ท่ามกลางสมรภูมิการทำงานที่แต่ละบริษัทสู้รับกันอย่างดุเดือด มองเผิน ๆ แล้วเราอาจแบ่งบริษัทได้เป็นสองประเภทหลัก คือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพนักงานนับร้อยพ่วงมากับเงินทุนหลายล้าน ซึ่งดูเป็นบริษัทที่มั่นคงและค่อนข้างมีระเบียบ ในทางกลับกันก็มีบริษัทขนาดย่อมที่รวมพนักงานทั้งหมดแล้วยังไม่ถึงครึ่งแผนกของบริษัทแรก แต่สิ่งที่ได้เปรียบคือพนักงานจำนวนน้อยนิดนั้นทำงานเข้าขากันสุด ๆ แต่ถ้าจะให้วัดประสิทธิภาพการทำงานของทั้งสองบริษัทข้างต้น อาจตอบไม่ได้เต็มปากว่าบริษัทไหนจะเจ๋งกว่ากัน เพราะบริษัทใหญ่อาจไม่ได้เป็นต่อเสมอไป และการทำงานในบริษัทเล็กก็คงไม่ได้แปลว่าด้อยกว่าไปเสียทุกเรื่อง แล้วอยากรู้ไหมครับว่าการทำงานในบริษัทเล็กดีกว่าบริษัทใหญ่ตรงไหนกัน? ทีมเล็ก ๆ ก็แก้ไขปัญหาใหญ่ ๆ ได้ การทำงานในทีมเล็ก ๆ ไม่เพียงทำให้คนในทีมรู้จักสนิทสนมกันมากกว่าทีมใหญ่ หากยังช่วยให้มองเห็นทักษะของเพื่อนร่วมงานแต่ละคนได้อย่างใกล้ชิด พร้อมเรียนรู้และนำความสามารถของกันและกันไปแก้ปัญหาอย่างตรงจุด เมื่อต้องตัดสินใจแก้ปัญหาเรื่องอะไรสักเรื่อง ทุกคนในทีมเล็ก ๆ มีแนวโน้มจะเข้าใจและเห็นภาพตรงกันมากกว่าทีมใหญ่ ทำให้สามารถตัดสินใจเรื่องยากได้ดีขึ้นในขอบเขตเวลาที่สั้นลง ทุกคนโฟกัสในเรื่องเดียวกัน เมื่อคนเยอะ ปัญหาก็เยอะขึ้น และความคิดเห็นที่แตกต่างอาจนำมาสู่การถกเถียงกันไม่จบสิ้น กลับกันถ้าทีมของคุณมีเพียงไม่กี่คน พนักงานทุกคนคงจะโฟกัสการทำงาน การประชุม และทำให้หลาย ๆ ความคิดกลมเกลียวกว่าเดิม มีงานวิจัยด้านจิตวิทยาอ้างว่า เมื่ออยู่ในทีมที่มีขนาดเล็กลงจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละคนเพิ่มขึ้นตามมา เพราะถ้าทำงานในทีมใหญ่ ๆ ก็อาจไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็น และบางคนมักจะรู้สึกว่าตนไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น การสื่อสารที่ง่ายและราบรื่นกว่า การสื่อสารเป็นกำแพงพื้นฐานที่ทุกคนในบริษัทต้องทลายมันร่วมกัน เนื่องจากการทำงานที่ดีต้องอาศัยทักษะการสื่อสารที่เป็นระบบ ซึ่งการทำงานในทีมเล็ก ๆ ก็มีลักษณะแกมบังคับให้คุณต้องแสดงความคิดเห็นและสื่อสารกับคนในทีมแบบเลี่ยงไม่ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือทุกคนจะทำงานเข้าขากันมากขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของคนในทีมใกล้ชิดกันกว่าที่เคย และมีโอกาสที่ทุกคนในทีมจะรักใคร่ปรองดอง ตลอดจนเคารพซึ่งกันและกันมากกว่า
“คนเก่ง” คือประเภทคนที่ทุกองค์กรล้วนต้องการตัว เพราะเชื่อว่าคนเก่งนั้นจะเข้ามาเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เมื่อได้คนเก่งระดับพระกาฬมาร่วมงานกับองค์กรแล้วกลับไม่เป็นอย่างที่หวังเสมอไป เพราะคนเก่งนั้นอาจหาหาได้ แต่เพราะเก่งอยู่คนเดียวอาจยังไม่พอ แล้วเก่งแบบไหนถึงจะเรียกว่าเก่งแบบมีประสิทธิภาพ? เก่งแบบไหนถึงจะไม่เก่งอยู่ลำพัง แต่เก่งแล้วเติบโตไปพร้อมกับทีมและองค์กรได้? มาสำรวจคุณสมบัติคนเก่งในทีมของเรา หรือสำตัวเอง (หากเราคิดว่าเราเก่ง) ว่าเก่งอย่างมีประสิทธิภาพแล้วหรือไม่? ในวันที่สมรภูมิการทำงานและการแข่งขันทางธุรกิจดุเดือดแบบนี้ แค่เก่งคงไม่พอ และเก่งอยู่คนเดียวก็คงไม่รอด เก่งแล้วต้องสื่อสารรู้เรื่อง การสื่อสารถือเป็นสกิลสำคัญที่เชื่อมโยงคนทำงานไว้ด้วยกัน เพียงเสี้ยวเดียวที่สื่อสารผิดพลาดไป อาจทำให้อะไร ๆ ผิดแผนไปไกลโข ดังนั้นการได้คนเก่งมาทำงานกับองค์กรถือเป็นโอกาสอันดีไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ถ้าผสมสกิลการสื่อสารเข้าไปจะยิ่งเก่งอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าคนเก่งนั้นสามารถทำงานตัวได้เก่งกาจ แต่ไม่อาจอธิบายหรือสื่อสาร ส่งต่อให้กับทุกคนในองค์กรได้ โดยเฉพาะคนเก่งเฉพาะด้าน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องที่อาจมีคำศัพท์หรือความรู้เฉพาะแบบ ยิ่งต้องสื่อสารให้เข้าใจง่าย และอธิบายให้คนอื่นสามารถไปทำงานต่อหรือทำงานร่วมกันได้จริง สำหรับหนุ่ม ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน ลองศึกษาวิธีง่าย ๆ ได้ที่ เก่งและพูดรู้เรื่อง “5 วิธีพูดเรื่องยากให้คนอื่นเข้าใจง่าย”ไม่ใช่อธิบายเข้าใจอยู่คนเดียว เก่งแล้วต้องบริหารจัดการเวลาให้อยู่หมัด เพราะโลกทุนนิยมนั้นโหดร้าย ปริมาณงานไม่เพียงแต่ต้องมีคุณภาพดีเท่านั้น แต่ต้องแข่งขันกับเวลาอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะในยุคที่อินเทอร์เน็ตคือส่วนหนึ่งของชีวิต อะไร ๆ ก็ดูจะไหลไปเร็วเสมอ ทั้งในแง่การทำงาน และในแง่การปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปกับความบันเทิงผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ต ดังนั้น Time Management ถือเป็นอีกสกิลสำคัญแห่งทศวรรษ ที่ใครเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการตัวเองได้มีประสิทธิภาพกว่าก็สามารถเก่งได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าด้วยเช่นกัน
องค์กรจะรุ่งหรือร่วงอยู่ที่คนในองค์กร เพราะงานใหญ่ไม่เคยสร้างเสร็จด้วยคนเพียงคนเดียว ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะอัจฉริยะแค่ไหนก็ตาม องค์กรสายเทคฯ ระดับโลกอย่าง Google จึงให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม แต่ใช่ว่าทุกทีมจะทำได้เท่ากัน ดังนั้น การประเมินเพื่อหาทีมที่ดี โดดเด่น นำมาใช้เป็นกรณีตัวอย่างไว้เพื่อพัฒนาทีมอื่น ๆ ให้ขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเขาใส่ใจเสมอมา คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าที่ Google ไปได้ไกลเพราะคนในองค์กรเก่ง แต่ความจริงแล้วการรวมตัวของคนเก่งก็มีจุดอ่อนหลายอย่าง โดยเฉพาะกับการทำงานเป็นทีม หรือการคุมทีม คนเก่งหลายคนไม่ใช่หัวหน้าที่คุมทีมได้ดี และยิ่งเก่งมากบางคนอาจจะตกม้าตายเรื่องคุมทีมพลาดเพราะ Micromanage ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความตั้งใจดีอยากให้งานออกมาสมบูรณ์แบบเพอร์เฟกชั่นนิสต์ หรือความไม่เชื่อใจในทีมจนพยายามไปเจาะและจี้ทุกรายละเอียดก็ตาม สุดท้ายความหวังดีแบบนี้ทำให้การทำงานตึงเครียด ดับความคิดสร้างสรรค์ แถมทีมยังมีแนวโน้มจะดื้อเงียบไม่ยอมทำตามคำสั่งอีกด้วย คำถามวัดความเป็นผู้นำของ Google เพื่อวัดศักยภาพความเป็นผู้นำที่ดีซึ่งเป็นพื้นฐานของทีมเวิร์กที่ดี Google จึงออกแบบคำถามสำหรับสอบถามพนักงานเพื่อตรวจสอบ โดย 13 ข้อด้านล่างคือคำถามบางส่วนที่ใช้ประเมินคุณภาพทีมได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ผู้บังคับบัญชาของฉันให้ฟีดแบ็กเพื่อพัฒนาความความสามารถตัวเอง ผู้บังคับบัญชาของฉันไม่ทำตัวเป็น “Micromanage” ผู้บังคับบัญชาของฉันปฏิบัติกับฉันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ผู้บังคับบัญชาให้คุณค่าต่อความเห็นที่ฉันเสนอเพื่อทีม แม้มันจะแตกต่างจากความคิดของเขา ผู้บังคับบัญชามุ่งโฟกัสที่ผลลัพธ์และลำดับความสำคัญ ผู้บังคับบัญชาแบ่งข้อมูลที่ได้รับจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้รู้เสมอ ผู้บังคับบัญชาได้ตัดสินใจสิ่งที่มีความหมายต่อการพัฒนาเส้นทางอาชีพของฉันเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา ผู้บังคับบัญชาสื่อสารเป้าหมายที่ชัดเจนให้กับทีมของเรา ผู้บังคับบัญชามีความรู้ทางเทคนิค (เช่น การเขียนโค้ด, การขายในภาคธุรกิตระดับโลก