“ถ้าอยากให้มวลมนุษยชาติมีชีวิตรอด เราคงต้องย้ายไปดาวดวงอื่น” ถ้าคุณได้ยินคำพูดทำนองนี้เมื่อ 3 ปีก่อน คุณอาจคิดว่าใครคนนั้นกำลังเขียนนิยาย Sci-Fi พล็อตว่าด้วยหายนะล้างโลก หรือไม่ใครคนนั้นก็อาจเสียสติไปแล้วแน่ ๆ แต่เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากสตีเฟน ฮอว์คิง (Stephen Hawking) ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ นักฟิสิกส์ทฤษฎี และนักจักรวาลวิทยา ก็อาจพอกระทุ้งให้ผู้คนหยุดฟังบ้าง แต่ท้ายที่สุดความคิดที่ว่ามวลมนุษยชาติจะสูญพันธุ์ โลกจะถึงกาลอวสาน จนเราต้องหาอาณานิคมใหม่บนดาวสักดวงในเวิ้งอวกาศก็ดูเป็นเรื่องไกลตัวเราอยู่ดี อย่างไรก็ตามเมื่อปี 2020 เดินทางมาถึงพร้อมวิกฤตไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่ระบาดไปทั่วโลกก็ทำให้หลายคนนึกย้อนไปถึงคำพูดของนักฟิสิกส์ผู้ล่วงลับ โดยครั้งหนึ่งเขาเคยพูดถึงการสูญพันธุ์ของมวลมนุษยชาติด้วยหลายสาเหตุ และหนึ่งในสาเหตุนั้นคือ “ไวรัส” “ผมเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกกวาดล้างจนสูญพันธุ์ ทั้งจากสงครามนิวเคลียร์ หรือจากไวรัสที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม มนุษยชาตินั้นคงสิ้นอนาคต ถ้าเราไม่ออกไปสู่ห้วงอวกาศ” นอกจากนั้นเขายังเคยกล่าวไว้ว่าหายนะที่จะกวาดล้างมวลมนุษยชาติ ยังมีอีกหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การโจมตีจากดาวเคราะห์น้อย รวมถึงการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกของเองที่เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึงการคุกคามจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความเป็นนักฟิสิกส์ นักจักรวาลวิทยาและความสงสัยใคร่รู้ของเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งทำให้เขาครุ่นคิดถึงเรื่องอนาคตของมวลมนุษยชาติอยู่บ่อย ๆ สตีเฟน ฮอว์คิงขึ้นพูดใน Starmus Festival ที่ประเทศนอร์เวย์ เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2017 เรื่องอนาคตของมวลมนุษยชาติเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ “พื้นที่บนโลกใบนี้กำลังร่อยหรอลงทุกที ๆ และที่ที่เราจะไปได้คือดาวดวงอื่น
คนทั้งโลกร่วมช็อกเมื่อ The Guadian ออกมาบอกเรื่องชวนสลดจากการจากไปของคนดังระดับตำนานอย่าง “Stephen Hawking” ในวัย 76 ปี ชายที่ใครก็บอกว่าเขาคือ “ไอน์สไตน์” คนที่สองในฐานะชายผู้เข้าใกล้ความเป็นพระเจ้ากับการตอบคำถามจักรวาลด้วย “ทฤษฎีสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง’ (Theory of Everything)” ที่เขาค้นพบและอาจด้วยความบังเอิญหรือพระเจ้าเข้ามาเล่นตลกกับเรื่องนี้เมื่อวันของการดับดาวสายฟิสิกส์ดันเป็นวันเกิดของชายรุ่นพี่สติเฟื่องอย่าง ไอสไตน์ เช่นกัน second ไอสไตน์ผู้โชคร้าย “Stephen Hawking” (1942 – 2018) เป็นดาวเด่นวงการวิทยาศาสตร์ที่เกิดช่วงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แบคกราวน์ทางครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยนัก มีพ่อทำงานด้านการแพทย์และหวังจะผลักดันเขาไปทางนั้น แต่สุดท้ายแล้ววิทยาศาสตร์ อวกาศ และประกายดวงตาเมื่อมองดาวหลังบ้านก็ทำให้พ่อเปลี่ยนใจส่งเขาไปเรียนวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นสายที่ชอบมากกว่า และลงเอยด้วยการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ส่วนตัวเขาชื่นชอบการเรียนเลข แต่เมื่อไม่มีให้แยกเรียน ทางสายใหม่ของเขาจึงวิ่งไปทางฟิสิกส์และจักรวาลวิทยา สำหรับภาพของ Hawking บนรถเข็นแบบที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงที่เขาอายุ 21 เมื่อตรวจพบว่าเขาเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือ ALS ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตทั้งการขยับเดินเหินอย่างใจและคำพูด แม้โลกจะเหวี่ยงเขาไปเจอกับด้านมืดที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นแต่เขาก็สามารถเหวี่ยงตัวเองออกมาจากความมืดด้วยการเดินหน้าค้นพบทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับจักรวาลมากมาย ที่สำคัญคือเรื่องงานวิจัย “หลุมดำ” ปริศนาบนท้องฟ้าที่เขาสามารถไขมันได้กระจ่างจนได้รับคำชื่นชมและยอมรับจากคนทั้งโลก ใครที่อยากรู้เรื่องดีเทลความยิ่งใหญ่ของชีวิตชายคนนี้ ลองไปหาดู documentary ฉบับ movie