คอลเลกชันภาพถ่ายชุดนี้เป็นฝีมือของ Jeff Luker ช่างภาพชาวอเมริกันที่เติบโตมาจากฟาร์มเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของรัฐ Massachusetts โดยได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตวัยเด็กของเขาที่เงียบสงบ โลดแล่นอยู่ในอ้อมกอดแห่งธรรมชาติ แตกต่างจากชีวิตปัจจุบันที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่อย่าง Boston New York และ Portland เขาอยากกลับไปสัมผัสสิ่งเหล่านั้นอีกครั้ง จึงตัดสินใจสะพายกล้องออกเดินทางไปทั่วแผ่นดินอเมริกา พร้อมความตั้งใจที่อยากจะบันทึกทุกอย่างที่เขาเห็นออกมาเป็นรูปถ่าย “ผมชอบความรู้สึกที่ตัวเองอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ผมไม่รู้จัก…มีคาวบอยออกมาร่ายเวทมนตร์ในถนนที่โดดเดี่ยว” – Jeff Luker นี่คือการเดินทางของ Jeff ที่เขาบันทึกมันมาในรูปแบบภาพถ่าย เชื่อว่าใครหลายคนรวมถึงเราด้วยหลังจากได้ดูรูปพวกนี้แล้วคงรู้สึกว่าห้องที่อยู่มันเล็กเกินไป อยากสะพายกล้องออกท่องโลกแบบนี้บ้าง เป็นคอลเลกชันภาพถ่ายที่สร้างแรงบันดาลใจได้มหาศาล แล้วเจอกันเมื่อพร้อมนะ…โลกที่เรายังไม่รู้จักดี SOURCE1
วงการถ่ายภาพต้องพบกับความสูญเสียอีกครั้ง เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ ช่างภาพชื่อดังอย่าง Michael Wolf เสียชีวิตลงด้วยวัย 64 ปี ถึงแม้จะจากไปแต่เขาก็ได้ทิ้งสุดยอดผลงานภาพถ่ายที่ให้แง่คิดมุมมองไว้บนโลกใบนี้ UNLOCKMEN ขอร่วมรำลึกถึงเขาด้วยผลงานเขาที่สร้างชื่อไปทั่วโลก Michael Wolf ช่างภาพชาวเยอรมันที่เดินทางไปทั่วทั้งเอเชียเพื่อเก็บภาพทุกมุมเมืองไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ฮ่องกง ผลงานของเขาขึ้นชื่อเรื่องการภ่ายภาพของตึกรามบ้านช่องและวิถีชีวิตในชุมชนที่สะท้อนสภาพสังคมปัจจุบันได้เด่นชัด Architecture of Density Architecture of Density ถ่ายทอดความแออัดของชุมชนเมืองในเกาะฮ่องกงผ่านภาพถ่ายที่มีเส้นสายมากมายนับไม่ถ้วน กราฟิกของแต่ละภาพคุมโทนสีสันให้ไปในทิศทางเดียวกัน รูปทรงเรขาคณิตที่แม่นยำ แต่ภาพของเขากลับให้ความรู้สึกสงบนิ่งทั้งที่เห็นเพียงแค่ตึกเท่านั้น เขาตัดทอนทั้งส่วนท้องฟ้าส่วนบนและพื้นส่วนล่างออกไปเพื่อให้คนดูจดจ่ออยู่กับตึกที่มีห้องมากมาย สะท้อนรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่ไม่มีวันจบสิ้น แม้ภาพของเขาถูกเปรียบเทียบกับภาพของ Andreas Gursky และ Candida Höfer แต่ผลงานของเขาสื่อให้เห็นถึงมุมมองหลายอย่าง รวมถึงองค์ประกอบศิลป์ที่เป๊ะกินขาดทำให้คอลเลกชันภาพถ่าย Architecture of Density ของเขาสามารถคว้าแชมป์จากเวที World Press Photo 2014 ได้สำเร็จ 100×100 คอลเลกชัน 100×100 เริ่มต้นขึ้นในปี 2006 Michael Wolf ตระเวนเคาะห้องของผู้อยู่อาศัยในตึก Shek
ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของญี่ปุ่นนับตั้งแต่ปี 1989 อย่างการเปลี่ยนยุคสมัยจากเฮเซย์มาเป็นเรวะที่จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤษภาคมของปีนี้ ส่งผลให้สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะพร้อมด้วยพระจักรพรรดินีมิชิโกะเสด็จพระราชดำเนินไปยังศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีบอกกล่าวบรรพบุรุษว่าจะสละราชสมบัติ แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของใครหลายคนคือดาบในตำนานที่จะถูกนำออกมาให้เห็นอีกครั้ง องค์จักรพรรดิอากิฮิโตะทรงเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์สามอย่างที่ประกอบด้วยดาบคุซานางิ อัญมณียาซากะนิ และกระจกยาตะที่ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์โบราณ โดยเฉพาะกับตำนานมากมายของดาบคุซานางิที่เป็นตัวแทนของความกล้าหาญและภาคภูมิของคนญี่ปุ่น ตำนานนานงูยักษ์แปดหัว เทพวายุ ซู ซาโนโอะถูกเนรเทศให้ลงมายังโลก เขายื่นมือเข้าช่วยเหลือหญิงชาวบ้านที่กำลังถูกงูยักษ์แปดหัว ยามาตะ โน โอโรจิพาตัวไปจากหมู่บ้าน เทพวายุซูซาโนโอะใช้ค่ายกลประตูแปดบาน วางไหเหล้าสาเกไว้ทุกประตูบ้านและนำหญิงสาวคนอื่นในหมู่บ้านซ่อนไว้ด้านในสุด เมื่อยามาตะ โน โอโรจิเห็นไหสาเกก็ไม่รอช้าที่จะพุ่งหัวทั้งแปดเข้าไปในประตูทุกบานและงับไหเหล้า ส่งผลให้ ซู ซาโนโอะสามารถตัดหัวงูยักษ์ทั้งหมดได้ เมื่อปราบงูยักษ์สำเร็จ เขาพบกับดาบวิเศษที่ฝังอยู่ในหางของงู เขาจึงนำดาบที่ว่าเก็บกลับไปให้เทพีอามาเทราสุแห่งพระอาทิตย์ซึ่งเป็นน้องสาวให้เป็นผู้เก็บไว้ ซึ่งเทพีอามาเทราสุเป็นต้นตระกูลของจักรพรรดิญี่ปุ่น และดาบวิเศษที่ชื่อว่าคุซานางิก็เป็นดาบประจำตระกูลที่อยู่คู่บัลลังก์และส่งต่อมายังรุ่นสุ่รุ่นจนถึงยุคปัจจุบัน ตำนานดาบคุซานางิที่ตัดไฟราบเป็นหน้ากอง สมัยสมเด็จพระจักรพรรดิเคโกะ จักรพรรดิองค์ที่ 12 ของญี่ปุ่นมีลูกชายฝาแฝดชื่อทาเครุทั้งสองคน เมื่อทั้งคู่อายุได้ 15 ปี พี่น้องเกิดฆ่ากันเองโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ ทำให้พระบิดาไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวไม่มีผู้สืบทอดบัลลังก์ จึงตัดสินใจส่งโอรสองค์เดียวที่เหลือไปปราบกบฎทางตอนใต้สุดของอาณาจักร ก่อนที่ทาเครุจะออกเดินทางเขาได้แวะขอพรกับเจ้าป้าที่เมืองอิเซะพร้อมได้ดาบ เสื้อคลุม และผ้านุ่งสำหรับออกศึก หลังจากที่ทาเครุสามารถปราบกบฎสำเร็จเขากลับมายังพระราชวังและหวังว่าบิดาจะหายโกรธเขา แต่จักรพรรดิเคโกะออกคำสั่งให้เขาออกไปปราบกบฎทางฝั่งตะวันออกต่อทันที ทาเครุอ่อนล้าจากการทำศึกอย่างต่อเนื่องและก่อนออกศึกเขากลับไปหาเจ้าป้าอีกครั้งพร้อมระบายความอัดอั้นตันใจ เจ้าป้าจึงมอบดาบคุซานางิซึ่งเป็นศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ให้ ฝ่ายกบฎต้อนรับการมาถึงของทาเครุโดยการวางอุบายหลอกว่าบริเวณทุ่งหญ้ารอบหมู่บ้านมีปีศาจร้ายซ่อนตัวอยู่และขอร้องให้ทาเครุช่วยกำจัดปีศาจร้าย ทาเครุได้ยินดังนั้นจึงรีบมุ่งหน้าไปยังทุ่งหญ้าที่ว่าเพียงลำพังทันที เมื่อเขาหลงกลฝ่ายกบฎจัดการจุดไฟรอบทุ่งหญ้าเพื่อหวังจะเผาทาเครุทั้งเป็น และเมื่อทาเครุชักดาบคุซานางิออกมาจากฝัก พลังของดาบสามารถตัดต้นหญ้าติดไฟทุกต้นให้ราบเป็นหน้ากอง รวมถึงปราบกบฎจนสิ้นซาก ด้วยเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับหญ้าจึงทำให้ตำนานของดาบคุซานางิเรื่องนี้มีคนญี่ปุ่นเชื่อถือมากพอสมควร
ไม่ว่าจะเป็นหนัง Battle Royale จากญี่ปุ่น หนังฮอลลีวูดบล็อกบัสเตอร์ The Hunger Game การ์ตูนเรื่อง Btooom! หรือแม้กระทั่งเกมที่กำลังฮิตกันอยู่ในตอนนี้อย่าง PUBG และ Free Fire ล้วนมีกฎใหญ่ง่าย ๆ คือต้องทำทุกทางให้อยู่รอดได้นานที่สุด การดูภาพยนตร์และเล่นเกมสไตล์เอาชีวิตรอดแบบนี้บ่อยเข้า อาจทำให้เราเผลอจินตนาการว่าถ้าตัวเองต้องเขาสู่โหมด survival จริง ๆ เราจะอยู่รอดได้นานแค่ไหน ? เรื่องราวของ survival ที่ท้าทายเหล่าคนกล้าและกระตุ้นอะดรีนาลีนได้เป็นอย่างดี จึงทำให้เศรษฐีผู้ไม่ประสงค์ออกนามรายหนึ่งต้องการให้เกมเอาชีวิตรอดนี้เกิดขึ้นจริง โดยเขาวางแผนจะจัดการแข่งขันแบบเกม PUBG บนเกาะร้างแห่งหนึ่งพร้อมกับใช้คนจริง ๆ จำนวน 100 คน มาแข่งขันกันว่าใครจะเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย แน่นอนว่าการวางแผนจัดการแข่งขัน survival ครั้งนี้ เราไม่ได้นั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองแน่ ๆ แต่มีการบอกรายละเอียดบางส่วนเกี่ยวกับโปรเจกต์ดังกล่าวบนเว็บไซต์ Hush Hush เว็บฯ ขายของออนไลน์และจัดอีเวนต์ลงประกาศรับสมัครงานในตำแหน่งผู้ช่วยและครีเอทีฟให้กับเศรษฐีรายหนึ่ง งานที่จะต้องทำคือช่วยวางแผนจัดการแข่งขันแบบภาพยนตร์เรื่อง Battle Royale ผสมกับเกมแบบ PUBG ด้วยค่าจ้าง 45,000 ปอนด์
กว่าศตวรรษที่มนุษย์โลกเริ่มมีความคิดเกี่ยวกับการหาแหล่งที่อยู่ใหม่เพื่อหลบหนีออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ที่ดูใกล้ล่มสลายลงไปทุกวัน สถานที่ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็หนีไม่พ้นดาวเคราะห์สีส้มบ้านใกล้เรือนเคียงของเราอย่าง ‘ดาวอังคาร’ หลังจากนั้นทุกฝ่ายต่างก็ทุ่มเทเต็มที่เพื่อให้ความฝันของมนุษยชาติเป็นจริงโดยเร็ว เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านไป จากความฝันที่ไกลสุดเอื้อมก็เริ่มขยับเข้าใกล้ความจริงขึ้นทุกที จากคำถามว่าจะทำยังไงให้สามารถมีชีวิตรอดบนดาวอังคาร การถกเถียงต่าง ๆ ก็เริ่มเจาะประเด็นลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ จะเป็นยังไงถ้าเราเสพกัญชาบนดาวอังคาร? ฟังดูเป็นคำถามที่ไร้สาระ ถึงแม้การสร้างอาณานิคมบนดาวอังคารดูจะมีความเป็นไปได้กว่าเมื่อก่อนมาก แต่มันก็ยังห่างไกลความเป็นจริง ยากที่จะเกิดขึ้นในช่วงอายุเรา อย่างไรก็ตาม Elon Musk ผู้ก่อตั้ง SpaceX ดูจะชื่นชอบคำถามนี้ เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าเขาคือสายเขียวตัวยง Shelhamer อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์เพื่อการวิจัยของมนุษย์ที่ศูนย์อวกาศจอห์นสันในเมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส กล่าวว่า “การสร้างอาณานิคมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และสำคัญ ผมไม่เห็นประโยชน์ของการทำให้ร่างกายตอบสนองผิดเพี้ยน ซึ่งอาจส่งผลเสียมหาศาลในสถานการณ์ฉุกเฉิน” Neil deGrasse นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชื่อดังก็คิดเห็นไปในทางเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องเข้าท่าเลยที่จะสูบกัญชาบนดาวอังคาร ถึงแม้ในมุมของนักวิชาการจะมองว่ามีข้อเสียมากกว่าข้อดี แต่ในมุมของผู้ที่ตั้งใจจะตั้งถิ่นฐานจริง ๆ พวกเขาอาจผลักดันให้มีการขนส่งกัญชาไปยังดาวอังคารเพื่อประโยชน์ในแง่การสันทนาการหรืออาจมีการแอบลักลอบนำเมล็ดไปปลูก Karin Kloosterman ผู้ก่อตั้ง Mars Farm Odyssey อธิบายว่าการปลูกกัญชาบนดาวอังคารนั้นง่ายกว่าการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก ดังนั้นกัญชาจึงอาจจำเป็นต่อการสันทนาการผู้ตั้งถิ่นฐานในช่วงแรก เราสามารถปลูกกัญชาบนดาวอังคารได้หรือไม่? เมื่อคุณตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคารแล้ว ตัดเรื่องการขนส่งสินค้าจากโลกไปได้เลย เพราะราคาค่าขนส่งคงแพงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ดังนั้นถ้าต้องการอะไรคุณต้องสร้างมันขึ้นมาเอง แม้กระทั่งกัญชา แต่ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์หรือสารคดีมาบ้างคงทราบดีว่าสภาพภูมิศาสตร์บนดาวอังคารนั้นเป็นอุปสรรคต่อการทำเกษตรกรรมทุกรูปแบบ ดังนั้นถ้าจะเพาะปลูกกัญชาที่นี่ จำเป็นที่ต้องทำในเรือนกระจกแบบปิดที่สร้างบรรยากาศเลียนแบบโลก นอกจากนั้นต้องมีระบบรีไซเคิลน้ำและดินที่สมบูรณ์ เนื่องจากในตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าทรัพยากรเหล่านี้บนดาวอังคารปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์หรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้จะมีเรือนกระจกที่จำลองบรรยากาศบนโลกได้อย่างสมบูรณ์ แต่เรื่องแรงโน้มถ่วงจำลองเป็นสิ่งที่เรายังสร้างไม่ได้
หายใจได้แต่ทำได้แค่หายใจ รู้สึกแต่ทำได้แค่รู้สึก ไม่สามารถสื่อสารหรือขยับตัวได้ เคยคิดไหมว่าถ้าวันหนึ่ง เราบังเอิญไปเจออุบัติเหตุหรือเจอโรคจู่โจมร่างกายจนระบบประสาทโดนทำลายจะเป็นอย่างไร? ใครที่เคยอ่านหนังสือเรื่องนักประดาน้ำและผีเสื้อ เรื่องจริงของอดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสาร ELLE แห่งฝรั่งเศสที่เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตกกลายเป็นอัมพาตทั้งตัว อวัยวะทุกส่วนไม่สามารถเคลื่อนไหว นอกจากตาข้างซ้ายและสมองที่เป็นปกติ เขาจึงใช้วิธีกระพริบตาส่งเป็นสัญญาณสะกดตัวอักษรทีละตัวเพื่อสื่อสารและเขียนหนังสือ หรือรู้จักนักฟิสิกส์ระดับตำนานอย่างสตีเฟน ฮอว์กิ้ง ที่ป่วยเป็นโรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม คงพอเข้าใจว่าเวลาที่จิตและสมองไม่สามารถสั่งกายได้อีกต่อไปเพราะอาการอัมพาตนั้น ไม่ได้หมายความว่าความรู้สึกในฐานะความเป็นมนุษย์จะเสื่อมไปด้วย ต้องต่อสู้กับสภาพที่น่าอึดอัดนี้มากแค่ไหน เมื่อการสื่อสารที่เคยดีกลายเป็นอุปสรรคและผู้คนที่อยู่ในสภาพนั้นต่างโดนเรียกว่า “ผัก” นักวิจัยด้านระบบประสาทจากรุ่นสู่รุ่นเลยพยายามแก้ไขปัญหานี้เพื่อหาวิธีการสื่อสารให้ดีกว่ารูปแบบเดิม ๆ และชัดเจนยิ่งขึ้น จนล่าสุดข่าวที่น่ายินดีก็มาถึง เพราะนักวิจัยจาก University of California, San Francisco (UCSF) สามารถพัฒนารูปแบบการสื่อสารจากสมอง แปรให้ออกมาเป็นเสียงสังเคราะห์โดยไม่ต้องต้องขยับปากพูดเพื่อสื่อสารให้สำเร็จ เสียงที่มาจากสมอง วิธีที่นักวิจัย UCSF พัฒนาสร้างนวัตกรรมทำให้สมองเปล่งเสียงออกมา เริ่มต้นจากสร้างอัลกอริทึมผ่านการทดลอง โดยรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในสมองของอาสาสมัครที่เป็นลมชัก 5 คนเป็นระยะเวลาต่อเนื่องหลายปีผ่านการฝังแผงขั้วไฟฟ้าเชื่อมตรงกับสมองและติดตามรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการทดสอบพูดประโยคต่าง ๆ หลายร้อยประโยค เมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสมองที่พยายามสื่อสารผ่านการควบคุมประสาทส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพูดแล้ว (ริมฝีปาก ลิ้น กราม และกล่องเสียง) พวกเขาบันทึกมันไว้เป็นข้อมูลสำหรับใช้ในการถอดรหัสขั้นต้น จากนั้นจึงพัฒนาเครื่องสังเคราะห์เสียงเพื่อสร้างภาษาขึ้นเพื่อแปลงข้อมูลดังกล่าวออกมาเป็นข้อความอีกครั้ง การพัฒนาสองขั้นจากสมองโดยตรงมาสู่การสั่งการที่เชื่อมต่อกับระบบประสาทอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเปล่งเสียง ถือเป็นความพิเศษที่แตกต่างจากรูปแบบการพัฒนาด้านการถอดรหัสเดิม เพราะส่วนใหญ่คนศึกษามักมุ่งเน้นที่ระบบประสาทสั่งการจากสมองโดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้สนใจระบบอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพูดมากนัก แต่การเปลี่ยนสัญญาณสมองที่ให้ความสำคัญลงลึกไปถึงการเคลื่อนไหวของการสร้างเสียงจากส่วนต่าง ๆ ทำให้การถอดรหัสคำเหล่านั้นชัดเจนขึ้น “เราพยายามถอดรหัสผ่านการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างเสียงอย่างชัดเจนแทนที่จะโฟกัสกับเรื่องการถอดรหัสเสียงโดยตรง” –
ทะเล คลื่นสีครามที่พร้อมพยศ กลืนสิ่งมีชีวิตจากชายฝั่งตลอดเวลา แม้อันตรายแต่ก็เป็นสถานที่เสรี เป็นบ้าน เป็นพื้นที่ทำกินของคนบางกลุ่มมายาวนานหลายทศวรรษติดต่อกัน และที่คาบสมุทรนอกชายฝั่งเกาหลีใต้ บริเวณเกาะเชจูเป็นแหล่งกำเนิดฝึกฝนอาชีพที่เรียกว่า Haenyeo หรือนักประมงหญิงขึ้น ย้อนกลับไปราวศตวรรษที่ 17 วัฒนธรรม Haenyeo กำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก โครงสร้างสังคมตอนนั้นผู้หญิงเป็นผู้นำครอบครัว เป็นนักดำน้ำที่ทำประมงเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ขณะที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ ทำหน้าที่ดูแลบ้าน ประเพณีที่ถ่ายทอดความรู้เรื่องการดำน้ำลึกไร้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เพื่อประมงจึงเป็นสิ่งที่ส่งต่อภายในกลุ่มผู้หญิงตั้งแต่อายุยังน้อย จากรุ่นสู่รุ่น ทั้งความรู้เรื่องสิ่งมีชีวิตในทะเล และการอยู่ร่วมกับผืนน้ำที่ไร้ขอบเขต สิ่งเหล่านี้คือมรดกที่จับต้องไม่ได้ซึ่งได้รับการบันทึกไว้โดย UNESCO เทคนิคการกลั้นหายใจที่น่าทึ่งแบบเพียว ๆ ไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตประเภทถังอากาศ มีเพียงชุดยางบาง ๆ ให้สวมกับหน้ากากครอบหน้าที่หน้าตาแปลก ๆ รัดแน่นจนเจ็บปวด แผ่นยางบางที่สวมไว้สร้างสมดุลหูขณะดำน้ำทำให้หูสูญเสียการได้ยินชั่วขณะก็ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนรูปแบบการดำน้ำปัจจุบัน แม้จะแลกมาด้วยความเจ็บปวด แต่นี่ก็เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาที่คนสมัยก่อนเรียนรู้เพื่อทำประมงอย่างยั่งยืน การใช้อุปกรณ์ที่น้อยชิ้นมีข้อดีที่ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมใต้ทะเล วิถีล่าที่นุ่มนวลทำให้ระบบนิเวศท้องทะเลสมบูรณ์ แต่ใช่ว่าทุกคนจะสอบผ่านการเป็น Haenyeo เพราะความชำนาญด้านเทคนิคอย่างเดียวไม่พอให้เอาชีวิตรอดได้ หากขาดความแข็งแกร่งของจิตใจที่พร้อมเผชิญกับความมืดเยียบเย็น เนื่องจากคุณสมบัติสำคัญคือการควบคุมสติใต้น้ำที่อาจพบเรื่องไม่คาดฝันตลอดเวลา ปัจจุบัน Haenyeo รุ่นใหม่ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้วและวัฒนธรรมนี้ก็เริ่มเลือนหายไปจากสังคมเกาหลีแม้รัฐบาลจะพยายามอนุรักษ์ไว้ เพราะ Haenyeo เป็นอาชีพที่เอากายเข้าแลก ทั้งเสี่ยงและอันตรายแม้ผู้ชายอกสามศอกก็ยังไม่อยากทำ แต่ Alain Schroeder
“ถ่ายรูปสวยเพราะใช้กล้องโปรแพง ๆ” ประโยคที่ทำให้เหล่าช่างภาพมืออาชีพหรือคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพต้องเซ็งอยู่บ่อย ๆ เพราะเวลานำผลงานออกมาแสดงทีไรก็จะต้องมีสักหนึ่งคนที่ชอบวิจารณ์ผลงานแบบไม่แคร์น้ำใจกันเท่าไหร่ พร้อมบอกว่าเขาก็สามารถถ่ายรูปสวยแบบเราได้ถ้ามีกล้องแพง ๆ กับอุปกรณ์ครบมือ ด้วยคำพูดเหล่านี้เองที่ทำให้ช่างภาพนามว่า Noe Alonzo ตัดสินใจออกไปถ่ายภาพแบบสตรีตกลางเมืองหลวงของเกาหลีด้วยโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าการถ่ายภาพที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้กล้องแพง ๆ เสมอไป การออกไปถ่ายรูปครั้งนี้ของ Alonzo เขาได้พกโทรศัพท์มือถือไปสองเครื่องด้วยกันคือ Iphone 5 และ Iphone 7 เพื่อออกไปถ่ายภาพบรรยากาศยามค่ำคืนของกรุงโซล ทั้งย่านพลุกพล่านไปจนถึงตรอกแคบ ๆ ในวันที่มีสภาพอากาศแย่ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งช่วงเวลากลางคืนและสภาพอากาศปิดจะทำให้ภาพมี noise แตกกระจายก็ตาม แต่ภาพถ่ายของเขากลับถ่ายถอดความรู้สึกออกมาได้อย่างชัดเจน สไตล์การแต่งภาพของเขาโดดเด่นและดึงความสนใจได้เป็นอย่างดีด้วยสีสันแบบนีออน เล่นกับแสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ ป้ายห้างร้านที่มีอยู่เต็มสองฝั่งถนนกับผู้คนที่เดินผ่านไปมา ซึ่งการแต่งภาพแบบนีออนที่ให้ความรู้สึกเหงา ๆ และลึกลับไม่ได้มาจากโปรแกรมแต่งภาพราคาแพงแต่เขาแต่งภาพผ่านแอปพลิเคชันฟรีสองแอปฯ ด้วยกันคือ Snapseed และ Lightroom ที่ทำให้เห็นว่ากล้องมือถือและแอปพลิเคชันแต่งภาพฟรีหากใช้เป็นก็สามารถทำให้รูปภาพสวยงามได้เช่นกัน “การที่ผมออกไปถ่ายรูปครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อทำให้ผู้คนตระหนักว่าการถ่ายภาพให้สวยไม่จำเป็นต้องมีกล้องราคาแพง แต่สิ่งสำคัญคือแรงผลักดันที่ทำให้เราอยากออกไปข้างนอกเพื่อลั่นชัตเตอร์ต่างหาก” ในบางครั้งการถ่ายภาพบางประเภทอาจจำเป็นต้องเพิ่งกล้องราคาแพงหรืออุปกรณ์เสริมเพื่อให้ภาพถ่ายสมบูรณ์ขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะไปตัดสินได้ว่าผลงานภาพถ่ายของศิลปินหลายคนสวยได้เพราะใช้ของแพงเสมอไป SOURCE
จากเหตุการณ์โศกนาฎกรรมใน Sri Lanka ซึ่งคาดว่าจะเป็นการระเบิดพลีชีพในโบสถ์ 3 แห่ง และโรงแรม 3 แห่ง (the Cinnamon Grand, the Shangri-La, the Kingsbury) ทำให้มีจำนวนยอดผู้เสียชีวิตขณะนี้มากถึงราว 320 คนแล้วนั้น ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสังคมนิยม ประชาธิปไตยศรีลังกา “Ruwan Wijewardene” ได้ออกมาแถลงถึงแรงจูงใจในการก่อการร้ายครั้งนี้ว่า “เป็นการล้างแค้นเหตุยิงมัสยิด 2 แห่งในเมืองไครสต์เชิร์ช” เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ดูเหมือนการพยายามสร้างความแตกแยกโดยการจุดไฟแค้นระหว่างศาสนาของ Brenton Tarrant มือปืนขวาจัดหัวรุนแรงที่กราดยิงมัสยิด 2 แห่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้น 50 คน เป็นต้นเหตุที่ทำให้กลุ่ม Islamist หัวรุนแรงที่ชื่อ National Thowheeth Jama’ath (NTJ) ซึ่งก่อนตั้งมาได้เพียง 3 ปีก่อนก่อเหตุน่าเศร้าครั้งนี้ และมีเหตุผลน่าเชื่อว่ายังมีกลุ่มหัวรุนแรง Jamaat-ul-Mujahideen India (JMI) จาก India เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย “The preliminary investigations
หนุ่มสาวหลายคนมีความเห็นตรงกันว่าเคราคือสิ่งที่ทำให้ผู้ชายมีเสน่ห์ ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าผู้ชายเคราสวยจะดึงดูดสาว ๆ ได้ดี รวมถึงผลวิจัยที่ระบุว่าชายหนวดเครายาวจะเป็นคู่ชีวิตที่ดี แถมเรามักเห็นพระเอกฮอลลีวูดชื่อดังส่วนมากต่างก็ไว้หนวดไว้เครากันทั้งนั้น อย่างไรก็ล่าสุดมีผลวิจัยอีกหนึ่งชิ้นที่ทำให้ผู้ชายไว้หนวดทั้งหลายต้องกุมขมับ เพราะเขาบอกว่าเคราของเราสกปรกกว่าขนหมา! จะทำอย่างไรถ้าผู้ชายมีเคราที่หลายคนบอกว่าเซ็กซี่ มีเสน่ห์ และเป็นคู่ชีวิตที่ดี แต่เครากลับสกปรกกว่าขนสุนัข ? ต้นเหตุของคำถามนี้เกิดจากการวิจัยของกลุ่มนักวิทยาศาตร์ในคลินิก Hirslander ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จุดเริ่มต้นของการวิจัยครั้งนี้ไม่ใช่การหาคำตอบว่าเคราคนหรือขนหมาสกปรกกว่ากัน แต่เพียงต้องการรู้ว่าแบคทีเรียบนขนสุนัขสามารถติดตามเส้นผมหรือเคราของคนได้หรือไม่ เมื่อพวกเขาเริ่มเก็บตัวอย่างจากเคราใต้ริมฝีปากของผู้ชายพร้อมกับเก็บตัวอย่างขนของสุนัขตรงหลังคอมาเปรียบเทียบ ก็ได้ผลที่น่าตกใจว่าหนวดเคราของผู้ชายมีจุลินทรีย์ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคมากกว่าที่พบในขนของสุนัข สำหรับหนุ่ม ๆ เคราดกฟังแล้วคงส่ายหัวหนัก ปฏิเสธเต็มกำลังเพราะไม่อยากเชื่อ แต่จากผลวิจัยครั้งนี้ที่เก็บตัวอย่างหนวดใต้ริมฝีปากของชายที่มีอายุตั้งแต่ 18-76 ปี เป็นจำนวน 18 คน พร้อมกับขนหลังคอของสุนัขหลากหลายสายพันธุ์ตั้งแต่อายุ 3-13 ปี จำนวน 30 ตัว ผลที่ออกมาพบว่าหนวดเคราทั้งหมดของผู้ชายกลุ่มตัวอย่างมีจุลินทรีย์ปริมาณสูง ส่วนผลขนหลังคอสุนัขกลับพบว่ามี 23 ตัว ที่มีจุลินทรีย์ปริมาณสูงเช่นเดียวกับเคราคน แต่สุนัขอีก 7 ตัว พบว่ามีจุลินทรีย์อยู่ในระดับต่ำไปจนถึงปานกลาง ผู้ชายไว้หนวดหลายคนอาจคิดว่าผลการวิจัยนี้โคตรไม่แฟร์ เพราะทีมวิจัยไม่ได้ลงรายละเอียดเจาะลึกเกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่างเท่าที่ควร เช่น สุนัขกลุ่มตัวอย่างเป็นสุนัขมีเจ้าของหรือสุนัขจรจัด สายพันธุ์ขนสั้นหรือขนยาว รวมถึงหนุ่ม ๆ ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างแต่ละคนก็รักษาความสะอาดไม่เท่ากันอยู่แล้ว ที่สำคัญกลุ่มตัวอย่างก็มีจำนวนน้อยแสนน้อย ทำให้การเหมารวมว่าผู้ชายมีเคราทุกคนจะสกปรกกว่าขนหมาตามที่งานวิจัยบอกก็อาจเป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจกันมากไปหน่อย แม้ทีมวิจัยจะบอกว่าขนหลังคอของสุนัขและหนวดคนจะเป็นจุดเสี่ยงที่เกิดจุลินทรีย์มากพอ