Life

SURVIVAL GUIDE: มองอีกฝ่ายให้ขาดด้วย “5 วิธีการตั้งคำถาม” ให้มีพลังกว่าที่เคย

By: PSYCAT May 1, 2018

“ตั้งคำถามกับทุกสิ่ง” นั่นคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญระดับโลกอย่าง Albert Einstein พูดไว้ และ UNLOCKMEN ว่าก็ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะในชีวิตลูกผู้ชายคนหนึ่ง คำถามจะนำไปสู่โอกาสใหม่ ๆ อีกมากมายแบบที่เราไม่คาดคิดมาก่อน อย่างน้อยที่สุดเราก็ถามเพื่อการเรียนรู้ และถามเพื่อเข้าใจผู้คน แต่คำถามแบบไหนถึงจะมีพลังกันแน่ ? มา! มาเรียนรู้ไปด้วยกัน

ขั้นตอนแรกในการที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นนักตั้งคำถามที่ดีกว่าเดิมคือ “ถามให้มากกว่าเดิม” ใช่ ง่าย ๆ แค่นั้นเอง จากเดิมที่นั่งฟังเฉย ๆ ไม่หือ ไม่อืออะไรกับใครเขาเลย ก็ลองถามสักหนึ่งคำถาม ใครที่เคยถามหนึ่งคำถามก็เพิ่มไปเป็นสองคำถาม เพิ่มไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ อย่างไรก็ตามการเพิ่มจำนวนคำถามก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะทำให้เราเป็นนักถามที่มีอิทธิพลกว่าเดิมแต่ยังรวมไปถึงประเภทคำถาม โทนของคำถาม ลำดับการถาม และกรอบของคำถามที่มีความสำคัญเช่นกัน

แต่ไม่ต้องตกใจไปอะไร ๆ ก็ฝึกกันได้ทั้งนั้น ถ้ายังรู้สึกว่ามันยาก ๆ งง ๆ อยู่ ลองทำตามเทคนิคต่อไปนี้ รับรองเลยว่าเราจะเป็นผู้ชายที่ตั้งคำถามได้ดีมากกว่าที่เคยแน่นอน

Favor follow-up questions

ที่ต้องจำให้ขึ้นใจเลยคือว่าไม่ใช่ทุก ๆ คำถามจะมีค่าเท่ากันไปหมด คำถามบางรูปแบบก็สำคัญกว่าบางรูปแบบ โดยคำถามมี 4 ประเภทด้วยกัน introductory question (คำถามทั่ว ๆ ไป คำถามเบื้องต้นอย่างวันนี้คุณเป็นไงบ้าง?), mirror question (คำถามที่สะท้อนกลับไปถามคู่สนทนาอย่า โอเค ผมสบายดี คุณล่ะเป็นไงบ้าง?), full-switch question (คำถามที่เปลี่ยนประเด็นที่คุยกันอยู่ไปอย่างสิ้นเชิง), และสุดท้ายพระเอกของเรา follow-up question (คำถามที่ถามเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม)

follow-up question ถือเป็นคำถามที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษถ้าอยากเป็นนักตั้งคำถามที่มีพลัง เนื่องจากมันเป็นสัญญาณสำคัญที่จะทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าเรากำลังรับฟังเขาอย่างตั้งใจจริง ๆ ไม่เพียงเท่านั้นมันยังเป็นสัญญาณของการใส่ใจ และต้องการที่จะรู้เรื่องราวมากกว่าเดิม นอกจากนั้นการถาม follow-up question จะทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าได้รับความเคารพและถูกรับฟัง

 

Know when to keep questions open-ended

คงไม่มีใครชอบความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจี้ หรือถูกสอบสวนอยู่อย่างหนักหน่วงแน่ ๆ จริงไหม? ซึ่งการถามคำถามปลายปิด ประเภทให้เลือกตอบใช่หรือไม่ใช่ มักจะให้ความรู้สึกของการต้อนให้จนมุมแบบที่ว่า แต่เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งประเมินคำถามแบบนี้เป็นตัวร้ายแล้วโยนมันทิ้งไปเฉย ๆ เพราะจริง ๆ แล้วคำถามประเภทนี้นี่แหละที่เป็นอีกสุดยอดนวัตกรรมที่จะทำให้เราล้วงคำตอบที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้คนออกมาได้แบบไม่น่าเชื่อ

ในบางสถานการณ์การใช้คำถามที่เปิดโอกาสให้ตอบได้แค่ใช่หรือไม่ใช่ก็เป็นทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะในการเจรจาที่มีความตึงเครียดหรือเราจำเป็นต้องสนทนากับคนที่ปิดตัวไม่เผยไต๋อะไรออกมาเลย การถามคำถามปลายเปิดจะทำให้เขาตอบอะไรที่ไหลไปเรื่อยจนเราไม่อาจได้คำตอบแบบที่เราต้องการ ดังนั้นคำถามปลายปิดเท่านั้นที่เป็นกุญแจสำคัญ

งานวิจัยจาก University of Utah เปิดเผยว่าถ้าเราถามคำถามปลายปิด โดยสมมติสถานการณ์ไปในทางร้าย ๆ คนที่ตอบคำถามเรามักจะไม่โกหก ดังนั้นแทนที่จะถามว่า “สถานการณ์การค้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ซึ่งเป็นคำถามปลายเปิด อาจลองเปลี่ยนเป็น “สถานการณ์การค้าของบริษัทคุณตอนนี้กำลังย่ำแย่มากเลย ใช่ไหมครับ?” ซึ่งมันจะปิดทางให้เขาตอบได้แค่ใช่หรือไม่ใช่เท่านั้น คำถามปลายปิดจึงเป็นกุญแจสำคัญที่เราควรรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเก็บไว้ให้มิดชิดและเมื่อไหร่ควรงัดออกมาใช้

 

Get the sequence right

ลำดับคำถามเป็นอีกสิ่งที่เราควรให้ความใส่ใจ เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์สุดอึดอัดตึงเครียด หรือต้องการให้คู่สนทนาสารภาพหรือพูดเรื่องอะไรบางอย่างที่เลวร้ายออกมา เราควรเริ่มต้นด้วยคำถามที่เลวร้ายกว่าคำถามที่เราจะถามเขาจริง ๆ เช่น ถ้าเราอยากรู้ว่าเพื่อนร่วมงานเคยลาป่วยโดยที่ไม่ได้ป่วยจริง ๆ ไหม เราควรเริ่มต้นด้วยคำถามที่จะชวนให้เขาตอบถึงเรื่องที่เลวร้ายกว่าการลาป่วยทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ป่วย เช่น “เคยเกลียดใครมากจนอยากจะลงมือฆ่าไหม?” การเกลียดใครสักคนจนอยากจะลงมือทำร้ายจึงเป็นคำตอบที่หนักมากกว่าการแกล้งป่วย ทำให้เขารู้สึกสบาย ๆ ที่จะยอมรับว่าเขาแกล้งป่วย เพราะในทางความรู้สึกเขามันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดนั้นเมื่อเทียบกับการอยากฆ่าคน

ในทางกลับกันถ้าสถานการณ์ไม่ได้ตึงเครียด แต่สบาย ๆ เป็นบทสนทนาใช้ทำความรู้จักกัน การถามคำถามควรไล่จากคำถามที่ทำความรู้จักกันแบบเบื้องต้น ก่อนจะถามคำถามลึกไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ทำความรู้จักกันจากการตั้งคำถามและบทสนทนาได้ลื่นไหลกว่าที่เคย

 

Use the right tone

น้ำเสียง โทนคำถามมีส่วนสำคัญกับการได้คำตอบมาก โดยเฉพาะกับคำถามที่มีความละเอียดอ่อนซึ่งต้องการรูปแบบการถามแบบไม่เป็นทางการมากกว่า งานวิจัยหนึ่งทดลองถามคำถามที่มีความละเอียดอ่อนบนเว็บไซต์ 2 แห่ง โดยเว็บไซต์หนึ่งมีรูปแบบเป็นทางการ ในขณะที่อีกเว็บไซต์หนึ่งมีความสบาย ๆ ไม่เป็นทางการเท่าเว็บไซต์แรก ผลออกมาชัดเจนว่าผู้คนมีแนวโน้มตอบคำถามที่ละเอียดอ่อนในโทนที่ไม่เป็นทางการมากกว่าโทนที่เป็นจริงเป็นจัง

ที่สำคัญไปกว่านั้นบรรยากาศที่ “เปิด” และเอื้อต่อการเปลี่ยนคำตอบได้ จะทำให้คำถามเรามีประสิทธิภาพและได้คำตอบที่จริงจังมากกว่าที่เคย เช่น ในการระดมสมองเพื่อค้นหาไอเดียในการประชุม ถ้าเราถามคำถามแล้วเขียนลงไวท์บอร์ด ซึ่งคำตอบของเพื่อนร่วมงานสามารถลบ เปลี่ยนใหม่ได้ทุกเมือ พวกเขาจะยินดีตอบคำถาม ระดมไอเดีย มากกว่าการเขียนลงกระดาษที่ลบไม่ได้ หรือสถานการณ์ที่พวกเขารู้สึกว่าคำตอบนี้จะเป็นคำตอบสุดท้ายที่เด็ดขาด ดังนั้นต้องอย่าลืมว่าถ้าอยากให้คำถามของเรามีพลัง โดยเฉพาะกับคำถามละเอียดอ่อน ให้ทำบรรยากาศและโทนคำถามให้สบาย ๆ เข้าไว้ รวมถึงทำให้คนตอบรู้สึกว่าเขาสามารถเปลี่ยนคำตอบของตัวเองได้ทุกเมื่อ

 

Pay attention to group dynamics

การสนทนากันสองคนก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเมื่อไหร่เราเข้าไปอยู่ในวงสนทนาขนาดใหญ่ก็จำไว้เลยว่าการให้ความสำคัญกับปฏิกิริยาของคนส่วนมากในกลุ่มมีผลอย่างมากกับพลังของคำถามเรา โดยงานวิจัยพบว่าการถามคำถามละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะเรื่องการเงินหรือเรื่องเซ็กซ์กับคนกลุ่มใหญ่ ผู้คนมีแนวโน้มที่จะตอบคำถามเรา ถ้าคนส่วนใหญ่ในกลุ่มตอบคำถามเรา และในทางกลับกันถ้าคนส่วนใหญ่ดูไม่เต็มใจจะตอบ พวกเขาก็จะไม่เปิดเผยคำตอบของตัวเองเช่นกัน ดังนั้นถ้าต้องการให้คำถามของเรามีพลังมากขึ้นเมื่อต้องอยู่กับคนกลุ่มใหญ่ ๆ ก็อย่าลืมดูทิศทางอารมณ์ ดูแนวโน้มว่าพวกเขาพร้อมจะตอบคำถามหรือยัง เพื่อยิงคำถามให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ตรงเวลา

นอกจากนั้นยังมีเทคนิคเล็ก ๆ น้อยที่ไม่ได้เกี่ยวกับการตั้งคำถามโดยตรง แต่การตั้งคำถามและการฟังคำตอบคือการประกอบตัวขึ้นมาของบทสนทนาระหว่างมนุษย์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ดังนั้นการโต้ตอบคำตอบของคู่สนทนาก็มีความสำคัญเช่นกัน ต้องระมัดระวังให้ดีว่าจะเปิดเผยอะไร และอะไรที่จะเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่บ่อยครั้งที่การเปิดเผยเรื่องของเราทำให้บทสนทนาลื่นไหลและทำให้พลังของคำถามเราพุ่งพรวดอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

อย่าประมาทพลังของการตั้งคำถามอีกต่อไป แล้วหมั่นใช้ 5 เทคนิคที่จะกระตุ้นให้คำถามของคุณไม่ใช่คำถามธรรมดาดาษดื่น แต่เป็นคำถามทรงประสิทธิภาพที่ทำให้คุณ UNLOCK ได้ทั้งความรู้ และ UNLOCK ได้ทั้งจิตใจของผู้คน

 

SOURCE

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line