สองแบรนด์สเก็ตบอร์ต Vans และ Supreme โคจรกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง โดยพวกเขาเตรียมปล่อยคอลเลกชัน Fall/Winter ประจำปี 2019 ออกมาร่วมกันนำทีมโดยรองเท้าโมเดลสุดเก๋าอย่าง SK8-Hi Pros และลวดลายกราฟิกที่เคยใช้ใน FW14 หลังทั้งสองค่ายปล่อยคอลแลปส์คอลเลกชันชุดล่าสุดของตัวเองเรียบร้อย โดย Supreme ร่วมคอลแลปส์กับ Nike SB Dunk Low ส่ในขณะที่ Vans Fox Racing ก็ร่วมกับ Honda เปิดตัวคอลเลกชันไปได้ไม่นาน แต่ทั้งสองยังเดินหน้าเขย่าวงการอย่างต่อเนื่องด้วยการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง หลังร่วมงานกันในคอลเลกชัน Spring/Summer 19 ซึ่งคราวนั้นเลือกรองเท้าโมเดล SK8-Hi ที่มาในอาร์ตเวิร์กของศิลปินชาวญี่ปุ่น Sekintani La norihiro แต่ในคอลเลกชันล่าสุดพวกเขาเลือกใช้โมเดล SK8-Hi Pros มาละเลงไอเดียแทน SK8-Hi Pros ในคอลเลกชัน Supreme x Vans ประกอบไปด้วยรองเท้า 3 สีได้แก่ Elegant Black, Navy/Yellow และ
ผู้ชายหลายคนในโลกนี้มีความคิดว่า สรีระของหญิงสาวที่ซ่อนอยู่ภายใต้เครื่องแต่งกายเป็นความสวยงามทางธรรมชาติ น่ามอง และเต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่ภายใต้ทรวงอกที่ใครหลายคนหลงใหลก็มีปัญหาด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้แบรนด์รองเท้าชื่อดังอย่าง Vans ขอเป็นตัวแทนบอกเล่าปัญหาดังกล่าวในแบบของตัวเอง ไอเทมแฟชั่นคอลเลกชันนี้ของ Vans ที่ว่าด้วยหน้าอกของหญิงสาว ไอเดียดังกล่าวเกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของ Vans กับ CoppaFeel! องค์กรของประเทศอังกฤษ เพื่อให้ชายหญิงตระหนักถึงปัญหามะเร็งเต้านมที่ใครหลายคนมองข้าม แต่ถ้าจะมานั่งเล่าให้ผู้ชายพาแฟนไปตรวจหน้าอกที่โรงพยาบาลก็คงจะน่าเบื่อจนไม่มีใครฟัง Vans จึงทำให้ผู้คนตระหนักด้วยศิลปะอาร์ต ๆ บนเครื่องแต่งกายแทน คอลเลกชันหน้าอกของหญิงสาวจาก Vans บอกเล่าผ่านศิลปะบนไอเทมหลากหลาย เช่น รองเท้า 3 แบบของแบรนด์ทั้ง Sk8-Hi, Slip-On, Era รองเท้าแตะ เสื้อเชิ้ต ฮู้ด เสื้อยืด หมวก และกระเป๋าเป้สะพายหลัง โดยจะใช้ลายกราฟิกหน้าอกของผู้หญิงแต่งแต้มอยู่ในไอเทมต่าง ๆ รองเท้าหุ้มข้อสีดำตัวชูโรงของคอลเลกชัน ประทับลวดลายของหญิงสาวสัญชาติต่าง ๆ ทั้งสาวผิวขาวผมทอง สาวผิวแทนผมดำ สาวเอเชีย และผู้หญิงผิวสีเพื่อความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์ หญิงสาวทุกคนในภาพจะเปลือยอก บางคนก็เอามือมาปิดป้องหน้าอกบ้าง เพื่อเน้นย้ำถึงคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมที่เท่แถมยังไม่น่าเบื่อ รองเท้าผ้าใบอีกสามคู่ทั้งก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันลวดลายเท่ ๆ ด้วยเช่นกัน อย่างรองเท้าจะเป็นช่องสี่เหลี่ยมสีครีมและสีส้มแดง คล้ายกับว่าสี่เหลี่ยมทั้งหมดบนรองเท้าคือการเบลอเพื่อเซนเซอร์หน้าอกของผู้หญิง
ถ้าพูดถึงดีไซเนอร์หญิงเท่ที่แสนจะเป็นตัวของตัวเองหลายคนคงนึกถึงดีไซเนอร์มากมายไม่ว่าจะเป็น Coco Chanel หรือ Elsa Schiaparelli ที่โดดเด่นด้วยการดึงศิลปะแบบเซอร์เรียลมาผสมกับการออกแบบเสื้อผ้า และแน่นอนว่าจะต้องมีชื่อของ Vivienne Westwood คุณป้าสายพังก์อยู่ในวงสนทนาด้วยอย่างแน่นอน บางคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสับสนว่าดีไซเนอร์หญิงสุดแนวเกี่ยวอะไรกับ UNLOCKMEN และรองเท้าผ้าใบยี่ห้อ Vans เหตุผลเพราะในปีนี้เธอลงมาลุยตลาดสนีกเกอร์มากขึ้นและได้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชื่นชอบรองเท้าทั้งชายหญิงด้วยการ collaboration กับ Vans เกิดเป็นคอลเลกชันพิเศษชื่อว่า Anglomania ในแต่ละปี Vans ถือเป็นแบรนด์สนีกเกอร์ที่ร่วมสร้างสรรค์ผลงานกับแบรนด์อื่น ๆ รวมถึงเหล่าดีไซเนอร์และเซเลบฯ ชื่อดังมากมาย แต่ครั้งนี้สิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจคือการจับมือกับ Vivienne Westwood ดีไซเนอร์ที่ไม่เคยอยู่ในกรอบของสังคม ผู้นำสไตล์พังก์มาปรับให้โมเดิร์นและเท่เกินกว่าใคร และกลายเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ผู้ทรงอิทธิพลของโลก Vivienne เชื่อว่าเครื่องแต่งกายสามารถบ่งบอกสไตล์และเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนได้ รองเท้าทั้งหมด 6 คู่ จากคอลเลกชัน Anglomania (การคลั่งไคล้วัฒนธรรมอังกฤษ) จึงถอดแบบตามความหมายออกมาได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยนพร้อมกับผสมสไตล์พังก์แบบอังกฤษของตัว Vivienne เองด้วย เริ่มจาก Sk8-Hi รองเท้าหุ้มข้อที่อยู่กับ Vans และวงการสเกตบอร์ดมาอย่างยาวนาน ในคอลเลกชันนี้จะมีรองเท้าหุ้มข้อสองสีมาให้เลือก ทั้งสีดำคมเข้มกับสายเข็มขัดหนังแบบกว้างสีครีมที่อยู่บริเวณเหนือเท้า ดำไปจนถึง midsole แต่ป้ายของ Vans
ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อนในวันที่ 13 ตุลาคม 1993 ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง The Nightmare Before Christmas ออกฉายเป็นครั้งแรก และจากวันแรกจนถึงปัจจุบัน การ์ตูนเรื่องดังกล่าวก็กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์สุดคลาสสิกที่ควรเก็บไว้ดูทุกวันคริสต์มาสไปเสียแล้ว The Nightmare Before Christmas เล่าถึงโลกในจินตนาการของเบอร์ตัน เมื่อแต่ละเทศกาลของโลกมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง อย่างวันหยุดคริสต์มาสก็มีเมืองคริสต์มาส วันฮัลโลวีนกลายเป็นเมืองฮัลโลวีน แต่ละเมืองก็มีเรื่องราวที่แตกต่าง มีสภาพแวดล้อมยึดตามเทศกาล แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อผู้ปกครองเมืองฮัลโลวีนนามว่า Jack Skelllington เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายความซ้ำซากจำเจของเมืองที่ตัวเองอยู่ หลงไปยังเมืองคริสต์มาสซึ่งอบอวลไปด้วยมวลความสุข เมื่อคนต่างเมืองได้มาพบเจอความแตกต่างทางวัฒนธรรม จากเมืองอึมครึมตลอดเวลามาสู่เมืองที่ประดับประดาด้วยลูกบอลสี บรรยากาศรื่นเริง ผู้คนเต็มไปด้วยความยินดีกับเทศกาลแห่งครอบครัว Jack เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่พบเจอกลับมายังเมืองฮัลโลวีนของตน เดิมทีสารพัดผีชาวเมืองจะพากันออกไปหลอกคนในวันปล่อยผี ก็อยากเปลี่ยนให้ภูตผีออกไปแจกของขวัญให้เด็ก ส่วน Jack ก็อยากจะแย่งงานของซานตาคลอสมาทำเอง แต่เมื่อความเคยชินของภูตผีปีศาจที่หลอกคนมาตลอดเปลี่ยนมาเป็นผู้ให้แสนใจดี จึงทำให้เทศกาลคริสต์มาสครั้งนี้วุ่นวายกว่าครั้งไหน ๆ ด้วยเรื่องราวของ The Nightmare Before Christmas แสนคลาสสิกกับความนิยมจากปี 1993 ที่สั่งสมมาถึงวันนี้และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้แบรนด์รองเท้าชื่อดังอย่าง Vans สนใจอยากนำความสนุกสนานภายในเรื่องมาอยู่บนรองเท้าผ้าใบคอลเลกชันพิเศษ The Nightmare
ไม่นานมานี้ Vans ออกรองเท้าคอลเลกชันพิเศษ Harry Potter เอาใจผู้ชื่นชอบเรื่องราวของโลกเวทมนตร์ และหลังจากที่ปล่อยข่าวออกมาได้เกือบเดือนและเหล่ามักเกิ้ลก็คาดเดาวันวางจำหน่ายรองเท้าคอลเลกชันนี้กันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็เดาว่าจะวางจำหน่ายในวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเกิดของ J.K.Rowling และ Harry Potter แต่แท้จริงแล้ววันวางขายรองเท้าไม่ไกลอย่างที่คิด รองเท้า Sk8-Hi หุ้มข้อสีแดงลายทางสลับสีทอง ตัวแทนของสิงห์คำรามแห่งบ้านกริฟฟินดอร์ สีแดงและสีทองที่เข้ากันถูกตัดด้วยยางสีขาวตรงพื้นรองเท้า รวมถึงสีดำบริเวณด้านหน้าและรายละเอียดเล็ก ๆ ตรงด้านหลัง ประกอบกับเชือกรองเท้าสีดำที่เพิ่มความรู้สึกมั่นคง กล้าหาญตามแบบกริฟฟินดอร์ ตรงลิ้นรองเท้าและด้านข้างของสนีกเกอร์ก็ไม่ลืมประทับตราสัญลักษณ์ราชสีห์คำรามเอาไว้ด้วย เมื่อมีเรื่องราวของบ้านกริฟฟินดอร์แล้วก็ต้องตามมาด้วยบ้านสลิธีรินผู้เป็นคู่กัดตลอดกาล ในครั้งนี้ Vans หยิบสัตว์ร้ายในตำนานที่เป็นสัญลักษณ์ของบ้านสลิธีรีนอย่างบาซิลิสก์ที่อาศัยอยู่ในห้องแห่งความลับมาเป็นตัวชูโรงให้กับรองเท้าผ้าใบ หนังสีดำบริเวณด้านหน้าและบริเวณส้นรองเท้าด้านหลังถูกออกแบบให้คล้ายกับเกล็ดงู ส่วนตรงกลางใช้สีเขียวซึ่งเป็นสีประจำบ้านสลิธิรีนมาทำลวดลายคล้ายกับหนังของสัตว์เลื้อยคลาน และตัดสีเขียวด้วยเชือกรองเท้าสีดำที่มาพร้อมกับตราสัญลักษณ์บ้านสลิธีรินตรงลิ้นรองเท้า บ้านฮัฟเฟิลพัฟจะมากับรองเท้ารุ่น Classic Slip-On ด้วยดีไซน์และสีอาจทำให้บางคนอาจมองว่าเรียบเกินไป แต่ด้วยความเรียบจะทำให้ตราสัญลักษณ์ตัวแบดเจอร์ตรงกลางรองเท้าโดดเด่นยิ่งขึ้น อีกทั้งสีสุดคลาสสิกอย่างสีดำและสีเหลืองที่เป็นสีประจำบ้านของฮัฟเฟิลพัฟ ส่งให้รองเท้าเล่าคุณสมบัติของเด็กฮัฟเฟิลพัฟไปในตัว เพราะเด็ก ๆ ในบ้านนี้ก็เก่งกาจมากความสามารถไม่แพ้ใครแต่จะไม่ทำตัวโดดเด่นและป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่าฉันน่ะเจ๋ง เรเวนคลอที่โดดเด่นเรื่องไหวพริบและมันสมองที่หลักแหลม กับประโยคคำขวัญบอกตัวตนอย่าง เชาวน์ปัญญาเหนือคณานับ คือขุมทรัพย์มหาศาล ที่บอกให้รู้เลยว่าสติปัญญาคือสิ่งที่เด็ก ๆ บ้านเรเวนคลอจะต้องมีมากกว่าคนอื่น เรื่องราวและสีประจำบ้านที่เปรียบเหมือนตัวแทนความเฉลียวฉลาดของฮอกวอตส์จึงอยู่บนรองเท้ารุ่น Authentic
ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและการสื่อสาร ความคิดแหกคอกและความขบถของเด็กหนุ่มมักถูกหยิบขึ้นมาเล่าเป็นสีสันอยู่บ่อยครั้ง ครั้งนี้แบรนด์รองเท้าชื่อดังอย่าง Vans ก็เลือกหยิบเรื่องราวน่าสนใจจากหลายยุคสมัยมาสร้างความเท่ที่เต็มไปด้วยความขี้เล่นในคอลเลกชัน Galactic Goddess รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ Sk8-Hi และ Authentic ในคอลเลกชันนี้เต็มไปด้วยลายเส้นขยุกขยิกบนรองเท้า แต่ละลวดลายต่างมีเรื่องราวของตัวเองไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์สันติภาพที่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องให้อังกฤษปลดอาวุธปรมาณู ต่อมาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่กลุ่มฮิปปี้นำไปติดรถตู้หรือนำไปวาดตามสถานที่เพื่อแสดงความต่อต้านสงครามและต้องการสันติภาพ นอกจากนี้ยังมีประโยค “One with the universe” เราคือหนึ่งเดียวกับจักรวาล และ “Made of Stardust” หรือเราทุกคนล้วนถูกสร้างมาจากละอองของดวงดาว ก็ถือว่าเป็นประโยคที่ซ่อนความคลาสสิกและโรแมนติกเอาไว้ รูปหัวกะโหลกพร้อมกับกระดูกขาวสองชิ้นไขว้กันอยู่ด้านล่าง สัญลักษณ์ที่สื่อถึงความตายที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคกลาง ประกอบกับดวงอาทิตย์ตรงด้านหลังของรองเท้า และดวงดาวน้อยใหญ่ ทั้งหมดถูกแสดงออกผ่านลายเส้นสไตล์กราฟิตี้ซึ่งเป็นวัฒนธรรมนอกกระแส เปรียบดั่งความขบถของเหล่าวัยรุ่น ที่ให้ความรู้สึกแสบ ๆ กวน ๆ เวลาได้ขีดเขียนตามกำแพงตามใจ คล้ายกับว่ากำลังท้าทายอำนาจของรัฐหรือผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจ สลับกับลายตารางของหมากรุกที่เป็นสัญลักษณ์ของความคลาสสิกตลอดกาลด้วยสีม่วง น้ำเงิน และสีดำ บริเวณด้านหน้าของ outer sole จะมีเส้นสีนำ้เงินและสีดำกลับกันเป็นลายทาง ส่วนด้านข้างและด้านหลังจะแต้มด้วยจุดสีเหลืองแบบไม่ได้ตั้งใจ คล้ายกับว่านำพู่กันไปจุ่มสีและมาจุดบนรองเท้า และตรง counter ก็ไม่ลืมที่จะประทับสัญลักษณ์ของแบรนด์ด้วยสีแดงโดดเด่น ลวดลายทั้งหมดและสไตล์การแต่งแต้มสีสันสามารถบอกเล่าช่วงเวลาแห่งวัยรุ่น การคิดนอกกรอบและความแสบซ่าไม่ฟังใครผ่านสัญลักษณ์ต่าง ๆ และสีสันที่สดใส ทำให้รองเท้าผ้าใบ Galactic
สำหรับผู้ชื่นชอบแนวเพลงแกลมร็อก คงไม่มีใครไม่รู้จัก David Bowie ชายที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วยสไตล์และบทเพลงที่โดดเด่นยากจะหาใครเหมือน ด้วยผลงานระดับตำนานของเขาทำให้ Vans ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวของ David Bowie ผ่านรองเท้าสี่แบบของแบรนด์ที่มีสไตล์แตกต่างกัน จนเกิดเป็นรองเท้ารุ่นลิมิเต็ดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงและอัลบั้มของเจ้าพ่อแห่งวงการแกลมร็อก ถ้าพูดถึงเจ้าพ่อแนวเพลง Glam Rock ก็ต้องนึกถึง David Bowie ศิลปินแกลมร็อกที่ทั่วโลกยกย่องถึงความสามารถและที่มีแนวทางเด่นชัดในแบบของตัวเอง เป็นชายที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและดนตรี มีบทบาทมากต่ออุตสาหกรรมดนตรีและโลกของแฟชั่น ด้วยการฉีกทุกกฎของยุคสมัย ทำให้รองเท้าทั้ง 4 คู่ ที่ดีไซน์ตามอัลบั้มของเขาโดดเด่นด้วยสไตล์ที่ไม่ซ้ำกัน Space Oddity (1969) รองเท้าคู่แรกคือผ้าใบสีฟ้าสดใส ถ่ายถอดบทเพลงแจ้งเกิดของของ David Bowie อย่าง Space Oddity จากปี 1969 เมื่อเห็นรองเท้าก็ชวนให้หวนคิดถึงวันเก่าก่อนได้เป็นอย่างดี ทั้งการแต้มจุดสีฟ้าลงบนพื้นรองเท้าสีเขียวไล่ระดับจากเข้มไปอ่อนเหมือนกับปกอัลบั้มแรกของเขาไม่ผิดเพี้ยน จากนั้นจึงใช้สีดำของเชือกรองเท้าและพื้นยางตัดกับสีรองเท้าสีสันสดใสเพื่อขับให้รองเท้าโดดเด่น พร้อมประทับความว่า SPACE ไว้ด้านข้าง ระลึกถึงห้วงอวกาศอันเป็นแรงบันดาลใจของบทเพลงนี้ Hunky Dory (1971) รองเท้าคู่ถัดมาในคอลเลกชันนี้ยังคงคอนเซปต์สีสันสดใส นำเสนอเรื่องราวจากอัลบั้มที่สอง Hunky Dory ในปี
หลังจากที่ Vans เพิ่งเปิดตัวรองเท้ารุ่นล่าสุดอย่าง Anaheim Factory Pack ไปหมาด ๆ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา Vans ก็ไม่ปล่อยเวลาเว้นว่างให้เหล่าสาวกได้หยุดพักหายใจ เตรียมส่งคอลเลกชันใหม่ออกมา แถมใคร ๆ ต่างก็จับตามองด้วยการคอแลปส์กับวงร็อกชื่อดังเกิดเป็น Vans x Led Zeppelin การ collaboration ระหว่าง Vans และ Led Zeppelin เกิดขึ้นได้เพราะแบรนด์รองเท้าชื่อดังอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองครบรอบการเปิดตัวอัลบั้มแรกของวงระดับตำนานเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ด้วยการออกแคปซูล Limited Edition ในจำนวนจำกัด Led Zeppelin คือวงดนตรีร็อกจากเกาะอังกฤษที่เริ่มตั้งแบรนด์ในปี 1968 เป็นวงดนตรีที่ได้รับการยอมรับในวงการเพลงว่าเป็นวงดนตรีเฮฟวีเมทัลวงแรก ๆ ของอังกฤษที่ประสบความสำเร็จพร้อมกับผลงานเพลงคุณภาพ ที่การันตีฝีมือได้จากยอดขายอัลบั้มกว่า 300 ล้านแผ่นทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีรางวัลสารพัดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นตำนานวงร็อกระดับโลกทั้งการคว้าอันดับหนึ่งวงดนตรีร็อกยอดเยี่ยมจาก VH1 และได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Rolling Stone ว่าเป็นวงดนตรีเฮฟวี่ดีที่สุดตลอดกาลและยิ่งใหญ่ที่สุดในทศวรรษ 1970 ทั้งหมดคือเหตุผลที่ทำให้ Vans ออกแคปซูลพิเศษเพื่อแสดงความนับถือต่อ Led Zeppelin ภายในแคปซูลคอลเลกชันพิเศษ Vans
เดินทางเข้าสู่ปีที่ 90 แล้วสำหรับ Mickey Mouse ตัวการ์ตูน Iconic ซึ่งแน่นอนว่าต้องเคยผ่านตาผู้ชายอย่างเรากันมาบ้างในวัยเด็ก แต่ที่สำคัญกว่าคือในวาระนี้ มีการทำงานร่วมกันระหว่าง 2 จิตวิญญาณลูกผู้ชาย หนึ่งคือ Vault by Vans และอีกหนึ่งคือ Disney โดยใช้การเล่าเรื่องผ่านศิลปินชื่อดัง 4 คน แถมเลือกใช้รองเท้า Signature High-Top อย่าง Vans OG SK8- Hi LX เป็นโมเดลหลักอีกด้วย ไปดูกันว่าคอลเลกชันไหนของใครจะโดนใจกันบ้าง x John Van Hamersveld ขาใหญ่วงการกราฟิกดีไซน์ตั้งแต่ยุค 60’s ผู้เคยออกแบบปกอัลบั้มให้กับศิลปินในตำนานอย่าง Jimi Hendrix, The Rolling Stone และยังทำงานเกี่ยวกับแวดวงดนตรีอีกมากมาย เขาเป็นเหมือนตัวแทนกราฟิกตี้ของชาวแคลิฟอร์เนียตอนใต้ โดยผลงานที่โดดเด่นคือการใช้สีสันเป็นตัวแทนอารมณ์การแสดงออก ผสมผสานความสดใสของการเล่นเซิร์ฟและดนตรี งานออกแบบครั้งนี้เขาแสดงมันผ่านตัวการ์ตูน Mickey Mouse แทนกลุ่มคลื่นที่พวกเราคุ้นเคย x Mark
“Carr Fire” หรือสถานการณ์ไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย ถือเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างหายนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่ง โดยขณะนี้เปลวเพลิงได้โหมพัดทำลายล้างสร้างความเสียหายกินพื้นที่เป็นวงกว้างกว่า 100,000 เอเคอร์ บ้านเรือนอีกกว่า 1,500 หลัง ส่งผลให้มีผู้อพยพและไร้ที่อยู่หลายหมื่นราย เป็นภัยธรรมชาติขาประจำย่านนี้ก็ไม่ผิด ซึ่งเราแค่เห็นภาพก็พอจะจินตนาการความเซ็งของผู้คนแถวนี้ได้ หลายองค์กรยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติครั้งนี้ แต่ที่น่าสนใจเพราะหนึ่งในนั้นคือ Vans แบรนด์สเก็ตบอร์ดขวัญใจผู้ชายทั่วโลก ซึ่งได้รับคำสั่งตรงจากทายาทของผู้ก่อตั้ง Steve Van Doren ให้จัดรถบรรทุกแพ็คของเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อที่ได้รับผลกระทบ ประกอบไปด้วยรองเท้า 2,500 คู่ ร่วมทั้งเสื้อผ้าและหมวกรวมกันกว่า 2,000 ชิ้น โดยพี่ Steve ของเราได้ฝากข้อความไปด้วยว่า “เราคิดว่าผู้คนคือหัวใจหลักของบริษัท เรามีร้านค้ามากมายอยู่ในแคลิฟอร์เนีย ดังนั้นเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น เราก็ต้องรีบตอบแทนชุมชนกลับคืนไปทันที” สาเหตุหลักมาจากความผูกพันระหว่าง Vans และผู้คนใน Cali ซึ่งมีมาอย่างยาวนาน ย้อนไปตั้งแต่วันที่พี่น้อง Van Dolen ตัดสินใจตั้งฐานการผลิตแห่งแรกขึ้นในแคลิฟอร์เนีย รวมถึงในปี 1977 พวกเขาใช้แคลิฟอร์เนียเป็นแหล่งตีตลาดแข่งขันกับ Converse และ Adidas โดยใช้ Skateboard God ในยุคแรกอย่าง Tony Alva