หายใจเฮือกเดียววันหยุดที่มีอยู่ในมือก็มลายหายไปอย่างรวดเร็ว นอนร้องไห้โอดครวญไม่อยากกลับไปทำงานแค่ไหนแต่ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี! ระหว่างที่เศร้า ๆ กับการต้องกลับไปทำงานอยู่นี้เคยสงสัยไหมว่าวันหยุดประเทศไทยของเราเมื่อเทียบกับวันหยุดของประเทศอื่น ๆ แล้ว วันหยุดที่เรามีอยู่ในมือถือว่ามากหรือน้อยกันแน่ ? วันนี้ UNLOCKMEN จะพาไปดูวันหยุดของประเทศที่ขึ้นชื่อว่าหยุดเยอะที่สุดในโลกกัน เผื่อจะวางแผนย้ายงานย้ายประเทศในชาตินี้ หรือไว้วางแผนเผื่อเกิดชาติหน้าก็อาจจะพอไหว! (ไม่เอา ไม่ร้อง) ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่าเราจะพูดถึงวันหยุด 2 ประเภทด้วยกันก็คือวันหยุดตามประเพณี(traditional holidays) และวันหยุดพักผ่อนประจำปี (annual vacation) วันหยุดตามประเพณีก็คือวันหยุดนักขัตฤกษ์ทั่ว ๆ ไปที่รัฐกำหนดให้เป็นวันหยุด ถ้าของไทยก็สงกรานต์เอย วันสำคัญทางศาสนาต่าง ๆ เอย ส่วนวันหยุดพักผ่อนประจำปีก็คือวันลาพักร้อนที่กฎหมายกำหนดว่านายจ้างต้องให้สิทธิเราลาพักผ่อนจากการงานอันหนักหน่วงนั่นเอง ถ้าพูดถึงประเทศไทยนั้นเราก็มีวันหยุดทั้งวันลาและวันหยุดนักขัตฤกษ์ซึ่งถ้าว่ากันตามกฎหมายแรงงาน ไทยเรามีวันลาพักร้อนไม่น้อยกว่า 6 วัน (แต่บางบริษัทก็ให้สิทธิพนักงานมากกว่านั้น) ส่วนวันหยุดตามประเพณีหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ก็ต้องไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี ดังนั้นวันเวลาให้ผู้ชายอย่างเรานอนตีพุงอยู่บ้าน หรือจะไปขึ้นเขาลงห้วยที่ไหนก็มีรวมทั้งหมด 19 วันต่อปี (อาจจะมากกว่านี้ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของผู้จ้าง แต่อย่างต่ำคือ 19 วันเต็ม ๆ นะพี่นะ) ดู ๆ แล้วก็แอบคิดว่า เออ อย่างน้อย 19
ปัจจุบันค่ายรถในต่างประเทศเริ่มพากันหันมาสนใจการให้บริการรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Car Subscription Service หรือการจ่ายเงินรายเดือน แล้วเลือกรุ่นรถตามที่กำหนดไว้มาใช้ได้ตามต้องการ แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของรถอย่างเต็มปากเต็มคำ แต่ก็เหมาะกับคนที่อยากทดลองขับเปลี่ยนไปมาหลาย ๆ รุ่น โดยบริการดังกล่าวถูกนำร่องโดย Porsche Passport Subscription Service ตามมาด้วย Volvo และ BMW วันนี้ Mercedes-Benz จะเริ่มทดลองใช้บ้างแล้ว โดยจะจำกัดเฉพาะในบางพื้นที่เพื่อศึกษานำร่องก่อน Mercedes-Benz Subscription Service จะเริ่มทดลองใช้ใน 2 เมือง Nashville และ Philadelphia ก่อนเป็นอันดับแรก โดยจะมีการแบ่ง Package เป็นหลายระดับ แต่ละ Package ก็จะมีรุ่นรถให้เลือกใช้ได้แตกต่างกันอออกไป แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดเรื่องรุ่นรถและราคาอย่างเป็นทางการ มีการคาดการณ์ว่า Package น่าจะอยู่ในช่วง $600 (19,000 บาท/เดือน) ไปจนถึง $2,000 (63,000 บาท/เดือน) ซึ่งเป็น range เดียวกับ
กลายเป็นฟ้าหลังฝนหน้าตาเฉย หลังจากคดีของยอดชายนายมาร์ก CEO เฟซบุ๊กที่ดูเหมือนไหวตัวทันเกมทุกช่องทาง ตั้งแต่การปล่อยขายหุ้นก่อนดิ่งฮวบ เพราะกระแสลบหลายขนาน ทั้งเรื่องปรับอัลกอริทึมที่อยู่ ๆ ก็ห่วงสังคม อยากปรับหน้าฟีดลดความสำคัญของโฆษณากับร้านค้าลง เพราะกลัวผู้คนไม่ Connect กัน (หรอ?) จนร้านรวงบนเฟซบุ๊กออกอาการร้อนผ่าวเพราะต้องอัดฉีดเงินเพิ่มเพื่อให้ได้ยอด view เท่าเดิม หรือข่าวฉาวเรื่องข้อมูลผู้ใช้บริการรั่วไหลสร้างความเสียหายจนเกิดเป็นแคมเปญล้างบัญชีเฟซบุ๊ก #deletefacebook เหล่า HATE SPEECH ที่ยากจะคุมได้ ฯลฯ ไปจนถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่ใครก็อดพูดถึงไม่ได้ คือกรณีโดนฟอกขาวช่วงแถลงการณ์กับวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ในสภาคองเกรสที่บางครั้งเฮียก็ตีหน้าซื่อตอบมึน ๆ แล้วตบท้ายหงายการ์ดตอบไปด้วยคำพูดแมน ๆ ว่า “It was my mistake, and I’m sorry. I started Facebook, I run it, and I’m responsible for what happens here.” ก่อนจบ 2 วันในศาลโดยการเอาชนะไปด้วยสกอร์หุ้นที่พุ่งกระเตื้องจากที่เคยหดตัว
ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารไทยให้ทำอะไรก็ต้องทำได้ แม้หน้าที่จริง ๆ จะต้องเป็นรั้วของชาติ แต่เราก็ได้รับเกียรติจากท่าน ๆ ในการเสนอตัวเข้ามาบริหารประเทศได้เกือบจะ 4 ปีแล้ว ผลงานด้านการบริหารคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะเยอะแยะจนเรานับไม่ไหว ที่ดีก็มีมาก ที่ไม่ค่อยดีก็มีบ้าง เช่นการเข้าถึงตัวคนเห็นต่างจนบางครั้งคนไม่สบายใจ หรือการใช้มาตรา 44 ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ ข่าวการโกงที่ไม่ค่อยจะหายไป เอาเป็นว่าวันนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องการบริหารหรือความซื่อสัตย์ วันนี้เราอยากพูดถึงผลงานทางด้านการประชาสัมพันธ์สไตล์รัฐบาลทหารกันบ้างดีกว่าว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง ? บางอันทำฟรีบางอันทำเสียเงินกันไปเท่าไหร่ เรารวมผลงานน่าสนใจมาให้ทุกคนได้ชื่นชมไปพร้อม ๆ กันเลย สติกเกอร์ไลน์ ประชาสัมพันธ์ข่าวสารรัฐบาลเชิงรุก ยิ่งป่าวประกาศโครม ๆ ว่าถึงยุคไทยแลนด์ 4.0 มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนงานเชิงรุกของรัฐบาลทหารบนช่องทางออนไลน์ก็ต้องเข้มแข็งมากเท่านั้น ล่าสุดสำนักเลขาธิการนายกฯ เลยเตรียมจัดทำไลน์และสติกเกอร์ไลน์ โดยระบุว่าเป็นการประชาสัมพันธ์ข่าวสารรัฐบาลเชิงรุก งบประมาณก็เบา ๆ แค่ 7.3 ล้านบาทเท่านั้น แบ่งเป็นค่า Line Official Account ประมาณ 4.3 ล้านบาท และค่าออกแบบ Sticker Line ราว 2.3 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาปกติที่
ท่ามกลางแสงไฟและความสว่างไสวบนโลกใบนี้ ยังมีโลกอีกใบหนึ่งที่ดำมืด ถ้าด้านสว่างมีผู้คุมกฎหมายคือตำรวจ ผู้รักษากฎทางฝั่งโลกมืดก็คงจะเป็นมาเฟีย แต่มาเฟียบนโลกนี้ก็อยู่หลากหลาย เช่น อิตาลีที่มี La Cosa Nostra อเมริกามีมาเฟีย แต่พวกเราเคยคิดสงสัยกันบ้างมั้ย? ว่าอะไรที่ทำให้ทุกคนต่างศรัทธา และทำเพื่อองค์กรทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีอันตรายมากมายรออยู่ และการที่คุณได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกแล้ว ต้องเป็นไปตลอดชีวิต แต่ก็ยอมแลกชีวิตด้านสว่างที่เหลือเข้าสู่เส้นทางดำมืด แต่ถ้าพูดถึงมาเฟียบนโลกนี้ คงจะไม่พูดถึงองค์กรที่มีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 300 ปี อยู่รอดผ่านมาทุกยุคสมัย องค์กรที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยม เข้มงวด ยิ่งใหญ่ นามว่า Yakuza The History of “Yakuza” Yakuza คำที่เราได้ยินมายาวนานนี้ ต้นกำเนิดของมันต้องย้อนกลับไปถึงช่วงต้นปี ค.ศ. 1612 ยุคที่ญี่ปุ่นยังมีซามูไร พวกเค้าถูกเรียกว่า Kabuki-Mono (คนบ้า) นั่นก็เพราะพฤติกรรมชอบดึงดูดความสนใจคนอื่น ไปไหนมาไหนชอบเป็นจุดเด่น อยากให้คนรู้สึกว่าพวกเค้าน่ะเจ๋ง จนไปสะกิดต่อมหมั่นไส้ของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเข้า กลายเป็นกลุ่มที่พวกเจ้าหน้าที่มักเพ่งเล็งที่จะหาจังหวะเก็บกวาดพวกเค้าอยู่แล้ว อีกอย่างที่ Kabuki-Mono พวกนี้นิยมก็คือ การแต่งกายแปลกๆ สีสันฉูดฉาดเด่นสะดุดตา ตัดผมทรงที่คนปกติเค้าไม่ตัดกัน พฤติกรรมกร่างเก๋าหยาบคาย ไปไหนมาไหนมักจะพกดาบซามูไรที่ยาวอย่างกับราวตากผ้า พูดจาด้วยภาษาที่เข้าใจกันในเฉพาะพวกพ้อง ซึ่งต่างจากคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง
ขเดือนเมษายนวนกลับมาทีไรนอกจากฤดูร้อน (ที่ปีนี้ดันมีฝนตก แถมอากาศหนาวซะได้) หรือการพักผ่อนยาว ๆ และวันหยุดสงกรานต์แล้ว สิ่งหนึ่งที่ตราตรึงใจชายไทยทุกยุคทุกสมัยคงหนีไม่พ้นการคัดเลือกทหารกองประจำการ หรือที่เราเข้าใจกันง่าย ๆ ว่าการเกณฑ์ทหารนั่นเอง แม้จะมีคนอยากเป็นทหารเกณฑ์เพื่อไปรบกับหญ้า ฆ่ากับมด หรือฝากตัวรับใช้นายจำนวนไม่น้อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่ายังมีผู้ชายอีกล้นหลามที่ตะโกนว่า “ไม่เอาโว้ยยย! กูไม่อยากเป็นทหารเกณฑ์” แล้วเราจะหนีการเกณฑ์ทหารได้จริงหรือไม่ ? แล้วจะมีทางไหนที่หนีได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและไม่ผิดกฎหมายบ้าง ? (อยากรู้ล่ะสิ หึ!) สิ่งที่มาคู่กับการจับใบดำใบแดงในทุก ๆ ปีของบ้านเรา คงหนีไม่พ้นหัวข้อการถกเถียงว่า “เราควรยกเลิกการเกณฑ์ทหารหรือไม่?” อาจจะให้สมัครแบบเต็มใจโดยมีสวัสดิการที่ดีมารองรับเหมือนอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ต้องเกณฑ์คนไปยืนจับใบดำใบแดงให้เป็นลมแล้วเป็นลมอีก แต่ทั้งทุนการศึกษา โอกาสในมหาวิทยาลัย และสวัสดิการที่โคตรดี จนทั้งชายและหญิงแห่ไปสมัครกันเป็นทหารจนล้นหลาม แต่อีกทางก็มีเสียงคัดค้านว่าทหารคือกำลังของชาติ รั้วของชาติซึ่งต้องธำรงไว้ให้อยู่สืบไป ที่สำคัญหากมีศึกสงคราม ข้าศึกบุกเข้าประชิด เราก็จะได้มีศักยภาพที่พร้อมรับมือได้แบบสมศักดิ์ศรี นอกจากดราม่าทั่วไปตามกระทู้พันทิปที่ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด ไหนจะสเตตัสเฟซบุ๊กที่ถกเถียงกันจนเป็นดราม่า ก็มีรายการถามตรง ๆ กับจอมขวัญที่เชิญกูรูตัวจริงอย่าง พันเอก ไตรจักร์ นาคะไพบูลย์ ผู้อำนวยการกองการสัสดี มาถามกันชัด ๆ ไปเลยว่า “ตกลงถ้าไม่อยากเกณฑ์ทหารต้องทำอย่างไร” พันเอกไตรจักร์ก็ตอบตรง ๆ
โหนกระแสมันสนุก ใครเกาะทันข้ามวันข้ามคืนก็กลายเป็นคนดัง เราทุกคนรู้ดีว่าในยุคนี้ดาวใหม่สายไอดอลเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เมื่อได้รับความสนใจไม่ว่าจะจากเรื่องดีหรือไม่ดี ขอเพียงการกดคลิกไลค์เล็กน้อย กับยอดวิวตัวเลขใต้แชนแนล Youtube คนส่วนใหญ่ก็พร้อมจะพลีชีพเพื่อเรื่องเหล่านั้น แต่หนนี้เราเห็นปุ๊บถึงกับต้องสบถเลยว่า “What the f*ck!” ใจมันจะสู้เกินไปไหมเพราะวัยรุ่นหนุ่มสาวชาวอเมริกันออกมานำเทรนด์ฉีกถุงยางขึ้น สูด สูด สูด และสูดปรื้ดทะลุจากรูจมูกจากนั้นดึงออกมาทางปาก แล้วส่งคำท้าใส่กันใต้ชื่อ “Condom Snorting Challenge” “Condom Snorting Challenge” มันไม่ใหม่เรียกได้ว่า 5-6 ปีจะโผล่มาสักครั้ง โดยวีรกรรมสุดแผลงนี้อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นมาในปี 2550 ก่อนจะซาไปโผล่มาใหม่ในปี 2556 อีกหน จนมาถึงปีนี้ที่มีความพยายามจะเอาเรื่องนี้กลับมาแลกยอดไลค์อีกครั้ง งานนี้คงไม่ต้องมีใครบอกว่าผลที่ออกมามันจะแย่แค่ไหน เพราะหมอเขาออกมาการันตีว่าไม่ว่าเราจะคิดยังไง มันยังแย่ได้กว่าที่เห็น หากริอ่านจะเปลี่ยนจากสวมมาเป็นสูด Dr. Jennifer Villwock ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาโสต ศอ นาสิกวิทยาจาก University of Kansas ออกมาบอกว่าสูดไปมันอันตราย อย่าริไปลองเด็ดขาดเพราะอาจจะมีอาการเหล่านี้ ! Level 1
คงแว่วเข้าหูกันบ้างแล้วเรื่องเฟซบุ๊กโดนเอาใจออกห่างแล้วเมื่อมีข่าวคราวข้อมูลหลุดให้ว่อน ความ privacy เหลือศูนย์ ทำให้คนดังหลายกลุ่มและเหล่าแบรนด์ออกมาแสดงเจตจำนงว่า “ลากันที” ซึ่งล่าสุดคือพี่ชายหูกระต่ายอย่าง playboy ด้วยการลบ account ของเฟซบุ๊กของตัวเองที่มีคนติดตามมหาศาลถึง 25 ล้านคน พร้อมติดแฮชแท็กประกาศรัว ๆ ว่า #deletefacebook แต่อันที่จริงแล้วลบไปข้อมูลในอากาศของเราก็ใช่ว่าจะหายไปจากโลกออนไลน์เสียเมื่อไร Kevin Matthew หนึ่งในนักพัฒนาระบบเลยออกมาพูดในมุมของตัวเองในฐานะผู้ดูแลระบบว่า ความจริงไม่ว่าเราจะลบ account ไปยังไงมันก็ไม่ช่วยให้ข้อมูลเหล่านั้นของเราหายไปอย่างถาวร สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการป้ายยาข้อมูลที่เคยโพสต์เหล่านั้นไม่ให้มันอ่านออกหรือเอากลับมาใช้งานได้ง่าย ๆ เขาเลยลงทุนแจกสคริปต์และวิธีการใช้มาเผยแพร่ในโลกสาธารณะ เอาไว้ให้ตอบโจทย์ใครที่อยากจะเข้าแคมเปญนี้ หรือคนที่คิดว่าอยากจะลบบ้างไม่อยากใช้แล้วจะได้ลองเอาไปใช้กัน ตัวสคริปต์ที่ Matthew เขียนนั้นเขียนขึ้นจาก CasperJS การประมวลผลของมันแม้จะป่วนข้อมูลในระบบได้ แต่ตัว Matthew ก็ยังกำชับซ้ำว่า หนเดียวมันง่ายไป ขอสัก 5 หนก็น่าจะดีกว่า ปลอดภัยสูง โดยทำอย่างนี้สักประมาณ 3 เดือนข้อมูลเดิมที่เคยมีก็โดนขัดออกเสียเอี่ยมอ่อง ไม่ว่าใครก็อ่านไม่ออก และเอาชนะระบบ back up ของเฟซบุ๊กได้อย่างอยู่หมัดด้วย ดังนั้นถ้าคุณไม่ใจแข็งจริง อย่าไปลองทำเด็ดขาด เพราะทำไปแล้วมันจะเอากลับคืนมาไม่ได้นะเออ! ส่วนที่สำคัญที่สุดคือเป้าหมายที่แท้จริงของ Mathew ในครั้งนี้ที่ไม่ได้มีเป้าหมายอยากสร้างสคริปต์ไว้ป่วนหรือคาดหวังผลกระทบวงกว้างในหมู่ผู้ใช้เฟซบุ๊กแต่อย่างใด
โลกใบนี้สรรค์สร้างมนุษย์เราให้มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันไปตามชาติพันธุ์ เรามักจะติดภาพความรักสนุกที่ติดอยู่ใน DNA ของมนุษย์ผมบลอนด์ แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะด้วยวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่ทำให้ชาวหัวบลอนด์มักจะเป็นคนรักความสนุก ใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยง แต่สำหรับชาวหัวแดงที่เป็นส่วนน้อยของโลกใบนี้ที่มักถูกเรียกด้วยชื่อเล่นอย่าง “GINGERS” ล่ะ จะร้อนแรงเหมือนกับสีผมจริงมั้ย UNLOCKMEN จะพามาหาคำตอบกัน HOT LIKE GINGERS ใช่แล้วล่ะ อย่างที่ผลวิจัยบอกไว้ว่าสาวผมแดงเนี่ย มีเซ็กซ์บ่อยกว่าสาวผมบลอนด์และน้ำตาลซะอีก ผลวิจัยจาก Werner Habermehl PhD จาก Hamburg Research Institute ในประเทศ Germany เขาศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของสีผมกับเซ็กซ์ในชีวิตประจำวันจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้หญิงกว่าร้อยคน ในงานวิจัยระบุไว้ว่า สาวผมแดงมักจะกระตือรือร้นในชีวิตเซ็กซ์มากกว่าผมสีอื่น และมีเซ็กซ์ที่ร้อนแรงกับคู่รักมากกว่าผมสีอื่นด้วย เขาเสริมไว้อีกนิดหน่อยว่าสำหรับคนที่ย้อมผมสีแดงมักจะเป็นคนที่ต้องการส่งสัญญาณให้คนทั่วไปรู้ว่าเขากำลังมองหาคู่รักอยู่ แม้แต่คนที่มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยราบรื่นนักกับคู่รักของเขา ถ้าลองย้อมผมเป็นสีแดง สามารถช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ ทำไมผมแดงจึงร้อนแรง ? ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสาวผมแดง โดยเฉพาะแดงตามธรรมชาติเนี่ย มีเสน่ห์มากเป็นพิเศษ แค่มองจากด้านหลังเธอก็สวยเหมือนภาพวาดยุค Renaissance อย่างไรอย่างนั้น เรื่องนี้ไม่ได้คิดเองเออเองแต่อย่างใด แต่มันเบสออนวิทยาศาสตร์ Dr. Jonathan Rees จาก The University of Edinburgh
เมื่อเดือนเมษายนกำลังคืบเคลื่อนมาถึงพร้อมหอบลมระอุแห่งฤดูร้อนมาด้วย ก็เป็นที่รู้กันดีว่านอกจากวันหยุดยาว เทศกาลสงกรานต์และการพักผ่อนแล้ว สิ่งที่มาพร้อม ๆ กับเดือนเมษายนของทุกปีคือ “งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ” และปีนี้ก็เช่นกัน โดยงานมีระหว่างวันที่ 29 มีนาคม – 8 เมษายน 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แต่ถ้าผู้ชายคนไหนยังงง ๆ ไม่รู้จะอ่านอะไรดี เรามีหนังสือ 5 เล่มที่ผู้นำประเทศต่าง ๆ แนะนำให้อ่านกัน Barack Obama : The Power Barack Obama อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ที่มักเจียดเวลามาอ่านหนังสืออยู่เสมอและมักแนะนำหนังสือที่เขาอ่าน เผื่อใครอยากจะอ่านตามบ้างให้เป็นประจำ สำหรับหนึ่งในหนังสือที่เขาแนะนำในปี 2017 ที่ผ่านมาคือ The Power ของ Naomi Alderman ไม่ต้องกลัวว่าจะเครียดเกินไปเพราะ The Power เป็นวรรณกรรม sci-fi ฝีมือนักเขียนชาวอังกฤษ ที่ว่าด้วยอำนาจที่เรามักเคยชินว่ามันอยู่ในมือผู้ชาย แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้หญิงสามารถพัฒนาความสามารถจนสามารถปล่อยไฟฟ้าออกมาจากนิ้วมือได้ และกลายเป็นเพศที่มีอำนาจควบคุม! แค่จินตนาการก็สนุกแล้วใช่ไหมล่ะ? แต่ภายใต้ความเครียดผู้ชายอย่างเราต้องได้ขบคิดอะไรบางอย่างแน่นอน ถ้าไม่อยากพลาดความสนุกและประเด็นเรื่องอำนาจและความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างเพศก็ไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้เช่นกัน