ความฝันถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ ไม่ว่าใครก็เคยฝันมาแล้วทั้งนั้น แต่จะต่างตรงที่พวกเขาเหล่านั้นฝันดีหรือฝันร้ายมากกว่ากัน บางคนบอกว่าฝันคือการสร้างสมดุลทางจิต โดยปลดปล่อยความเครียดหรือกุเรื่องไร้สาระขึ้นมาในหัว บ้างว่าฝันถูกจิตสำนึกลึก ๆ ผลักออกมาและปรุงแต่งจนเป็นเรื่องราว สะท้อนถึงความปรารถนาที่ไม่ได้ถูกตอบสนองในชีวิตจริง แต่ความปรารถนานั้นไม่ได้หายไป หากเก็บไว้เบื้องลึกในจิตใจและระบายออกมาผ่านความฝัน แต่ไม่ว่าความฝันจะเกิดขึ้นจากอะไร ใคร ๆ ก็คงอยากฝันดีมากกว่าฝันร้ายกันทั้งนั้น นั่นให้เราอยากรู้ว่าทำไมคนถึงเกลียดฝันร้าย และฝันร้ายของพวกเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรมากที่สุด? งานวิจัยชิ้นหนึ่งของ Amerisleep ที่รวบรวมเรื่องราวฝันร้ายของชาวอเมริกัน 2,000 คน เผยว่าฝันร้ายที่พบบ่อยที่สุดคือการฝันว่าตัวเองหกล้ม (65%) ตามมาด้วยฝันที่ถูกไล่ล่าเอาชีวิต (63%) ฝันว่าตัวเองตาย (55%) ฝันว่าคนรักตายจากไป (54%) และฝันว่าถูกจับยึดจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ (52%) นี่แสดงให้เห็นว่าฝันร้ายแต่ละเรื่องนั้นค่อนข้างรุนแรงและกระทบกระเทือนต่อจิตใจคน อีกทั้งขณะที่อยู่ในฝันเราก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันคือเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่ ถ้าต้องเจอเรื่องราวเลวร้ายที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าใครก็คงทุกข์ใจไม่ต่างกัน ทำไมถึงฝันร้าย? มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้เราฝันร้าย ตั้งแต่การกินของว่างตอนดึก ผลข้างเคียงจากยา หรือแม้แต่การนอนตะแคงซ้ายขวา แต่นอกจากยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่พิสูจน์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของเราก็มีอิทธิพลต่อความฝันด้วย เนื่องจากเนื้อหาในฝันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงขณะตื่น หากคุณเป็นคนสบาย ๆ ไม่ค่อยเครียด และค่อนข้างพอใจกับชีวิต เป็นไปได้ว่าฝันของคุณจะเป็นเรื่องบวก ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณทุกข์ใจหรือวิตกกังวลบ่อย ๆ ก็อาจทำให้คุณฝันร้ายได้ในเวลาเดียวกัน ฝันร้ายบอกอะไรเรา? กว่า 70%