ประสบการณ์ที่เลวร้ายมักทำให้หลายคนเกิดอาการคิดมากจนเกินไปอยู่เสมอ เช่น บางคนไม่กล้าเปลี่ยนงานใหม่ เพราะกลัวว่าตัวเองจะหางานไม่ได้ หรือ ไม่เจองานที่ดีกว่า หรือ บางคนอาจเครียดเรื่องการเรียน เพราะกลัวว่าผลการศึกษาที่ไม่ดีจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแรงงานที่ไร้คุณค่า เป็นต้น เรามักเรียกความกังวลที่เกิดขึ้นว่าเป็น Catastrophizing และถ้าเราไม่รู้จักวิธีการป้องกัน อาจทำให้เราเสียสุขภาพจิตได้ ความหมายของ Catastrophizing Catastrophizing คือ การจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เลวร้าย และเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน โดยคนที่มีอาการนี้มักมองโลกในแง่ลบ และมองเห็นปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั่นหนักหนาสาหัสเกินความเป็นจริง จนพวกเขารู้สึกสิ้นหวังและตกอยู่ในความเครียดตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขากังวลกับการสอบตก พวกเขาจะคิดว่า การสอบตกทำให้ตัวเองกลายเป็นนักศึกษาที่ไม่ดี เรียนไม่จบ หรือ ไม่ได้รับใบปริญญา และไม่มีใครรับเข้าทำงาน สุดท้ายพวกเขาจึงด่วนสรุปไปเองว่า การสอบตกจะทำให้พวกเขาไม่มีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งในเป็นความจริง คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากก็เรียนหนังสือไม่จบ หรือ เคยสอบตกมาก่อน แต่คนที่ Catastrophizing มักไม่คิดถึงเรื่องนี้ และหมกหมุ่นกับความคิดอันเลวร้ายของตัวเองเป็นตุเป็นตะ จนได้รับความเสียหายทางจิตใจอย่างแสนสาหัส ยังไม่มีใครตอบได้ว่า Catastrophizing เกิดขึ้นได้อะไร แต่หลายคนคาดว่ามันเกิดขึ้นได้หลากสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ได้รับข้อความที่มีความหมายกำกวมจนเราเกิดอาการคิดไปไกล เราให้ความสำคัญกับอะไรมากเกินไปจนคิดมาก หรือ เรากลัวอะไรบางอย่างมาเกินไป จนเรายิ่งคิดถึงผลลัพธ์แย่ ๆ ที่จะได้รับจากมัน
เมื่อพูดถึงเรื่อง ‘กลิ่น’ ใครคิดว่าไม่สำคัญ หลายคนคงจะเคยชินกับการรับรู้กลิ่นในทุก ๆ วัน แต่อาจไม่เคยรู้ว่าความสามารถธรรมดา ๆ อย่างการรับกลิ่น มันเกิดจากการทำงานสอดประสานกันของเซลล์รับกลิ่นจำนวนมหาศาลที่ช่วยให้เราจำแนกกลิ่นที่แตกต่างได้มากถึง 1 ล้านล้านกลิ่น จนเรียกได้ว่าการรับกลิ่นถือเป็นประสาทสัมผัสที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์เรา นอกจากนี้การรับกลิ่นของมนุษย์ยังเชื่อมต่อโดยตรงไปทำปฏิกิริยากับสมองส่วน Amygdala และ Hippocampus ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวพันกับอารมณ์ ความรู้สึก ความทรงจำ ทำให้กลิ่นบางกลิ่นจะสามารถทำให้เรารู้สึกดี บางกลิ่นสามารถกระตุ้นให้นึกถึงความหลัง อีกทั้งกลิ่นหอมบางกลิ่นยังช่วยเพิ่มความมั่นใจ เสริมบุคลิกภาพได้เป็นอย่างดี ด้วยความสำคัญขนาดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชายส่วนใหญ่นั้นใส่ใจกับกลิ่นกายที่หอมกรุ่นละมุนละไม ต่างมองหาน้ำหอมกลิ่นที่ใช่มาปลุกเร้าความมั่นใจให้เต็มร้อย แต่การจะหาน้ำหอมที่เหมาะสมกับกลิ่นกายเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลก็ดูเป็นเรื่องปวดหัวไม่ใช่น้อย หลายคนผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วหลายครั้งหลายครา กว่าจะเจอน้ำหอมคู่ใจที่เข้ากันได้กับตัวเองอย่างแท้จริง ในวันนี้เราจึงอาสาคลายปัญหากวนใจ ด้วยการเปิดตำราวิชาเฟ้นหาน้ำหอม 101 เอาไว้ให้มือใหม่ทั้งหลายนำไปใช้ในการเลือกน้ำหอมขวดใหม่ที่ใช่ที่สุด พร้อมปิดท้ายด้วยเคล็ดไม่ลับในการอัพเกรดกลิ่นน้ำหอมให้หอมทนนาน หอมชัดเจนตรงปก ไร้กลิ่นแปลกปลอมมากวนใจ ด้วย MARO BODY FACE Cleansing Soap เจลอาบน้ำนวัตกรรมใหม่จากญี่ปุ่น ช่วยล็อกกลิ่นกายไม่พึงประสงค์ให้สลายกลายเป็นศูนย์ หนุ่ม ๆ ที่ใช้น้ำหอมไม่ต้องกลัวกลิ่นเพี้ยน ขวดเดียวใช้ได้ทั้งร่างกายและใบหน้า ว่าแล้วก็อย่ารอช้าเชิญอ่านต่อได้เลย เข้าใจในความต่างก่อนเลือกน้ำหอม: EDC, EDT, EDP
ว่าด้วยเรื่องของ ‘กลิ่น’ แทบทุกคนคงเคยได้ยิน ได้รับรู้ถึงความสำคัญของกลิ่นที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ ความรู้สึกของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ รวมถึงกลิ่นกายก็เช่นกัน เพราะการมีกลิ่นกายสะอาดไร้กลิ่นไม่พึงประสงค์ จะขยับตัวทำอะไรก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นต้นตอแห่งมลพิษทางกลิ่นที่รบกวนคนรอบข้าง และแน่นอนว่ากลิ่นกายที่ดีมันส่งผลโดยตรงต่อการสร้างความมั่นใจได้เต็มที่ หากพกความมั่นใจเอาไว้เต็มร้อยตั้งแต่ออกจากบ้าน ระหว่างที่พบปะผู้คนในแต่ละวันมันก็พร้อมต่อยอดไปสู่โอกาสดี ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องความรัก หรืออะไรก็ตาม หากเริ่มต้นด้วยความมั่นใจยังไงก็เป็นต่อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การมีกลิ่นกายที่ดีแม้จะฟังดูไม่ยาก แต่มันก็ไม่ได้เรียบง่ายแค่อาบน้ำให้สะอาด หาน้ำหอมดี ๆ มาใช้แล้วจบไป เพราะยังมีหลายปัจจัยที่พร้อมสร้างกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อโดยเราเองแทบไม่รู้ตัว หรือกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีผู้กล้าเข้ามาทัก จนต้องรู้สึกช็อตฟีลเสียหลัก หมดความมั่นใจไปไม่ใช่น้อย ซึ่งในวันนี้ปัญหาเรื่องกลิ่นที่หลบซ่อนอยู่กำลังจะหมดไป เพราะเราจะพาไปรู้จักกับปัญหาหลักของกลิ่นกายไม่พึงประสงค์ที่หลายคนมองข้าม หรือด้วยความเคยชินอาจทำให้ไม่ได้รับรู้ถึงกลิ่นกวนใจเหล่านี้ พร้อมปิดท้ายด้วยวิธีแก้ปัญหาแบบอยู่หมัดด้วย MARO BODY & FACE Cleansing Soap เจลอาบน้ำนวัตกรรมใหม่จากญี่ปุ่น ช่วยล็อกกลิ่นกายไม่พึงประสงค์ให้สลายกลายเป็นศูนย์ ขวดเดียวใช้ได้ทั้งร่างกายและใบหน้า กลิ่นกายจากของกิน: ก่อนจะเข้าสู่วิธีแก้ เราขอไล่เรียงต้นตอของปัญหาไปทีละสเต็ป เริ่มต้นด้วยกลิ่นกายที่มาจากอาหารการกิน หลายคนอาจเข้าใจว่ากลิ่นมาจากเหงื่อ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเหงื่อเพียว ๆ นั้นแทบไม่มีกลิ่น แต่แบคทีเรียซึ่งทำให้เหงื่อกลายเป็นกรดไขมันนั่นแหละตัวการทำให้เกิดปัญหากลิ่นกายกวนใจ นอกจากนี้อาหารจานโปรดของหนุ่ม ๆ ชาวไทยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเนื้อสัตว์บางชนิด หรือเครื่องเทศกลิ่นแรงรสจัด
ผู้ชายกับรถดูจะเป็นของคู่กันมาตลอดโดยเฉพาะในแง่ของการใช้งานขับขี่ แต่ถ้าจะพูดถึงการบำรุงรักษาก็อาจจะมีเขินกันบ้าง เราเชื่อว่ามีบางท่านอาจจะยังไม่รู้วิธีหรือยังไม่เคยแก้ไขปัญหาของรถคู่ใจด้วยเอง อันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN ไม่ได้มีเจตนามาแซวกันนะครับ เราเข้าใจว่าด้วยภาระหน้าที่หลายอย่างที่ผู้ชายอย่างเราต้องลุยในแต่ละวัน อาจทำให้ไม่สามารถโฟกัสกับการดูแลยานพาหนะส่วนตัวได้ จึงต้องมอบภาระนี้ให้กับอู่หรือศูนย์บริการเป็นผู้ช่วยดูแลรถของเรา ซึ่งมันก็ดูจะเป็นทางออกที่ลงตัว แต่ถ้าสมมุติเกิดกรณีคับขันขึ้นมา การมี skill ติดตัวไว้บ้างก็จะช่วยเราได้เยอะ แถมยังเอาไว้ช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย หนนี้เรามีวิธีการแก้ปัญหาสุดคลาสสิคนั่นก็คือ “การเปลี่ยนล้อ” มาฝากกัน สำหรับบางท่านที่อาจยังไม่รู้หรือไม่เคยจริง ๆ อันนี้เราถามมาจากช่างผู้ที่ชำนาญ รับรองว่านำมาประยุกต์ใช้ได้ง่าย ๆ จะได้ไม่อายเวลาเกิดเหตุการณ์ที่ต้องลงมือเอง ที่อยากนำเรื่องการเปลี่ยนล้อมาพูดถึงก่อนก็เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลที่ใครหลายคนต้องเดินทาง แม้ว่าเราจะเช็กสภาพรถ สภาพยาง สภาพเราดีแล้ว แต่ก็อย่าประมาท เกิดไปเหยียบตะปูหรืออะไรคม ๆ เข้า ไม่ก็ดันไปจอดไว้สักที่แล้วเจอเจ้าถิ่นหยอกแรงปล่อยลมยางขึ้นมา อันนี้ก็ต้องแก้ปัญหากันไป แต่อย่ากังวล แค่ทำตามวิธีนี้ก็สามารถอยู่รอดบนถนนได้สบาย ๆ เตรียมพร้อมเสมอ ก่อนขับรถออกเดินทางทุกครั้งควรเช็กว่ารถเรามียางอะไหล่พร้อมอุปกรณ์เปลี่ยนยางที่พร้อมใช้มั้ย ส่วนใหญ่แล้วยางอะไหล่ก็จะถูกติดตั้งไว้ใต้ท้องรถด้านหลัง อย่าลืมตรวจสอบว่าลมยางอะไหล่ของเราโอเคหรือยังถ้าเกิดต้องนำมาใช้จริง ส่วนอุปกรณ์ที่ติดกับรถมาตั้งแต่แรกก็จะมีแม่แรงประจำรถ, ประแจถอดล้ออะไหล่ และ บล็อกถอดน็อตล้อ ถ้าทุกอย่างพร้อม ก็ลุยเลย เมื่อความซวยมาเยือน เราว่าทริปนี้มันต้องดีแน่ ๆ แต่บางครั้งโชคอาจไม่เข้าข้างเสมอไป เอาแล้วไง ทำไมมันแปลก ๆ
เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงมีชีวิตดี ทำธุรกิจอะไรก็ประสบความสำเร็จ ในขณะที่บางคนทำอะไรก็ให้ผลตอบแทนไม่งอกเงยเท่าที่ควร มีผลวิจัยทำสถิติระบุว่า เรื่องนี้อาจอยู่ที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตและมุมมองวิธีคิดของแต่ละคน เช่นคนที่มักจะรายล้อมตัวเองด้วยคน Toxic หรือมองความท้าทายเป็นปัญหาที่ไม่กล้าจะก้าวเท้าออกไปเผชิญหน้ากับมัน วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น คบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล ดูเหมือนว่าคนรอบตัวจะมีอิทธิพลต่อความสำเร็จมากกว่าที่เราคิด ถ้าเราอยู่ร่วมกับคนเก่ง เราจะกลายเป็นคนที่เก่งขึ้น ถ้าเราอยู่กับคนขี้แพ้ เราอาจกลายเป็นคนขี้แพ้ไปด้วย งานวิจัยที่ใช้เวลากว่า 25 ปีของ Dr. David McClelland อาจารย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ปัจจัยนึงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเราได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ กลุ่มอ้างอิง (reference group) หรือกลุ่มคนที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วย พูดคุยด้วย หรือ ทำงานร่วมกันเป็นประจำ คนกลุ่มนี้ส่งผลต่อตัวเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่เราเลือกคบนั้นจะมีอิทธิพลต่อเราในทุกด้าน Warren Buffet เคยพูดว่าความสำเร็จเกิดขึ้นจากการใช้เวลาร่วมกับคนที่ดีกว่าตัวเอง เลือกเพื่อนที่มีพฤติกรรมดีกว่าเรา เราจะอยากผลักดันตัวเองให้มีพฤติกรรมที่ดีขึ้นไปด้วย ดังนั้น เราควรมีเพื่อนเก่ง ๆ อย่างน้อยสักหนึ่งคนที่สามารถขอคำแนะนำหรือคำปรึกษาในยามที่เกิดปัญหา ในขณะเดียวกัน ตัวเราเองก็ต้องมีความพร้อมในการมองเห็นและยอมรับปัญหาของตัวเอง เพื่อที่จะได้พัฒนาศักยภาพให้ดีขึ้นได้แบบ inside-out เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาความรู้ใส่ตัวตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีและความรู้ในโลกเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
เกิดมาเป็นผู้ชาย ต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การทำงาน การใช้ชีวิต หรือ ความสัมพันธ์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้อาจทำให้เราตกอยู่ในอาการคิดมากจนเกิดความเครียดถึงขั้นนอนไม่หลับ หากใครกำลังเจอปัญหานี้ เราแนะนำให้ลองนำเทคนิคที่ชื่อว่า Brain Dump ไปใช้ ซึ่งเทคนิคนี้จะช่วยให้สมองของเราโล่งขึ้น จนความเครียดและความกังวลข้างในหายไป ไม่เป็นภัยกับร่างกายและสมองของเราอีกต่อไป ความหมายของ Brain Dump ลองเปรียบสมองเป็นสนามหญ้าขนาดเล็ก และเปรียบความคิดของเราเป็นคนที่มาอยู่ในสนามหญ้านั้น ยิ่งคนเข้ามาอยู่ในสนามหญ้านั้นเยอะ ความแออัดวุ่นวายมันจะยิ่งมากขึ้นตามมา ถ้าเราไม่อยากให้สมองของเราวุ่นวายมากนัก เราควรใช้เทคนิคที่เรียกว่า Brain Dump ในการระบายความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมองของเรา เทคนิคนี้จะช่วยให้ความคิดของเราเป็นระบบระเบียบมากขึ้น สามารถจัดลำดับความสำคัญของงานได้เก่งขึ้น และทำให้เรามีความ Productive มากขึ้นด้วย เพราะความคิดของเราจะถูกจัดระเบียบ และคัดเลือกสิ่งที่ดีมากขึ้น ซึ่งเราสามารถทำ Brain Dump ได้ง่าย ๆ ด้วยขั้นตอนเหล่านี้ เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม แม้ตอนนี้เราจะมีสมาร์ทโฟนที่สามารถเขียนหรือจดบันทึกได้ทุกอย่าง แต่การเขียนลงบนกระดาษนั่นมีข้อดีกว่าตรงที่ว่า มันทำให้เราจดจำหรือเห็นความสำคัญของสิ่งที่เราบันทึก เพราะการเขียนด้วยมือกระตุ้นการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการคิดและความทรงจำ (working memory) ทำให้เราสามารถจดจำข้อมูลได้นานขึ้น และยังทำให้เรามีส่วนร่วมในข้อมูลที่เราจดบันทึกไว้มากกว่าด้วย ช่วยให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองบันทึกไว้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ สร้างลิสต์ พอเราเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้ว ต่อมาให้เราสร้างลิสต์งานของตัวเอง
เวลาขับเครื่องบิน นักบินอาจเจอกับปัญหาที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดได้ เช่น เจอเครื่องบินอีกลำหนึ่งบินสวนมา หรือ อากาศแปรปวนกระทันหัน ถ้านักบินตัดสินใจแก้ปัญหาเหล่านี้ช้าเกินไป อาจทำให้เกิดการสูญเสียได้ พวกเขาจึงต้องมีสกิลในการตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากพอสมควร UNLOCKMEN อยากมาแนะนำเทคนิคที่ชื่อว่า OODA Loop ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทหารอากาศใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เจอตอนขับเครื่องบิน แต่เทคนิคนี้สามารถนำไปใช้กับเรื่องอื่นได้เช่นกันอย่างการแก้ปัญหาในที่ทำงาน OODA Loop เป็นเทคนิคในการตัดสินใจอย่างรวดเร็วของ John Boyd พันเอกประจำกองทัพอากาศสหรัฐในตำนานที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1927 – 1997 และได้ผลิตผลงานชิ้นโบว์แดงออกมามากมาย เช่น การสร้างทฤษฎี Energy-Maneuverability (EM) ที่เป็นต้นกำเนิดของเครื่องบินรบ F15 และ F16 หรือ การเขียนผลงาน Aerial Attack Study ที่นับว่าเป็น ไบเบิ้ลของการต่อสู้ทางอากาศที่ปฎิวัติวงการกองทัพอากาศทั่วโลก เป็นต้น เทคนิคนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อรับมือกับ ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ของโลก เพราะมนุษย์ไร้ความสามารถในการเข้าใจข้อมูลทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบ เราจึงต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน หรือ ตัดสินใจด้วยข้อมูลที่มีความกำกวมอยู่เสมอ OODA Loop จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการก้าวข้ามเรื่องเหล่านี้ ทุกวันนี้ OODA Loop ถูกนำไปใช้ในหลายด้าน
ถ้าเราเริ่มต้นได้ดี เราจะมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะเหมือนกับการสร้างตึก ถ้าเราทำฐานตึกดี ต่อให้เราสร้างตึกสูงแค่ไหนก็ตาม ตัวตึกก็จะแข็งแรงคงทน และถล่มได้ยาก การเริ่มต้นปีที่ดี จะทำให้เรามีความสุขตลอดปีได้เช่นกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำเทคนิคในการเริ่มต้นปีใหม่ที่จะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในปีนี้ ตั้งเป้าหมายประจำปีที่เป็นไปได้จริง อย่าตั้งเป้าหมายปีใหม่ (New year resolution) ที่แฟนตาซีเกินไปจนเป็นจริงได้ยาก เช่น อยากย้ายไปอยู่ดาวอังคาร หรือ อยากร่ำรวยขึ้นถึง 1,000 ล้านบาทภายในหนึ่งปี เราควรตั้งเป้าหมายที่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในปีนั้น โดยเป้าหมายควรมีความเฉพาะเจาะจง และสมเหตุสมผล ยกตัวอย่างเช่น ในปีนี้เราอยากเปิดธุรกิจร้านอาหาร หรือ อยากเลือนตำแหน่ง เป็นต้น เมื่อเรากำหนดเป้าหมายได้แล้ว เราควรวางแผนที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้นด้วย เช่น ระบุสกิลที่เราต้องฝึกเพิ่มเติม รวมถึงระยะเวลาที่เราควรฝึกสกิลนั้น เป็นต้น รวมถึงควรติดตามความคืบหน้าของเป้าหมายทุกเดือน และอย่าลืมแชร์เป้าหมายของตัวเองกับคนรอบตัวด้วย เพื่อรับแรงสนับสนุนและมีกำลังใจในการทำตามเป้าหมายต่อไป ไม่ทำผิดเรื่องเดิมซ้ำ ลองมองย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว เราทำอะไรผิดพลาดบ้าง เช่น จัดการเวลาผิดพลาด จนทำงานหนักเกินไป และไม่มีเวลาพักผ่อน หรือ ดูแลตัวเองน้อยไป จนสุขภาพเสีย เป็นต้น และเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านั้น เมื่อเรารับรู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ผิด
ต้องยอมรับว่าสมัยนี้เทคโนโลยีพัฒนาเร็วมาก ทุกปีเราเห็นฟีเจอร์โทรศัพที่ไฮเทคมากขึ้น เราเห็นคนหันมาลงทุนในสกุลเงินคริปโต เราเห็นคนเริ่มเปลี่ยนมาใช่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึง ความสนใจใน Metaverse โลกเสมือนที่อนุญาตให้เราสร้าง เป็นเจ้าของ และแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลโดยใช้สกุลเงินคริปโต หรือ NFT Metaverse จะทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจมากมาย เช่น แกลอรี่ออนไลน์ การทดลองสินค้าในโลกเสมือน ไปจนถึง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ออนไลน์ ธุรกิจที่เข้าสู่วงการนี้ได้เร็วจึงอาจได้รับประโยชน์จากมันมาก UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการเข้าสู่โลก Metaverse สำหรับธุรกิจที่มองเห็นถึงความสำคัญของโลกเสมือน เลือกกลุ่มเป้าหมาย ลองค้นหาดูว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร หรือ ใช้เวลาบน Metaverse นานแค่ไหน และหากลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะช่วยดึงดูดให้พวกเขาสนใจสินค้าและบริการของเรา ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นคนหนุ่มสาว พวกเขาคงรีบเข้าไปในโลก Metaverse และใช้เวลากับมันนานพอสมควร เป็นต้น ถ้าเราได้ข้อมูลตรงนี้แล้ว เราจะรู้ว่าเวลาไหนที่ธุรกิจของเราควรเข้าไปในโลก Metaverse สังเกตคู่แข่งทางธุรกิจ สำรวจดูว่าคู่แข่งของคุณทำอะไรกับ Metaverse บ้าง เช่น จัดประชุมออนไลน์ จัดงานโชว์เคสผลงาน หรืิอ เปิดร้านค้าออนไลน์บนโลกเสมือน เป็นต้น การสำรวจคู่แข่งจะทำให้เรารู้ว่าคนอื่นทำอะไรอยู่ และรู้ว่าถึงเวลาที่ธุรกิจของเราควรเข้าสู่โลก Metaverse
เคยใช้เวลาว่างพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว แต่เรายังรู้สึกเหนื่อยล้าและหายใจยังไม่ทั่วท้องหรือไม่ บางทีมันอาจเกิดขึ้นเพราะเราพักผ่อนไม่ครบทุกด้าน Dr. Saundra Dalton-Smith นักพูด Tedx และนักเขียนหนังสือชื่อ Sacred Rest: Recover Your Life, Renew Your Energy, Restore Your Sanity ได้แบ่งการพักผ่อนของมนุษย์ ออกเป็นทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ การพักผ่อนกายภาพ (physical rest) หรือ การพักผ่อนร่างกายปกติ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นทั้งแบบ active หรือ passive โดย passive จะประกอบไปด้วย การนอนและการงีบ ส่วน active จะเป็นการทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น โยคะ หรือ การนวด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาระบบไหลเวียนเลือดและความยืดหยุ่นของเรา ต่อมา คือ การพักผ่อนจิตใจ (mental rest) หรือ การทำให้จิตใจแจ่มใส ถ้าเราทำงานหนักแบบไม่หยุดพัก เราจะเกิดความเครียดสะสม จนเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าทางจิตใจได้