดตัว “โอเชียน สตาร์ ทริบิวท์ สเปเชียล อิดิชั่น” (Ocean Star Tribute Special Edition) เรือนเวลาสไตล์เรโทรที่มาพร้อมเฉดสีฟ้าแห่งท้องทะเลและประสิทธิภาพการทำงานสุดล้ำสมัย อีกหนึ่งสัญลักษ์แห่งความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นาฬิกาดำน้ำประสิทธิภาพสูงจาก “มิโด” (MIDO) ที่พร้อมให้หนุ่มนักกิจกรรมได้ยลโฉมแล้ววันนี้ “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (GEORGES SCHAEREN) เริ่มก่อตั้งบริษัท MIDO G.SCHAEREN & CO. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน และยังคงไว้ซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วน สำหรับ “โอเชียน สตาร์ ทริบิวท์ สเปเชียล
เซมาดืออออ ช้อก กาาาาา… สำหรับ FC Masked Rider (มาสค์ไรเดอร์) หรือที่คนไทยเราเรียกกันว่าไอ้มดแดง คงคุ้นหูกับเพลงนี้ดี หลายคนฟังแล้วอาจถึงกับลุกขึ้นยืนแปลงร่าง ด้วยความอินกับเรื่องราวสุดมันส์ของ Masked Rider หนึ่งในตัวละครฮีโร่ในวัยเยาว์ วันนี้ฝันในการแปลงร่างของใครหลาย ๆ คนอาจจะเป็นจริงด้วย Masked Rider Limited Edition นาฬิกา Limited Edition ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อฉลอง 55 ปี Seiko 5 Sports ได้นำการ์ตูนระดับตำนานอย่างไอ้มดแดงแปลงร่างมาอยู่บนนาฬิกา Seiko แล้วเรียบร้อย โดยการสร้างสรรค์ผลงานความร่วมมือในครั้งนี้ Seiko 5 Sports ได้อัปเกรดดีไซน์นาฬิการุ่นดั้งเดิมด้วยเทคโนโลยี และวัสดุที่ทันสมัย พร้อมแฝงด้วยสัญลักษณ์การออกแบบที่อ้างอิงถึงความเป็น Masked Rider ออกมาได้เท่สุด ๆ จะออกมาเท่แค่ไหน มีที่มาจากอะไรบ้างไปดูกันเลย หน้าปัดที่เหมือนหัวของ Masked Rider ตัวหน้าปัดมาพร้อมสีสัน และรูปแบบที่ได้แรงบันดาลใจจากหมวกของ Masked Rider 1
สำหรับคาร์เทียร์ เวลานั้นหมุนเวียนเป็นวัฏจักร มิใช่เดินเป็นเส้นตรงอย่างที่นำเสนอทั่วไป วิสัยทัศน์นี้จึงเป็นหนึ่งในคำอธิบายว่าทำไมเมซงคอยพัฒนาปรับเปลี่ยนนาฬิกาและรังสรรค์ทั้งดีไซน์และกลไกขึ้นใหม่อย่างไม่รู้จบ เพื่อนำพาผู้ที่หลงใหลในเรือนเวลาไปสู่อนาคต เรือนเวลาของคาร์เทียร์ประสบความสำเร็จจากการเดินทางด้วยพลังแห่งจินตนาการจากอดีตไปสู่อนาคต ตราบเท่าที่วิวัฒนาการยังดำเนินไปไม่สิ้นสุด ไร้ขีดจำกัดของกาลเวลา ความคิดสร้างสรรค์เป็นอนันต์ และในปีนี้ คอลเลคชั่นใหม่ของคาร์เทียร์ได้สะท้อนสิ่งนี้ ผ่านเรือนเวลาที่พรั่งพร้อมทั้งรูปทรงและคาแรกเตอร์ ปรับโฉมใหม่ผ่านการสร้างสรรค์ อันทรงคุณค่า Tank คือไอเดียแรกที่หลุยส์ คาร์เทียร์ทำนายว่าจะประสบความสำเร็จ และในปีนี้มีตัวแทนคือ Tank Normale รุ่นใหม่ที่อ้างอิงเรือนแรกสุดจากปี 1917 กับ Tank Américaine อันภูมิฐาน สองเอกลักษณ์การรังสรรค์เรือนเวลาของคาร์เทียร์ มาเคียงคู่เรือนเวลาที่ได้รับการตีความขึ้นใหม่ อันได้แก่ Pasha, Baignoire, Panthère และ Santos de Cartier รวมถึง Clash [Un]Limited เรือนเวลาที่หลอมรวมมรดกเชิงสุนทรียะของคอลเลคชั่น Clash อย่างสร้างสรรค์และและสร้างวิวัฒนาการให้ก้าวไกลกว่าเดิมจากปัจจุบันที่มุ่งหน้าสู่อนาคต TANK NORMALE แต่ละปีเรือนเวลาหายากหนึ่งรุ่นจะได้รับเลือกเข้าสู่คอลเลคชั่น Cartier Privé จุดนัดพบของนักสะสม ซึ่งเฉลิมฉลองและสำรวจเรือนเวลารุ่นตำนานของเมซงผ่านเรือนเวลารุ่นลิมิเต็ดโดยสลักหมายเลขกำกับไว้ วันนี้ Cartier Privé เปิดตัว Tank Normale ผลงานชิ้นที่ 7
หากพูดถึงเรือนเวลาที่บอกเล่าเรื่องราวสำคัญของ OMEGA แล้วล่ะก็ การหยิบ OMEGA Aqua Terra ขึ้นมาสวมใส่บนข้อมือ พร้อมพินิจพิเคราะห์ความงดงามกันอีกครั้ง ดูจะเป็นอะไรที่ถูกต้องที่สุดแล้ว หากใครไม่คุ้นเคยกับ OMEGA รุ่นนี้ เราขอพาไปเริ่มต้นเรื่องราวประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี 2002 กันก่อน ย้อนกลับไปในปี 2002 แบรนด์ OMEGA ได้เปิดตัว OMEGA Aqua Terra ต้องบอกว่าเพียงครั้งแรกที่ผู้คนได้เห็นเรือนเวลารุ่นนี้ก็สร้างความประหลาดใจและประทับใจให้คนทั่วโลกได้ทันที การเลือกดีไซน์เรือนเวลาที่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายในทุกอณู เพื่อตอบโจทย์การเป็น ‘Every Day Watch’ นาฬิกาที่ใส่ได้ทุกวันของทุกคน แต่ทว่า อีกโจทย์หนึ่งของ OMEGA คือคอนเซปต์สุดยิ่งใหญ่ของนาฬิการุ่นนี้ เพราะนี่คือเรือนเวลาที่จะเป็นหนึ่งในตัวแทนที่ดีที่สุดของซีรีส์ Seamaster หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ บอกเล่าการเป็นเรือนเวลาระดับตำนานที่สามารถใช้ดำน้ำได้รุ่นแรก ๆ ของโลกตั้งแต่ปี 1948 อันเป็นจิตวิญญาณสำคัญที่ขับเคลื่อนแบรนด์เสมอมา จากจุดเริ่มต้นกว่า 20 ปีที่แล้ว เวลาล่วงเลยผ่านมาพร้อม ๆ กับเข็มของ OMEGA ที่ไม่เคยหยุดพัฒนาความคิดสร้างสรรค์แม้สักวินาทีเดียว
หลังจากสาวกต่างเฝ้ารอนาฬิกาที่ถือเป็น The holy grail of Rolex อย่าง Daytona ซึ่งราคาก็แข็งชนเพดาน และ demand ก็สูงจนหาของยากสุด ๆ แต่ในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปี Rolex Daytona นี้ ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกับ edition ใหม่สักที เป็นความใหม่ที่คนทั่วไปอาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ไปดูกันว่ามีรายละเอียดอะไรใหม่บ้างใน Daytona เริ่มจากตัวเรือนยังคงมีขนาด 40mm เหมือนเดิม ส่วนหน้าปัดมีการปรับดีไซน์ใหม่เล็กน้อยเพื่อบาลานซ์ความแตกต่างของหน้าปัดและตัวบอกรายละเอียดรวมถึงใน sub-dial ต่าง ๆ ให้ชัดเจนลงตัวมากขึ้น ตัว Oyster case มีการขัดเงาบริเวณ lugs และด้านข้างมากขึ้น ส่วนรุ่นหน้าปัดทองหรือ pink gold บน Cerachrom bezel จะได้สายที่ใช้เหล็กที่ข้อกลางเป็นสีเดียวกัน ทำให้ดูต่อเนื่องและภูมิฐานมากขึ้น จุดสำคัญที่สุดใน New Daytona คือกลไกที่ผลิตแบบ In-house ของ Rolex ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี
Nothing แบรนด์เทคโนโลยีในลอนดอนได้ทำการเปิดตัว Ear (2) ซึ่งเป็นหูฟังไร้สายที่ได้รับการดีไซน์แบบโปร่งใสอีกเช่นเคย ซึ่งแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของ Nothing อย่างชัดเจน และยังได้รับการปรับแต่งให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประสบการณ์เสียงอันทรงพลังขั้นสูงสุด Ear (2) มอบประสบการณ์เสียงอันทรงพลังอย่างแท้จริง เพราะได้รับการรับรองคุณภาพเสียงความละเอียดสูง (Hi-Res Audio) และมีเทคโนโลยี LHDC 5.0 ผู้ใช้ยังสามารถสร้างโปรไฟล์เสียงส่วนตัวของตนเองได้โดยทำการทดสอบการได้ยินผ่านแอป Nothing X จากนั้น Ear (2) จะปรับการตั้งค่าอีควอไลเซอร์แบบเรียลไทม์เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด หูฟังมีไดร์เวอร์ขนาด 11.6 มม. ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อเสียงเบสที่ลึกและทรงพลังและเสียงสูงที่ชัดใส และได้รับการออกแบบ Dual-Chamber ใหม่ที่จะมาช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงโดยรวม ด้วยการไหลเวียนของอากาศที่ลื่นไหลยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Ear (2) ยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์สองเครื่องพร้อมกัน พร้อมทั้งมีการอัปเกรด Clear Voice Technology ที่สามารถป้องกันเสียงลมและผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดีและการอัปเกรดของการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟส่วนบุคคลที่จะถูกปรับให้เข้ากับรูปร่างหูของผู้ใช้แต่ละคน เสียงสมจริงอย่างแท้จริง Ear (2) ได้รับการรับรองคุณภาพเสียงความละเอียดสูง (Hi-Res Audio) เพื่อสัมผัสประสบการณ์เสียงอันดื่มด่ำ เสมือนพาคุณไปยังสตูดิโอบันทึกเสียง เทคโนโลยีตัวแปลงสัญญาณ LHDC 5.0
ในโลกนี้มีการค้นพบ 1937 Patek Philippe Reference 96 Quantieme Lune ทั้งหมดเพียง 8 เรือน (รวมเรือนนี้) และมีเพียงแค่ 3 เรือนที่ใช้ตัวเลขอารบิกบนหน้าปัด Roulette ขนาด 30mm ในตัวเรือน platinum Calatrava case (case number 294,462) Patek Philippe Reference 96 Quantieme Lune เรือนนี้มีความสำคัญมากกว่าแค่ vintage watch หายากทั่วไป เพราะจากประวัติพบว่ามันเคยเป็นนาฬิกาในครอบครองของสมเด็จพระจักรพรรดิผู่อี๋ (Aisin-Giro Puyi) จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนที่โด่งดัง และเคยถูกนำไปสร้างภาพยนตร์ The Last Emperor ที่ได้รางวัล Best Picture-winning film ซึ่งผู่อี๋ได้รับมาในช่วงปี 1945-1950 ขณะถูกจับเป็นเชลยใน Soviet Union ก่อนจะยกให้กับล่ามคนสนิท Georgy Permyakov
Iconic Piaget Polo ปี 2023 เพียเจต์ โปโล ปลดล็อกความท้าทายอย่างไม่เคยมีมาก่อนด้วยการคิดค้นและสร้างสรรค์ Piaget Polo Perpetual Calendar Ultra-thin ขึ้น โดยเรือนเวลาที่ไม่ธรรมดาชิ้นนี้ นอกจากขับเคลื่อนด้วยกลไกเพรียวบางชุดใหม่อย่าง Calibre 1255P เมซงยังผนวกคอมพลิเคชั่นมูนเฟสเข้ามาในโมเดลนี้อีกด้วย หากย้อนรอยความสำเร็จเพียเจต์ โปโล ยุคก่อนไม่ว่าจะเป็นตัวเรือนสีทอง หรือ สตีล ถือเป็นหนึ่งในไอเท็มคู่ใจที่ปรากฏอยู่บนข้อมือไอคอนระดับตำนานหลายคน อาทิ Ursula Andress, Roger Moore, Andy Warhol ไปจนถึง Bjorn Borg ด้วยรูปทรงสะดุดตา ดีไซน์แบบยูนิเซ็กส์ ลุคสปอร์ตที่ไม่ตกยุค ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จที่ว่านี้จะยกเครดิตให้ใครไม่ได้นอกจาก มร.อีฟ เพียเจต์ ด้วยความที่เป็นนักเดินทางตัวยง บวกกับความหลงใหลในสุนทรียภาพทางศิลปะเช่นเดียวกับที่ลุ่มหลงในงานฝีมือ ประสบการณ์ทั้งหมดจึงถูกนำมาหลอมรวมเป็นเพียเจต์ โปโล เรือนเวลาที่แทบไม่มีใครเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ The emblematic Perpetual Calendar นับเป็นครั้งแรกสำหรับคอลเลกชั่นเพียเจต์ โปโล ที่ถูกเติมเต็มด้วยระบบกลไกปฏิทินถาวร –