Super Bowl คือนัดชิงชนะเลิศของศึกคนชนคน NFL โดยในทุก ๆ ปีผู้คนทั่วโลกกว่า 100 ล้านคนต่างจับจ้องให้ความสนใจมหกรรมกีฬาครั้งยิ่งใหญ่นี้ จึงทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในอีเวนต์กีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจนอกจากการแข่งขันอันเข้มข้นในสนามก็คือโชว์ในช่วงพักครึ่งหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Super Bowl Halftime Show โดยในทุกปีจะมีศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์ผลัดเปลี่ยนกันมามอบความบันเทิงสุดมหัศจรรย์ให้กับผู้ชมในสนามและหน้าจอทีวีทั่วทั้งโลก ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันคือเวทีที่ศิลปินทุกคนต่างใฝ่ฝัน เพราะคงไม่มีโชว์ไหนอีกแล้วที่จะมีผู้ชมมากมายขนาดนี้ โชว์สุดมหัศจรรย์ของ Michael Jackson ในปี 1993 สะกดผู้ชมได้อยู่หมัด ไร้ซึ่งคำครหาต่อฉายา ‘King of Pop’ โชว์สุดมันส์ของ Bruno Mars ในปี 2014 ที่แสดงศักยภาพของเขาออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้ทุกคนต่างยอมรับว่าเขาคือ King of Pop คนใหม่อย่างแท้จริง พร้อมด้วยการเซอร์ไพรส์ของวงร็อกระดับตำนาน Red Hot Chili Peppers ที่มาเพิ่มดีกรีความเดือดของโชว์ขึ้นไปอีกขั้น ‘Super Bowl Halftime Show ที่ดีที่สุดตลอดกาล’ ของ Prince สุดยอดศิลปินผู้ล่วงลับ ที่ไม่ต้องใช้เอฟเฟ็กต์มากมาย ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่อลังการ เพียงแค่ความสามารถของเขาเพียว ๆ ผู้ชมก็ตกอยู่ในภวังค์ราวต้องมนตร์แล้ว เหล่านี้คือ Super Bowl Halftime Show ที่ตราตรึงใจ
หลายคนคงคุ้นเลยกับงาน Super Bowl ที่เป็นงานแข่งอเมริกันฟุตบอลโดยถือเป็นไคลแม็กซ์ของฤดูกาลเลยก็ว่าได้ เอาจริง ๆ เราก็พอรู้กันอยู่แล้วว่าอเมริกันฟุตบอลเป็นที่ชื่นชอบของชาวอเมริกันแบบเข้าเส้นเลือดอยู่แล้ว แต่วันนี้ UNLOCKMEN จะมาบอกเล่าเรื่องราวของอีกหนึ่งดีเทลที่แรกอยู่ใน Super Bowl ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กับตัวเกมการแข่งขันเลย นั่นก็คือ Half Time Show นั่นเอง ว่าทำไมมันถึงต้องยิ่งใหญ่ และประสบความสำเร็จจนกลายเป็นเหมือนเวทีในฝันของศิลปินดัง ๆ มากมาย ทำความรู้จัก Super Bowl กันหน่อย ตัวการแข่งขันจริง ๆ คือการแข่งรอบชิงชนะเลิศของอเมริกันฟุตบอลสองลีก ระหว่าง AFL (American Football League) และ NFL (National Football League) ซึ่งเป็นทีมระดับอาชีพ จัดขึ้นในทุกปีในช่วงสิ้นเดือนมกราคมหรือไม่เกินต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยสถานที่การแข่งขันจะผลัดเปลี่ยนกันไปหลาย ๆ รัฐ แค่การแข่งกีฬาประจำปี ทำไมถึงดังพลุแตก? ชาวอเมริกันค่อนข้างให้ความสำคัญกับกีฬานี้เป็นอันดับหนึ่ง และการหาแชมป์ของกีฬาอันดับหนึ่งคงไม่ใช่แค่เรื่องจิ๊บจ๊อย จนเหมือนเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของพวกเขาเลยก็ว่าได้ การได้มารวมตัวกันในสเตเดี้ยม เพื่อดูกีฬากับครอบครัว พูดคุย ปาร์ตี้ ดูคุ้น ๆ