Franck Muller ร่วมฉลองครบรอบ 50 ปี กับบริษัท Cortina Watch หนึ่งในบริษัทด้านการค้าปลีกนาฬิกาและเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสิงคโปร์ โดยได้เปิดตัวคอลเล็กชั่นนาฬิการุ่นพิเศษ Vanguard Revolution 3 Skeleton ซึ่งประกอบไปด้วย 5 รุ่นย่อย ที่ได้รับการออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตออกมาในจำนวนจำกัด นอกจากนี้ในเดือนที่ผ่านมายังได้มีการจัดแสดงคอลเล็กชั่นนาฬิกาที่เป็นสุดยอดของการประดิษฐ์นาฬิกาจากอัญมณีชั้นสูง และเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนแห่งความหรูหราของ Haute Horlogeries ซึ่งเป็นการนำเอารุ่นพิเศษอย่าง ทูร์บิญอง (Tourbillions) แบบสามเข็ม ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่า และได้นำเอาเพชรพลอยที่ได้คัดสรรมาอย่างดีเยี่ยมเพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่น่าค้นหา นาฬิกา Vanguard Revolution 3 Skeleton อันเป็นเอกลักษณ์ทั้ง 5 รุ่นนี้ ได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันโดยช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ที่ Watchland ในเจนีวา เพื่อรำลึกถึงความร่วมมืออันล้ำค่าระหว่าง Franck Muller และ Cortina Watch รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ที่โดดเด่นและจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกของ Franck Muller โดย มร. เจเรมี ลิม CEO ของ
การกลับมาอีกครั้งของเรือนเวลาสไตล์เรโทรรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่ถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของ “มิโด” (MIDO) “มัลติฟอร์ต พาวเวอร์วินด์ โครโนมิเตอร์” (Multifort Powerwind Chronometer) จากตระกูลมัลติฟอร์ต (Multifort) ถูกผลิตออกมาเพียงแค่ 1954 เรือนเท่านั้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงรุ่นพาวเวอร์วินด์ (Powerwind) ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 1954 และได้ปฏิวัติวงการนาฬิกาด้วยการเคลื่อนไหวที่แม่นยำและเที่ยงตรงที่สุดของ “มิโด” (MIDO) ในขณะนั้น โดยล่าสุดในปี 2022 นี้ “มิโด” (MIDO) ได้หยิบยกเรือนเวลาระดับตำนานขึ้นมาสร้างสรรค์ใหม่อีกครั้งด้วยการเพิ่มเทคโนโลยีร่วมสมัยที่ดีที่สุด ให้นาฬิกามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น พร้อมดีไซน์สุดคลาสสิกที่ผสานกลิ่นอายของความวินเทจเอาไว้ได้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีน้ำเงินมิดไนท์ บลู (Midnight Blue) ซึ่งเหมาะสำหรับนักสะสมที่หลงใหลความวินเทจเป็นอย่างดี “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (Georges Schaeren) เริ่มก่อตั้งบริษัท MIDO G.Schaeren & Co. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ.
สืบเนื่องมาจากภาพของหนึ่งในท่านผู้นำของประเทศละแวกบ้านเราสวมนาฬิกาหรูแบรนด์ไฮเอนด์ที่มีราคาเหยียบหลักล้าน ก็เลยทำให้โลกโซเชียลหันมาให้ความสำคัญกับ นาฬิกาข้อมือ จนกลายเป็นการเปิดหูเปิดตาจนทำให้รู้ว่าโลกของเรานั้นยังมีนาฬิกาที่เป็นไอคอนของแบรนด์และบุคคลอีกมากมายหลายรุ่นไม่ใช่เฉพาะแค่ Rolex อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ เป็นเหมือนนาฬิการุ่นดังที่คนทั่วโลกชื่นชอบและใฝ่ฝัน เรามาดูกันครับว่าส่วนหนึ่งของนาฬิกาที่เป็นไอคอนนั้นมีอะไรกันบ้าง Rolex Submariner & Date Just เมื่อพูดถึงเครื่องบอกเวลาสุดคลาสสิคก็คงต้องเริ่มด้วย Submariner ที่ Rolex ทำขายครั้งแรกในปี 1954 ถือเป็นรุ่นที่ปฏิวัติวงการนาฬิกาข้อมือทั้งโลกเลยก็ว่าได้ ในตอนแรก Submariner ไม่ได้จัดเป็นไลน์ Luxury แต่อย่างใด ผลิตมาเพื่อตอบโจทย์การดำน้ำโดยเฉพาะ แต่เมื่อนานวันเข้า จากปากต่อปากและไอคอนบนโลกนี้อย่าง Steve McQueen ที่ใส่จนมันกลายเป็นสถานะความเท่บนตัวสุภาพบุรุษ เมื่อมาถึงปลายยุค 80’s ที่ Rolex กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรามั่งคั่ง รุ่นที่ฮิตที่สุดของพวกเขาก็คือ Submariner นี่ล่ะ เอกลักษณ์ของมันคือความทนทาน และเป็นนาฬิกาทรง Sports ที่สมบูรณ์แบบ ทั้งดีไซน์และการใช้งาน ทุกวันนี้รูปทรงของมันก็ยังคงร่วมสมัย มีหน้าปัดขนาด 40มม. ให้เลือกทั้งสีเงิน สีทองและทองขาว 18K ใส่ได้กับผู้ชายทุกสไตล์ (หรือผู้หญิงบางคนก็ใส่ได้เช่นกัน) หาก Submariner คือตัวแทนความสปอร์ตจาก
หากจะบอกว่าปีนี้เป็นปีของ ALBA ก็คงไม่ผิดนัก เพราะแบรนด์น้องที่ถ่ายทอด DNA เรือนเวลาคุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่นจาก SEIKO ซึ่งโดดเด่นเรื่องดีไซน์ คุณภาพ ที่พร้อมให้ทุกคนสัมผัสได้อย่าง ALBA ยังคงเดินหน้าเปิดตัวนาฬิกาคอลเลกชั่นใหม่ ให้แฟน ๆ ได้ติดตามอัพเดทสไตล์เท่ที่เป็นตัวเองได้ไม่รู้จบ เพราะล่าสุด ALBA ได้เผยโฉมน้องใหม่ ALBA Nami / Yama ที่ยังคงความพิเศษในฐานะ Thailand Creation ซึ่งมีวางจำหน่ายเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น สำหรับคู่หู New ALBA Gent Thailand Creation สองสีใหม่ ยังคงไว้ซึ่งคอนเซ็ปต์ The Reflection of Japan สะท้อนภาพจิตวิญญาณญี่ปุ่น และคุณภาพระดับ Japan Product ออกมาภายใต้รูปลักษณ์นาฬิกาสปอร์ต ได้อย่างชัดเจน และความพิเศษสำหรับ ALBA Nami / Yama คืองานดีไซน์ที่ล้ำสมัย แต่มีกลิ่นอายที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตำนานนาฬิกาดำน้ำยอดนิยมของไซโกในยุค 1960 พร้อมผสานไอเดียคอนเซ็ปต์ของทะเลและภูเขาเข้ามา จึงเป็นที่มาของชื่อเล่นภาษาญี่ปุ่นสำหรับเรียกแทนตัวนาฬิกาทั้งสองเรือนนี้ โดย NAMI
นับตั้งแต่การเปิดตัวของนาฬิกา Seiko 5 Sports ในปี 1968 โลกก็ได้รู้จักกับ เรือนเวลาจักรลที่เป็นตัวแทนของความทนทาน และคุณค่าด้านประสิทธิภาพที่ไว้ใจได้ มาอย่างยาวนานกว่า 54 ปี จวบจนปัจจุบัน โดยเลข “5” ในชื่อรุ่นเป็นสิ่งแสดงถึงคำมั่นสัญญาว่านาฬิกา Seiko 5 ทุกเรือนจะมาพร้อมคุณสมบัติหลัก 5 ประการ ดังนี้ เครื่องระบบอัตโนมัติ, ฟังก์ชั่นวันและวันที่บริเวณ 3 นาฬิกา, ระบบกันน้ำ, เม็ดมะยมบริเวณ 4 นาฬิกา และ ตัวเรือนรวมถึงสายที่มีความแข็งแรงทนทาน จากคุณสมบัติเหล่านี้ ส่งผลให้ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อของ Seiko 5 Sports นาฬิกาสปอร์ตสัญชาติญี่ปุ่น ได้สร้างประวัติศาสตร์รับความนิยมในระดับนานาชาติในฐานะนาฬิกาที่สามารถ “ไปได้ทุกที่” โดดเด่นทั้งประสิทธิภาพครบครันและดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในราคาที่คุ้มค่า อีกทั้งจุดเด่นเหล่านี้ยังได้ถ่ายทอด DNA ความแข็งแกร่งสู่คอลเลคชั่นใหม่ของ Seiko 5 Sports ที่กลับมาในปี 2019 ซึ่งได้มีการเพิ่มความกระตือรือร้นและพลังแห่งการขับเคลื่อนอันทันสมัยลงไป พร้อมเปิดตัวรุ่นพิเศษออกมามากมาย ทั้ง Thailand Limited Edition / Street Fighter
The Bulgari Octo Finissimo Ultra เพิ่งจะบันทึกว่าตัวเองเป็นนาฬิกาที่บางที่สุดในโลกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง แต่แล้วก็ต้องฝันสลาย เมื่อแชมป์ใหม่เขาจัดการทุบสถิติแล้วในเดือนกรกฎาคม ด้วยการจับมือระหว่าง Richard Mille กับ Ferrari เกิดเป็น The RM UP-01 Ferrari นาฬิกาที่ถูกบันทึกว่าบางที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน ด้วยความหนาเพียง 1.75mm เท่านั้น! RM เป็นโปรเจ็กต์ที่ใช้เวลาพัฒนาหลายปี และใช้เวลาไปกว่า 6,000 ชั่วโมง ซึ่งนอกจากจะร่วมมือกับ Ferrari แล้ว ก็เป็นการทำงานร่วมกับ Piguet Renaud & Papi เหมือนเดิม ส่วนเคล็ดลับความบางของ RM นั้น เริ่มต้นตั้งแต่วิธีการที่เขาเลือกเอากลไกทั้งหมดใส่ไว้ในตัวเครื่อง แทนการเพิ่มฝาหลังเป็น 2 ชั้นแบบที่นาฬิกาปกติทั่วไปเลือกทำกัน ในงานออกแบบ RM ถูกดีไซน์ในความบางระดับแบบชิ้นโครงกระดูก (Skeletonized) และเหมือนเดิม แม้ว่าจะบางแค่ไหนก็ไม่อาจหยุดยั้งปณิธานของการเป็นหนึ่งในนาฬิกายี่ห้อที่ทนทานที่สุดในโลกของ Richard Mille ได้ เพราะเขาออกแบบตามมาตรฐานความทนทานระดับรถแข่งเหมือนเดิม
นอกเหนือจากอาการลุ้นเรื่องราวที่ยังค้างคา รอให้ติดตามบทสรุปใน Stranger Things SS4 Vol.2 ซึ่งกำลังจะลงสตรีมมิ่งในวันที่ 1 กรกฎาคม นี้ เราเชื่อว่าสาวก Stranger Things หลายท่าน คงกำลังอินกับแฟชั่นยุค 80s จากพร็อพและคอสตูมต่าง ๆ ของเหล่าตัวละครในซีรีส์ ที่ทีมงานทำการบ้านมาอย่างดี หาไอเทมมากมายมาให้แต่ละคาแรกเตอร์สวมใส่กันแบบตรงยุค และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในไอเทมที่โดดเด้งสะดุดตาออกมาคือนาฬิกาสวย ๆ หลากรุ่นหลายแบรนด์ ที่บอกไปเป็นต้องรู้อายุ เพราะเพียงแค่เห็นโผล่มาในจอแค่ไม่กี่วิ เป็นต้องอุทานด้วยภาษากึ่งไม่ทางการว่า “เชี่ยย นี่มันรุ่นที่เคยอยากได้” หรือ “เฮ้ย เรือนนี้เราเคยมีใส่ไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนนี่นา” งานนี้ใครที่รู้สึกว่านาฬิกาของเหล่าตัวละครใน Stranger Things นั้นมันทัชใจ แต่จำได้แค่คลับคล้ายคลับคลา ไม่ได้รู้ลึกถึงขนาดว่ามันชื่อรุ่นอะไร บอกเลยว่าไม่ต้องไปเหนื่อยค้นหาให้ตาแตก เพราะเราได้รวบรวมลายแทงชื่อรุ่นเด่นจากตัวละครดังเกือบทุกคาแรคเตอร์เท่าที่เราสามารถหาได้ มาให้ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายนำชื่อรุ่นลากเข้า Google เพื่อสะกดรอยไปตามสอยกลับมาครอบครองให้หายคิดถึง ข่าวดีคือมีหลายเรือนที่วางขายมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยได้กลายเป็นงานวินเทจเข้าขั้น Rare Item ที่อาจต้องใช้กำลังกาย บวกกำลังใจ เสริมด้วยกำลังภายในกระเป๋าตังค์ในการตามล่าของดีมาประดับข้อมือ เอาเป็นว่าก่อนจะเวิ่นเว้อไปมากกว่านี้ เชิญไปดูกันเลยดีกว่าว่าตัวละครไหนใส่นาฬิกาอะไรเข้าฉากกันบ้าง เอ้า…
สีสันที่แตกต่าง นอกจากจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่หลากหลาย มันยังสามารถสะท้อนตัวตนของใครสักคนออกมาผ่านสีที่โดดเด่นได้เช่นกัน และสกู้ตเตอร์ที่เปี่ยมไปด้วยสีสันอย่าง VESPA ก็พร้อมที่จะบ่งบอกเรื่องราว รวมถึงสไตล์ของผู้ที่เป็นเจ้าของออกมาได้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งในวันนี้ UNLOCKMEN x VESPA จะพาทุกคนไปพบกับตัวตนของ ‘ปอง – อภิชา สุขสังข์’ ชายหนุ่มเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ที่มีสไตล์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร โดยได้แรงบันดาลใจมาจากความชื่นชอบในเสียงเพลงแนว Ska, Punk Rock, Pop Punk รวมถึงการได้ดูภาพยนตร์ Quadrophenia ทำให้เริ่มนิยมชมชอบใน Culture Mods แล้วศึกษาต่อเนื่องไปถึงเรื่องราวของ Spirit Of 69 จนทำให้จิตวิญญาณขบถชัดเจนในตัวตนนั้นถูกหล่อหลอมเอาไว้ในตัวผู้ชายคนนี้ และหากจะให้แทนตัวเองด้วยสีสักหนึ่งสี เขาคนนี้ได้เลือกสีเหลือง YELLOW SOLE ของ VESPA PRIMAVERA S 150 i-Get ABS TOURING เป็นสิ่งแทนตัว เพราะนอกจากจะสื่อถึงความสดใสที่ไม่ยึดติดต่อกฎเกณฑ์ใด ๆ สีเหลืองในมุมมองของผู้ชายคนนี้ยังเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่สาดส่องลงมาเพื่อให้ชีวิตมีพลังเดินหน้าต่อไป ส่วนความหลงใหลใน VESPA ของ ‘ปอง
เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักกันดีกับชื่อเสียงของ ALBA เรือนเวลาดีไซน์สวย ที่การันตีคุณภาพโดย SEIKO แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น กับจุดเด่นเรื่องคุณภาพการผลิตที่ดีในราคาจับต้องได้ จนถือเป็นแบรนด์ในดวงใจของผู้คนซึ่งสนุกกับการแต่งตัวหลากสไตล์ ที่สามารถหามาสวมใส่อัพลุคเท่ได้ไม่รู้จบ ยิ่งในคอลเลกชั่นหลัง ๆ ของ ALBA ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “The Reflection Of Japan” ซึ่งชูจุดแข็งงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงคุณภาพความเป็น Japan Product แถมยังตอกย้ำสไตล์ความเป็นเมืองแฟชั่นของญี่ปุ่นออกมาได้อย่างชัดเจน ด้วยการเน้นไปที่รูปลักษณ์ของเรือนเวลา Sport Style ทำให้แต่ละคอลเลกชั่นของ ALBA ที่เปิดตัวออกมาล้วนแล้วแต่เป็นไอเทมที่หนุ่ม ๆ อย่างเราสามารถหยิบมาสวมใส่ Mix & Match สไตล์สนุก ได้ในทุกโอกาส และต้องบอกว่าล่าสุดจิตวิญญาณสปอร์ตในนาฬิกา ALBA ได้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งในแบบฉบับ Active เต็มขั้น กับ ALBA “SPORTIVE” Design Collection ที่มาพร้อมกับเรือนเวลา 4 สี 4 สไตล์ ซึ่งโดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว โดยแต่ละรุ่นนอกจากจะมาพร้อมตัวเรือนและสายแบบสเตนเลสสตีลแล้ว ยังมีสายซิลิโคนแบบ Accordion
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายอย่างเรา ๆ กับเรื่องการบำรุงผิวนั้นเปรียบเสมือนแม่เหล็กคนละขั้ว เพราะคุณผู้ชายทั้งหลายมักจะเน้นความง่ายเข้าว่า ทำให้มองข้ามความสำคัญในการดูแลตัวเองอย่างการล้างหน้า และการบำรุงผิว จึงมักจะทำกันแบบลวก ๆ ไม่ใส่ใจ เพราะคิดว่าใช้ผลิตภัณฑ์แบบไหนก็เหมือนกัน และส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นหยิบยืมของแฟนสาวมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเจลล้างหน้า หรือเซรั่มบำรุงผิวใด ๆ ขอแค่ได้ทาถูลงไปให้ทั่วหน้าก็จบเรื่อง แต่จริง ๆ แล้วเรื่องมันอาจไม่ได้จบอย่างที่คิด และยังตามมาด้วยภาคต่อชวนปวดหัวกับปัญหาผิวหน้าที่สั่งสมมายาวนานจากการใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม เพราะต้องเคลียร์กันก่อนว่าการดูแลผิวหน้าผู้ชายนั้นไม่ใช่อะไรก็ได้ ด้วยฮอร์โมน และ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างกันกับคุณผู้หญิง ทำให้สภาพผิว และปัญหาผิวที่ผู้ชายต้องพบเจอนั้นก็ต่างกันไปด้วย เพราะโดยปกติผู้ชายส่วนใหญ่มักจะมีผิวมัน รูขุมขนกว้าง ทำให้เสี่ยงเป็นสิว และมีปัญหาผิวบอบบางแพ้ง่าย ไหนจะการระคายเคืองผิวจากการโกนหนวดแทบทุกวัน รวมถึงปัญหาร่องรอยหมองคล้ำจากการใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง ทั้งการทำงาน ปาร์ตี้ ออกกำลัง ซึ่งเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันที่เสี่ยงต่อการทำร้ายผิวหน้าที่ยากจะหลีกเลี่ยง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ผิวถูกกระตุ้นจากแสงรังสียูวีในแสงแดด ตลอดจนมลภาวะต่าง ๆ รอบตัว แถมด้วยความเครียด, พฤติกรรมการรับประทานน้ําตาลในปริมาณที่มาก, การพักผ่อนน้อย มันจะส่งผลให้ MMPs (Metrix Metalloproteinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ในร่างกายที่เป็นตัวการร้ายทำลายผิวนั้นเพิ่มจำนวนขึ้น พร้อมตรงเข้าทำลายย่อยสลาย Collagen / Elastin Fiber และ Glycosaminoglycan- Hyaluronic Acid