วันก่อนเราพูดถึงรุ่นพี่อย่าง Toyota Supra A80 “TRD 3000GT” Complete Car ไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งรุ่นที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน จิตวิญญาณจากรถแข่งที่ถูกแปลงเป็นรถบ้าน นั่นก็คือ Toyota MR2 “TRD 2000GT” แรร์ไม่ต่างกัน แต่มีความพิเศษที่ทำให้ครอบครองได้ยากยิ่งกว่าจากการเป็น Complete Car Conversion ที่ลูกค้าต้องนำรถตัวเอง (ในที่นี้คือ MR2 SW20) ส่งไปให้ TRD ทำการ “แปลงร่าง” ให้แบบจัดเต็มทุกมุม ตั้งแต่บอดี้ ช่วงล่าง ไปจนถึงภายในเครื่องยนต์ โดยที่ spec รถแต่ละคันจะแตกต่างกันไปตามความต้องการของลูกค้า ไม่มี TRD 2000GT ที่เหมือนกันเลยทั้ง 35 คัน Toyota MR2 TRD 2000GT พี่น้องร่วมตระกูลของ Supra TRD 3000GT มีจุดเริ่มต้นจากสนามแข่งรายการ Japanese GT-C เหมือนกัน แต่ด้านโครงสร้างนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ถ้าจะพูดถึงยุคทองของรถสปอร์ตญี่ปุ่น ไม่มีชื่อไหนโดดเด่นเท่า Toyota Supra โดยเฉพาะ gen 4 หรือรหัส A80 รถที่สามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่ามี Supra รุ่นนึงที่ไม่ใช่แค่หายาก แต่มันคือตำนานที่แทบไม่มีใครได้สัมผัสของจริง นั่นคือ “Toyota Supra TRD 3000GT” มันเกิดขึ้นในปี 1994 — ปีที่ Toyota หวังชัยชนะในรายการ Japan Grand Touring Car Championship (JGTC) ด้วยรถแข่งที่ใช้ Supra A80 เป็นพื้นฐาน แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งคันเพื่อลงแข่งในคลาส GT500 TRD ในฐานะฝ่ายพัฒนาแข่งของ Toyota เห็นโอกาสบางอย่างที่คนทั่วไปอาจมองไม่เห็น พวกเขาคิดว่า จะเป็นยังไงถ้านำสิ่งที่พัฒนา GT500 มาถ่ายทอดในรถ Supra ที่คนธรรมดาใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่แต่งหล่อให้ดูคล้ายรถแข่ง แต่เปลี่ยนมันทั้งคันให้กลายเป็นรถแข่งที่ขับบนถนนได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ TRD 3000GT รถที่ไม่ใช่แค่ติดชุดแต่ง TRD แต่มันถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างแท้จริง
ถ้าคุณคิดว่า McLaren F1 คือผู้เปลี่ยนเกมของ Le Mans ปี 1995 คุณคิดถูกครึ่งเดียว—อีกครึ่งคือผลสะเทือนที่กระตุ้น Porsche ให้ตื่นจากการหลับไหล พอ McLaren ขึ้นโพเดียม 1-2-3 ทั้งในคลาสและอันดับรวม Porsche ก็ประกาศลั่นว่า “พอแล้วกับการฝากรถแข่งไว้กับ Dauer ถึงเวลาสร้างรถของตัวเองอีกครั้ง” พวกเขาจึงสั่งให้ Norbert Singer วิศวกรตำนานของแบรนด์ สร้างรถใหม่จากศูนย์ โดยตั้งเงื่อนไขเดียวว่า ต้องยังเป็น 911 อยู่ในทางเทคนิค เขาจึงใช้ด้านหน้าของ 993 ผสมกับด้านท้ายของ 962 สร้างเฟรมใหม่แบบ mid-engine และวางเครื่องยนต์ flat-six twin-turbo 3.2 ลิตร 600 แรงม้า ไว้กลางลำใต้ฝา carbon fiber ที่โคตรล้ำ นี่คือกำเนิดของ 911 GT1 ตัวแข่ง GT1 เปิดตัว Le Mans
ถ้า Porsche 911 คือรากฐานของความสปอร์ตเยอรมันที่คลาสสิกไม่เปลี่ยนแปลง RUF CTR3 ก็คือรถที่ฉีกทุกกรอบนั้นทิ้ง แล้วสร้างคำตอบใหม่ขึ้นมาด้วยความเชื่อว่า “ของแท้ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร” CTR3 คือรถรุ่นแรกของ RUF ที่ไม่ได้ใช้โครงสร้างของ Porsche แบบเดิมอีกต่อไป แต่วางพื้นฐานใหม่ร่วมกับบริษัท Multimatic จากแคนาดา ทีมเดียวกับที่ผลิต Ford GT รุ่นใหม่ผู้ชนะ Le Mans เส้นสายของ CTR3 ยังคงกลิ่น Porsche แต่กล้ามชัดขึ้น ฐานล้อยาวขึ้น 11 นิ้ว กว้างขึ้นอีก 5 นิ้วเพื่อรองรับเครื่องยนต์วางกลางลำ มันดูใกล้เคียงกับ Carrera GT และ 918 Spyder มากกว่า 911 ที่เราคุ้นตา และมันก็ไม่ได้พยายามจะเป็นอะไรที่คุ้นเคยด้วย เครื่องยนต์ที่อยู่กลางลำคือบล็อก 3.8 ลิตร flat-six พื้นฐาน Porsche แต่ผ่านการอัปเกรดแบบจัดเต็มด้วยเทอร์โบคู่จาก KKK ให้แรงม้าสูงสุด 682
ลองจินตนาการดูว่า Yamaha แบรนด์ที่คุณน่าจะคุ้นจากมอเตอร์ไซค์ R-Series หรือเปียโนข้างบ้าน จู่ ๆ ประกาศว่าจะสร้าง ซูเปอร์คาร์กลางเครื่อง วางเครื่อง V12 แบบเดียวกับใน F1 ที่วิ่งได้บนถนนจริง ๆ — ใช่ครับ มันเกิดขึ้นจริง ในช่วงปี 1992 และชื่อของมันคือ OX99-11 ก่อนจะพูดถึง OX99-11 เราต้องเล่าก่อนว่า Yamaha คือ “เบื้องหลังความแรง” ของรถดังหลายรุ่น เช่น Toyota 2000GT (1967) รวมถึงสุดยอดแห่งความภาคภูมิใจ Lexus LFA กับเครื่อง V10 1LR-GUE – ผลงานที่ Yamaha มีส่วนร่วมทั้งเสียงและความบ้าคลั่ง พร้อมซาวด์ระดับเทพที่ใครได้ยินจะไม่มีวันลืม – คราวนี้ลองนึกภาพดูว่า ถ้าพวกเขาไม่แค่ “ช่วยออกแบบ” แต่ “สร้างทั้งคัน” จะเกิดอะไรขึ้น? ในช่วงปี 89’s Yamaha กระโจนเข้าสู่สนาม
เมื่อพูดถึง Ferrari F40 หลายคนอาจนึกถึงซูเปอร์คาร์ยุค 80s ที่เป็นไอคอนของความเร็วและดีไซน์เหนือกาลเวลา แต่หากคุณเป็นนักสะสมตัวจริงหรือแฟนพันธุ์แท้ของ Ferrari คุณจะรู้ว่ามีเวอร์ชันที่หายากและทรงพลังยิ่งกว่าเดิม นั่นคือ Ferrari F40 LM ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนามแข่งโดยเฉพาะ จากถนนสู่สนามแข่ง Ferrari F40 เดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีของ Ferrari ในปี 1987 และเป็นรถรุ่นสุดท้ายที่ได้รับการอนุมัติจาก Enzo Ferrari โดยตรง แต่เวอร์ชัน F40 LM (Le Mans) ถูกปรับแต่งใหม่โดยทีมพัฒนาของ Michelotto เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในรายการ IMSA GT และ Le Mans 24 Hours ความแรงระดับสนามแข่ง สิ่งที่ทำให้ F40 LM โดดเด่นเหนือกว่า F40 รุ่นมาตรฐานคือการอัปเกรดเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ขนาด 2.9 ลิตร ที่เพิ่มพลังจาก
ในยุคที่เทคโนโลยีและสไตล์ต้องมาพร้อมกัน เวสป้าพร้อมที่จะนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับด้วย Vespa Sprint Tech 150 i-Get ABS ยานพาหนะที่ผสานความคลาสสิกเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์ที่โดดเด่นในด้านการดีไซน์ เวสป้าไม่เคยหยุดที่จะพัฒนา Vespa Sprint Tech รุ่นใหม่นี้จึงเป็นการผสานเทคโนโลยีเข้ากับความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของเวสป้าดีไซน์ที่สะกดทุกสายตา ดีไซน์ที่สะกดทุกสายตา โฉมใหม่ของ Vespa Sprint Tech 150 i-Get ABS มาพร้อมการผสมผสานสีที่สื่อถึงความทันสมัย ด้วยโทนสีดำ Black Convinto (Matt) สีเทา Grey Entusiasta และจุดเด่นด้วยสีเขียวฟลูออเรสเซนต์ที่เพิ่มความมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ส่วนไฟ LED ดีไซน์ใหม่บนแผ่นบังโคลนทั้งสองข้างไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังสร้างความโดดเด่นในทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการกดปุ่ม “ค้นหารถ” หรือขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ หน้าจอ TFT ก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วยหน้าจอ TFT ขนาด 5 นิ้ว ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในทุกสภาวะ ด้วยการแสดงผลสีคมชัดทั้งในโหมดกลางวันและกลางคืน พร้อมฟังก์ชันอัจฉริยะที่ช่วยให้การเดินทางของคุณสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยเเชื่อมต่อกับ Vespa MIA** และ Vespa
แล็ปท็อปยอดนิยมของโลกมาพร้อมความคุ้มค่ายิ่งกว่าที่เคยด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้น, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานสูงสุด 18 ชั่วโมง, กล้อง 12MP Center Stage และการรองรับจอภาพภายนอกที่ดีกว่าเดิม ทั้งหมดนี้มาในดีไซน์ที่ทั้งบางเฉียบและเบาสุดๆ เบา เล็ก และแรงสุด ๆ เหมาะกับคนที่ต้องพก laptop ติดตัวเป็นประจำ MacBook Air ใหม่ที่มาพร้อมด้วยประสิทธิภาพที่เร็วสุดขั้วของชิป M4 แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานสูงสุด 18 ชั่วโมง กล้อง 12MP Center Stage ใหม่ และราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังรองรับจอภาพภายนอกสูงสุด 2 จอ นอกเหนือจากจอภาพในตัว, หน่วยความจำแบบรวมเริ่มต้น 16GB และความสามารถอันน่าทึ่งของ macOS Sequoia พร้อม Apple Intelligence ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในดีไซน์ที่ทั้งบางเฉียบและเบาสุดๆ ซึ่งสร้างมาให้ใช้งานได้ยาวนาน ตอนนี้ MacBook Air ใหม่ยังมาในสีใหม่อย่างสีสกายบลู หรือสีฟ้าอ่อนแบบเมทัลลิก ซึ่งเมื่อนับรวมกับสีมิดไนท์ สีสตาร์ไลท์ และสีเงิน ก็จะกลายเป็นชุดสีสำหรับ MacBook Air
นี่คือรถยนต์สไตล์ Wagon ที่เหมือนกับออกแบบตัวถัง 5 ประตูเป็นหลัก ก่อนจะปรับลดเป็นตัวถังซีดาน เปิดตัวขวัญใจพ่อบ้าน generation ใหม่ล่าสุด 2025 Audi A6 Avant ที่กำลังอยู่ในช่วงมึนงงสับสนกันทั้งค่าย ไม่ว่าจะเป็นทิศทางรถ EV หรือแม้แต่ชื่อรุ่น จากเดิมที่จะถูกปรับชื่อรุ่นเป็น A7 Avant ตามแนวทางการตั้งชื่อยุคใหม่ที่วุ่นวายของ Audi แต่สุดท้ายตัวแบกของค่ายก็ได้ขอยกเว้นในการใช้รหัส A6 Avant เหมือนเดิม วางขายคู่กับ A6 E-Tron Avant ขุมพลังไฟฟ้า ซึ่งมีดีไซน์ที่แตกต่างกันชัดเจน (เดิมทีแนวทางตั้งชื่อใหม่ รุ่นเลขคี่ A3, A5, A7 จะใช้สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ ICE ส่วนเลขคู่ A4, A6, A8 จะใช้สำหรับ all-electric model) ลืมเรื่องความวุ่นวายของชื่อรุ่น Audi ไปก่อน มาโฟกัสกันที่ความน่าสนใจของ A6 C9 กันดีกว่า – ดีไซน์เน้นความ
นับตั้งแต่วินาทีที่ Honda เปิดตัว mid-engine NSX เครื่องยนต์ all-aluminium 3.0L V6 พร้อมระบบ VTEC (Variable Valve Timing and Lift Electronic Control) ออกมาในปี 1989 ก็กลายเป็น new iconic supercar ไปพร้อม ๆ กับ Ayrton Senna ทำตลาดมายาวนานถึง 15 ปีโดยมีรุ่นพิเศษออกมามากมาย แต่ที่พิเศษและโหดที่สุดก็คือ The RR concept ซึ่ง Honda ได้เปิดทางให้ Mugen tuner คู่บุญของ Soichiro Honda ลูกชายท่านประธานเป็นคนสร้างอย่างไร้ขีดจำกัด 2009 Mugen RR concept ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 20 ปีให้กับ NSX โดยเปิดตัวออกมาสี่ปีหลังจาก NSX