วันที่ 12 เดือนมิถุนายน เป็นวันฤกษ์งามยามดีที่เหล่าผู้ชื่นชอบสายลับจักรวาล Men In Black จะได้พบกับภารกิจครั้งใหม่ล่าสุด ซึ่งนับเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 4 แต่ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Men In Black: International ซึ่งแม้คราวนี้จะไม่มี 2 Agents ตัวหลักใน 3 ภาคแรกอย่าง Will Smith และ Tommy Lee Jones ออกมาปราบปรามวายร้ายจากต่างแดนที่แฝงร่างมาในโลกมนุษย์ แต่ก็ได้ดาราแม่เหล็กอย่าง Chris Hemsworth ซึ่งการันตีความคูลจากบทบาทของ Thor ใน The Avengers หลากหลายตอน รวมถึง Tessa Thompson หรือหลายคนอาจจะจำได้ในบทบาทของ Valkyrie นักรบคู่ใจจากดินแดน Asgard ดังนั้นจึงเป็นคู่ขาที่เล่นเข้าแข้งกันเป็นอย่างดีแน่นอน นอกจากนี้ยังได้ Liam Neeson สายบู๊จอมโหดมาร่วมงานอีกด้วย เนื้อเรื่องของ Men In Black: International เกี่ยวกับภารกิจที่ใหญ่โตยิ่งกว่าเก่า เพราะไม่ใช่แค่กำจัดเหล่า Aliens เหมือนที่ผ่านมา แต่คราวนี้ต้องตามหา “ไส้ศึก”
ย้อนไปเมื่อปี 1919 สถาปนิกชาวเยอรมัน Walter Gropius ก่อตั้งโรงเรียนสอนศิลปะและการออกแบบ Bauhaus (เบาเฮาส์) ด้วยแนวคิดมุ่งมั่นที่อยากสร้างสรรค์งานศิลปะหลากหลายแขนง ซึ่งต้องบอกว่า Bauhaus ไม่เพียงแต่เป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมแนว Minimalism ที่หลายคนคุ้นเคย แต่โรงเรียนสอนศิลปะอันโด่งดังแห่งนี้ยังมีอิทธิพลต่องานศิลปะในเยอรมนี อเมริกา และประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรปอีกด้วย แต่แล้วในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนแห่งนี้ก็ปิดตัวลง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองบวกกับสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำในตอนนั้น แม้วันนี้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 100 ปี แต่ชื่อของ ‘Bauhaus’ ยังคงเด่นชัดอยู่ในวงการศิลปะไม่เสื่อมคลาย ถือเป็นโรงเรียนที่วางรากฐานและมีบทบาทสำคัญในแวดวงศิลปะ สถาปัตยกรรม กราฟิกดีไซน์ ตลอดจนการออกแบบภายใน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของโรงเรียนสอนศิลปะ Bauhaus แบรนด์กล้องสัญชาติเยอรมันอย่าง LEICA จึงผลิตกล้อง ‘LEICA CL 100 JAHRE BAUHAUS’ รุ่น limited edition ที่รอบนี้เปลี่ยนโลโก้สีขาวแดงให้เป็นขาวดำ มาพร้อมดีไซน์สุดคลาสสิกที่สะท้อนความมินิมัลของ Bauhaus ได้เป็นอย่างดี ตัวบอดี้และเลนส์เป็นสีเงินห่อหุ้มอีกชั้นด้วยหนังสีดำก่อนจะสลักคำว่า “BAUHAUS” ด้านหน้าของกล้อง แถมยังมีสายหนังรุ่นพิเศษที่สลักคำว่า “BAUHAUS” เช่นเดียวกับตัวกล้อง จุดเด่นของ
ความเป็นผู้ชายไม่ได้วัดจากแค่เพศสภาพและร่างกายกำยำล่ำสันเท่านั้น แต่อีกเอกลักษณ์ของผู้ชายอย่างเราคือความคล่องตัว หากจะแบกของก็ต้องไม่เยอะแยะพะรุงพะรัง แล้วถ้าจะเลือกสิ่งของพกพาสักชิ้น ก็ต้องตอบโจทย์ชีวิตมันส์ ๆ และไลฟ์สไตล์โลดโผนตามแบบฉบับผู้ชายได้เป็นอย่างดี หลังจากที่ได้ผลิต TACTICA TALON เครื่องมืออเนกประสงค์รุ่นดั้งเดิม คราวหนี้ TACTICA ก็ขโมยความเจ๋งของเครื่องมือรุ่นก่อนมาอัปเกรดให้แข็งแรงทนทานและใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น จนเกิดเป็น TACTICA M100 MULTI-TOOL เครื่องมือมัลติฟังก์ชันขนาดกะทัดรัดที่มาพร้อมกับความแข็งแกร่งของเหล็กกล้าไร้สนิม ที่ต้องเรียกว่าเครื่องมืออเนกประสงค์ เพราะมันสามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งเป็นไม้บรรทัด, ที่เปิดขวด, ที่เปิดบรรจุภัณฑ์, ชุดซ็อกเก็ต HEX สำหรับขันน็อต และชุดประแจ มาพร้อมกับชุดไขควงปากแบน ปากแฉก และไขควงหกเหลี่ยมที่สลับการใช้งานได้ตามต้องการ TACTICA M100 MULTI-TOOL ออกแบบโครงสร้างจากการผสมผสานวัสดุสแตนเลสและคอมโพสิตที่ทนทานต่อรอยขีดข่วนขั้นสุด แกนกลางใช้สแตนเลส 420 มาตรฐานอเมริกา ซึ่งมีส่วนผสมของคาร์บอนมากกว่าสแตนเลสชนิดอื่น ทำให้มีความแข็งแรงและเป็นสนิมได้ยากกว่า โดยรอบถูกห่อหุ้มอีกชั้นด้วยคอมโพสิตน้ำหนักเบา เมื่อกระทบกับหน้าจอสมาร์ตโฟนหรือสิ่งของอื่น ๆ ในกระเป๋าก็จะไม่เกิดความเสียหายใด ๆ เครื่องมืออเนกประสงค์ตัวนี้มีน้ำหนักเบากว่าเครื่องมือที่ทำจากวัสดุไทเทเนียมถึง 40% โดยมีหนักอยู่ที่ 45 กรัม หรือประมาณ 1.6 ออนซ์ และมีความยาวเพียง 3.15
หนุ่ม ๆ ที่หลงรักการเดินทาง ชื่นชอบการผจญภัยและหลงใหลการบุกป่าฝ่าดงเข้าไปชมความงดงามของธรรมชาติ คงไม่พลาดที่จะเก็บภาพและวิดีโอสุดประทับใจกลับมา ด้วยกล้องแอ็กชันตัวจิ๋วที่ฮิตฮอตที่สุดในตอนนี้อย่าง GoPro Hero 7 Black แต่วันนี้ UNLOCKMEN ไม่ได้จะมาแนะนำ GoPro รุ่นเรือธงที่ทุกคนรู้จักดี หากมีของเล่นใหม่ที่เจ๋งไม่แพ้กัน คือ ‘Osmo Action’ กล้องแอ็กชันตัวแรกจาก DJI ที่มีสเปกและฟีเจอร์เทพ ๆ ไม่ต่างกัน แถมมีราคาถูกกว่า GoPro ซะอีก DJI Osmo Action DJI บริษัทผลิตโดรนรายใหญ่ของโลกได้เปิดตัว Osmo Action กล้องแอ็กชันตัวแรกที่ปล่อยออกมาเพื่อตีตลาด GoPro โดยเฉพาะ ด้วยขนาด 2.6 x 1.6 x 1.3 นิ้ว ใช้ระบบเซ็นเซอร์ CMOS คำนวณค่าของแสงที่ตกกระทบ พร้อมถ่ายภาพด้วยความละเอียดสูงสุด 12 ล้านพิกเซล และที่เฟี้ยวไปกว่านั้นคือมี 4K HDR Video ให้ถ่ายวิดีโอ
การฟังเพลงคงเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของผู้ชายหลาย ๆ คน จะฟังเพลิน ๆ ตอนอาบน้ำหรือนั่งฟังตอนกินเบียร์ เราก็เชื่อว่าความรื่นรมย์ของบทเพลงจะทำให้หนุ่ม ๆ UNLOCKMEN จรรโลงใจได้ไม่น้อย ยิ่งเวลาที่ต้องเดินทางไปทำงาน แม้จะฝ่าสมรภูมิรถติด ต่อสู้กับฝูงชนที่แน่นเอี๊ยด หรือวินาทีที่รอไฟเขียวกลางสี่แยกอย่างไร้จุดหมาย คงต้องบอกว่าเพลย์ลิสต์ดี ๆ นั้นเติมเต็มความสบายใจบนโลกที่วุ่นวายนี้ได้เป็นอย่างดี แต่บ่อยครั้งที่จะตั้งใจฟังเพลงก็มักมีเสียงรบกวนสอดแทรกเข้ามาจนได้ ถึงเราจะเร่งเสียงให้ดังมากขนาดไหน ก็หนีไม่พ้นเสียงที่ดังกว่าจากภายนอกซึ่งมันเจาะทะลุเข้ามาในหูฟังเราได้อยู่ดี แล้วถ้ามีนวัตกรรมหูฟังเจ๋ง ๆ ที่ช่วยลบเสียงดังวุ่นวายข้างนอกและทำให้เราจดจ่ออยู่กับบทเพลงในสองรูหู หนุ่ม ๆ ว่ามันจะน่าสนใจหรือเปล่า? Surface Headphones หูฟังตัดเสียงรบกวนชุดแรกจาก Microsoft หลังจาก Sony, Bose, Panasonic และแบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ ได้เปิดตัวหูฟังตัดเสียงรบกวนกันไปแล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอทีอย่าง Microsoft กันบ้าง Microsoft เปิดตัว “Surface Headphones” หูฟังไร้สายชุดแรกที่มีความสามารถยอดเยี่ยมในการตัดเสียงรบกวน ใช้งานง่าย อัดแน่นไปด้วยคุณภาพและฟังก์ชัน แถมเมื่อเทียบราคากับคู่แข่งก็ไม่ได้ทิ้งห่างจากกันมากนัก โดยมีราคาอยู่ที่ $349.99 หรือประมาณ 11,000 บาท เท่านั้น หูฟังตัวนี้ถูกออกแบบให้มีสี
IKEA ร้านขายเครื่องเรือนและของใช้ในบ้านชั้นนำจากสวีเดน จับมือกับ Sonos บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงสัญชาติอเมริกัน ร่วมกันพัฒนา ‘SYMFONISK’ ลำโพงคู่หูไฮบริดแบบ Two-in-one ที่รวมฟังก์ชันการใช้งานทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน ไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิงด้วยเสียงจากลำโพง แต่ยังตอบโจทย์การใช้งานอื่นๆ ภายในบ้านได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ในงาน Milan Design Week 2019 ที่ผ่านมา มีการเปิดตัวลำโพงไฮบริด SYMFONISK อันเกิดจากแนวคิดของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่จะสร้างสรรค์บรรยากาศ ความสะดวกสบาย และตั้งใจที่จะเปลี่ยนชีวิตภายในบ้านให้ดียิ่งขึ้น จึงมีการผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญด้านเสียงและเทคโนโลยี กับศาสตร์แห่งการแต่งบ้านเข้าด้วยกัน จนได้ออกมาเป็นลำโพงโคมไฟตั้งโต๊ะ SYMFONISK Table Lamp with Wi-Fi Speaker และลำโพงชั้นวางของ SYMFONISK Bookshelf Wi-Fi Speaker SYMFONISK Table Lamp with Wi-Fi Speaker เป็นลำโพงโคมไฟตั้งโต๊ะรูปทรงโค้งมน ที่ซ่อนตัวกระจายสัญญาณเอาไว้ด้านบน ด้านหน้ามีปุ่มให้หมุนเพื่อปรับระดับแสงสว่างและระดับเสียง ส่วนบริเวณฐานโคมไฟทำหน้าที่เป็นลำโพงขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการรวมแสงและเสียงเข้าด้วยกัน ออกแบบมาให้กระจายแสงไฟอย่างอบอุ่นและกระจายเสียงอย่างลงตัว ที่ง่ายๆ คือลำโพงโคมไฟตัวนี้จะช่วยลดการใช้สายไฟในบ้านของคุณได้อย่างแน่นอน ส่วน SYMFONISK
Tinder แอปพลิเคชันโด่งดังที่ออกแบบมาให้คนแปลกหน้าได้กลายเป็นคนรู้จักหรือรู้ใจ ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย บางคนอาจอยากได้เพื่อนคุย บางคนใช้หาคนที่ใช่ หรือบางคนก็กำลังมองหาคนที่มีรสนิยมหรือความชอบที่คล้ายกันเพื่อแบ่งปันเรื่องราวนั้น ๆ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ Tinder พัฒนาฟีเจอร์ใหม่อย่าง Festival Mode เพื่อผู้คนทั่วโลกที่หลงใหลในเสียงเพลง หลายคนคงเคยใช้หรือรู้จักแอปพลิเคชันหาคู่ยอดฮิตอย่าง Tinder กันมาบ้างไม่มากก็น้อย ล่าสุดผู้ผลิตแอปฯ ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดเรียกว่า Festival Mode สำหรับจับคู่ตามงานดนตรีด้วยเหตุผลที่ว่าดนตรีคือสื่อกลางดีเยี่ยมสำหรับคนสองคนที่พร้อมจะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน เหตุผลที่ Tinder ตัดสินใจสร้างฟีเจอร์นี้ขึ้นเพราะผลของสถิติการดาวน์โหลดแอปฯ มักพุ่งสูงขึ้นในช่วงเทศกาลดนตรี เช่น ในงาน EDC Las Vegas มีคนปัด Tinder มากขึ้นกว่าปกติ 60% หรือระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงในงาน Bonnaroo ก็มีคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปัดขวาเพิ่มขึ้นถึง 300% จึงทำให้ทางผู้พัฒนาระบบเล็งเห็นช่องทางที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถพบเจอกับคนที่มีความชอบคล้ายกันได้จากทั่วทุกมุมโลก วิธีการใช้ฟีเจอร์ Festival Mode ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการนำโลโก้ของเทศกาลดนตรีที่ตัวเองชอบหรืองานที่ตั้งใจจะไปมาแปะไว้บนโปรไฟล์ของตัวเอง เพียงเท่านี้เหล่าผู้ชื่นชอบเทศกาลดนตรีเดียวกันก็แมตช์กันได้ง่ายขึ้น และสามารถติดโลโก้ได้ล่วงหน้า 3 สัปดาห์ก่อนวันงานโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กัน ถือว่าเป็นฟังก์ชันพิเศษที่เสริมเข้ามาเพราะตามปกติแล้วแอปพลิเคชันจะค้นหาคนบริเวณใกล้เคียงได้สูงสุดแค่ 160 กิโลเมตรเท่านั้น แต่สำหรับ Festival Mode เพียงแค่เราเลือกงานเทศกาลดนตรีมาหนึ่งงาน จากนั้นคนที่เลือกงานดนตรีเดียวกับเราไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกก็สามารถแมตช์ได้โดยไม่ต้องอยู่ในละแวกใกล้กัน
อดีตที่ผ่านมาสอนให้เรารู้ว่า พอเจอเพลงในคอนเสิร์ตทีไร ความรู้สึกของร็อกเกอร์บนเวทีมันจะพลุ่งพล่านมาก จับหรือคว้าอะไรได้ โดยเฉพาะถ้าเจอกีต้าร์เหมาะมือก็เข้าสูตร คว้ามากระหน่ำฟาด ๆ ให้พังไปแบบไม่รู้ตัว ใครที่คิดภาพไม่ออกลองมาดูภาพมันส์ ๆ บนเวทีจากคลิป iconic ด้านล่างในดวงใจของเรากันก่อน ใจไม่ถึงแนะนำว่าไม่ต้องกดดู เพราะบางทีอาจต้องร้องโอดโอยไปด้วยความเสียดายแทน SUB CULTURE แห่งการทุบทำลายกีต้าร์ ทุบทำไมวะ? นี่คือเรื่องที่หลายคนต้องเคยแวบความคิดนี้ในหัว และสงสัยว่าทำไมนักดนตรีถึงชอบทุบทำลายกีต้าร์หรือเครื่องดนตรีเสียอ่วมให้ได้เห็น จริง ๆ แล้วเราไม่อยากพูดว่ามันคือวัฒนธรรมจำเป็นสำหรับนักดนตรี เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ทำอย่างนี้ แถมเรื่องแบบนี้ก็ไม่ค่อยเกิดกับในบ้านเรา เว้นแต่ข่าวบาง ๆ ที่เคยมีร็อกเกอร์เบอร์ใหญ่เคยทุบแล้วเอ่ยวลี “เครื่องดนตรีเสียงไม่ดี” เพื่ออธิบายเหตุผลนี้กันบ้าง ซึ่งคนก็ไปไล่ตามสืบแล้วกล่าวกันว่าตัวที่ทุบพังราคาเบา ๆ ตัวหลักที่ใช้ประจำแพง ๆ ร็อกสตาร์เขายังเก็บไว้ออกงานอย่างดีเหมือนเดิม ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกก่อนเรื่องความผิดถูก สำหรับคนที่ไม่ชินตาหรือคิดว่าทำไม่ถูก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบ้านเรามีวัฒนธรรมบูชาเครื่องดนตรี ยังจำได้ว่าสมัยยังเรียนดนตรีไทย ขลุ่ยบ้านเราห้ามวางต่ำระดับเท้า และต้องยกมือจบเวลาเล่นเพื่อไหว้ครูของเครื่องดนตรีแทบทุกครั้ง แต่ชาวยุโรปส่วนใหญ่เขาไม่ได้ใช้วัฒนธรรมเดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มีโอกาสเห็นเครื่องดนตรีโดนจับไปทำอะไรแผลง ๆ ทั้งเลีย ทุบ กระทืบให้ได้เห็น แต่เรื่องเหตุผลของการทำลาย ก็มาจากหลายสาเหตุ บ้างก็ว่าเสียงเครื่องห่วย บ้างก็หงุดหงิดวงว่าเล่นห่วยจนโมโห แต่ส่วนมากเรามองว่าเขาทำลายกีต้าร์ในรูปแบบของการสร้างอรรถรสการชม เป็นหนึ่งในการแสดงบนเวทีที่ทำให้คนดื่มด่ำกับเสียงเพลงมากขึ้นหรือสร้างภาพจำให้กับนักดนตรีคนนั้น ๆ
เล่นเกมนาน ๆ หรือทำงานท่าเดิมซ้ำ ๆ กำเมาส์ไป พิมพ์งานไปแล้วมือชา แขนชา จนเหน็บกินบ้างไหม บางคนไม่สนใจแค่สะบัด ๆ แล้วเล่นต่อโดยไม่รู้ว่าไอ้การใช้กล้ามเนื้อตำแหน่งเดิม ๆ มันสร้างความเครียดให้กับร่างกาย กล้ามเนื้อ ลามไปจนกลายเป็น CTS (Capan Tunnel Syndrome) หรือกลุ่มเส้นประสาทชาได้ ร่างกายเหมือนล็อก ดีไม่ดีเป็นอัมพาต เราเลยมาอัปเดต Gagget ที่ออกแบบมาช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายบาดเจ็บหลังจากโหมใช้มันนาน ๆ ติดต่อกัน The Mouzen เป็นที่นวัตกรรมที่วางแขนที่เรายังไม่เคยเห็นใครออกแบบมาให้ใช้เป็นอุปกรณ์เสริมมาก่อนแต่ความจริงฟังก์ชันของมันค่อนข้างมีประโยชน์ทีเดียว เพราะ Gadget ชิ้นนี้โฟกัสกับสาเหตุของการเกิด CTS ที่เราเคยมองข้าม คือระดับความสูงของการยกแขนที่ถูกต้องเหมาะสมกับการจับเมาส์ พอเราติดตั้งที่วางแขนลงไปเพื่อใช้งานจึงเหมือนเป็นการบังคับตำแหน่งให้เราอยู่ในสรีระที่ถูกต้องตลอดเวลาแม้ในท่วงท่าที่สบาย ๆ ดีไซน์คลีนตา ที่ออกแบบมาให้ดูเฉียบ เรียบเท่ ชวนใช้งาน เหมาะจะติดตั้งบนโต๊ะ มีสลักและน็อตเป็นตัวยึดสำหรับติดตั้งได้สะดวก สามารถมันถอดและยึดได้ติดกับโต๊ะได้รวดเร็วสูงสุดภายใน 10 วินาที ที่สำคัญเบาะรองแขนยังสามารถเคลื่อนไหวบนตัว pad ได้อย่างอิสระ ทิ้งน้ำหนักได้เต็มที่สูงสุดถึง 21 กิโลกรัมอีกด้วย (แขนพวกเราคงหนักไม่เกินนี้แน่ ๆ) เรื่องเสียงที่หลายคนกังวลว่าทิ้งลงไปเต็มแรงขนาดนี้พอใช้งานจริงจะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดให้รำคาญใจไหม ผู้ผลิตเขาใช้กลไลที่เรียกว่า
แม้ดาบปลายปืน (Bayonet) จะให้ความรู้สึกเหมือนเป็นของเก่าล้าสมัยสำหรับสงครามในยุคโบราณ ที่ใช้วิ่งเข้าโจมตีระยะใกล้หรือเมื่อกระสุนปืนหมด แต่ที่จริงในปัจจุบันก็มีการใช้กันอยู่บ้างโดยเฉพาะนักแต่งปืนที่มักจะนำ Rifle ไปเติมทุกอย่างให้ดุเดือดสะใจ แน่นอนว่าเราคงไม่หยิบดาบปลายปืนธรรมดามาแนะนำอยู่แล้ว เพราะสำหรับดาบปลายปืนจาก G.R.A.D. (Global Research And Development) ชิ้นนี้ มันไม่ใช่แค่อาวุธสำหรับแทงที่ติดบน Rifle ธรรมดา แต่ข้างในยังถูกสร้างเป็นปืนลูกโม่บรรจุกระสุนขนาเ .22 LR (Long Rifle) ได้อีก 6 นัด ใช้ยิงเป็นก๊อกสองได้สบาย ๆ โดยที่ฝ่ายศัตรูคาดไม่ถึง G.R.A.D. MB16F bayonet-revolver คือของสะสมหายากที่ผลิตใน Las Vegas ย้อนไปยุคปี 2000 ซึ่งปัจจุบันได้หยุดการผลิตไปแล้ว แต่มันยังคงน่าสนใจอยู่มาก ดูภายนอกมันก็เหมือนดาบปลายปืนทั่วไป แต่ชื่อก็บอกตรงตัวว่ามันคือดาบปลายปืนที่สามารถเป็นปืนลูกโม่ได้ในตัว สำหรับติดตั้งบนปืน M16/AR15 ขนาดมาตรฐานได้ แม้ในความเป็นจริงแล้วศัตรูอาจจะกลับบ้านเก่าไปตั้งแต่ก่อนกระสุน M16/AR15 จะหมด (Standard magazine capacity อยู่ที่ 30 นัด) แต่ในกรณีที่เกิดยิงปะทะจนหมดขึ้นมาจริง ๆ หรือบังเอิญเดินไปเจอกันในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป การเลือกใช้ bayonet-revolver