‘สเก็ตบอร์ด’ กีฬาที่น่าจะแสดงภาพของความอิสระของมนุษย์มากที่สุด ทั้งความเร็วที่เราเป็นคนกำหนดด้วยแรงของตัวเอง หรือการทะยานขึ้นไปบนอากาศเหมือนกับนกที่กำลังบิน แต่ความ ‘อิสระ’ ของสเก็ตบอร์ด มักถูกแปะด้วยภาพของผู้ชายเต็มไปหมด เหล่าสเก็ตเตอร์หญิงอยู่ตรงไหน และคำว่า ‘อิสระ’ นั้นอิสระจริงใช่มั้ย? เราชื่อว่าทุกสังคม ทุกกีฬา มีความไม่เท่าเทียมบางอย่างอยู่ในตัว แต่การปลดล็อคสิ่งนั้นเพื่อทลายกำแพงลง ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ย้อนกลับไปในปี 2012 มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการจะทำลายกำแพงที่ว่าโดยการตั้งกลุ่มสเก็ตบอร์ดที่มีแต่ผู้หญิงชื่อ The Skate Kitchen ขึ้น … เรื่องราวการต่อสู้ของพวกเธอถูกทำเป็นภาพยนตร์ในปี 2018 และถูกทำเป็นซีรีส์ 2 ซีซั่น ฉายทาง HBO มาแล้ว UNLOCKMEN อยากแนะนำให้ทุกได้รู้จักกับกลุ่มสเก็ตเตอร์หญิงจากนิวยอร์ก The Skate Kitchen ผู้ลุกขึ้นสู้เพื่อความเท่าเทียม ที่ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง หรือเพื่อพื้นที่ของผู้หญิงต่อความเป็นปิตาธิปไตยของกีฬาสเก็ตบอร์ดเท่านั้น แต่พวกเธอทำเพื่อให้ทุกคนได้เล่นสเก็ตบอร์ดอย่างที่อยากจริง ๆ ลานสเก็ตบอร์ดของ Nina Moran พื้นที่ซึ่งผู้หญิงไม่ได้ถูกรับเชิญ ไม่ว่าคุณจะดูภาพถ่ายรวมกลุ่มของ The Skate Kitchen กี่ครั้ง เสื้อมัดย้อมที่ทำขึ้นเองซึ่งเข้าชุดมากับการสวมหมวกตลอดเวลาของ Nina Moran
หากพูดถึงมหานครนิวยอร์กเราจะนึกถึงอะไรเป็นสิ่งแรก ? บางคนนึกถึงโรงละครบรอดเวย์ บางคนนึกถึงเมืองที่โดนถล่มอยู่บ่อย ๆ ในหนังแอกชันซูเปอร์ฮีโร่ บางคนก็มองว่านิวยอร์กคือเมืองแห่งแสงสีและแฟชั่น และนิวยอร์กอีกมุมหนึ่งที่มีเหตุคนหายและฆาตกรรมสูงไม่แพ้กับเมืองอื่น ๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ทุกแห่งหนต่างมีมุมมืดและปัญหาที่ถูกซุกไว้ใต้พรม รวมถึงเมืองแห่งแสงสีอย่างมหานครนิวยอร์กช่วง ค.ศ. 1910-1920 (พ.ศ. 2453-2463) ที่มีอัตราการหายตัวไปของผู้คนจำนวนมาก รวมถึงคดีฆาตกรรมที่ไม่ถูกเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้ และเมื่อเวลาผ่านมาเกือบร้อยปี ในที่สุดความลับที่ถูกซ่อนเอาไว้ก็เปิดเผยขึ้น *ภาพถ่ายที่อยู่ในเนื้อหาอาจมีความรุนแรง ผู้อ่านที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำ MURDER SCENE IN NEW YORK (1910-1920) คดีฆาตกรรมพร้อมกับภาพประกอบที่เราเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ปัจจุบันมักถ่ายโดยนักข่าว บางครั้งได้ภาพมาจากพยานในเหตุการณ์ แต่หากย้อนกลับไปช่วงปี 1910-1930 การเก็บภาพของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายหลังโดนฆาตกรปลิดชีวิตต้องเป็นภาพจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น และรัฐจะไม่ยอมให้ประชาชนเห็นภาพชวนสลดเหล่านี้อย่างแน่นอน ผลที่ตำรวจเก็บรูปถ่ายหลังเกิดเหตุฆาตกรรมไว้ไม่ยอมให้ใครเอาไปตีพิมพ์ ทำให้เนื้อหาของข่าวคลาดเคลื่อนได้ง่าย หนังสือพิมพ์บางเล่มบอกว่ามีชายคนหนึ่งโดนรัดคอ แต่หนังสือพิมพ์อีกฉบับกลับบอกว่าเหยื่อโดนเอามีดปาดคอต่างหาก เพราะไม่มีนักข่าวสำนักไหนสามารถเข้าไปเห็นสภาพที่เกิดเหตุจริง ๆ อ้างอิงแต่เพียงคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนได้ วงการข่าวอาชญากรรมของสหรัฐอเมริกาพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน เทรนด์การสืบสวนกับการเล่าข่าวเปลี่ยนไปตามยุคสมัยจนเราหลงลืมเรื่องราวที่เกิดไม่ทันไปเสียแล้ว จนวันหนึ่งเรื่องราวที่ถูกซ่อนไว้กว่าร้อยปีถูกเผยสู่สาธารณชน เมื่อสำนักงานใหญ่ของ New York Police Department