เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงมีชีวิตดี ทำธุรกิจอะไรก็ประสบความสำเร็จ ในขณะที่บางคนทำอะไรก็ให้ผลตอบแทนไม่งอกเงยเท่าที่ควร มีผลวิจัยทำสถิติระบุว่า เรื่องนี้อาจอยู่ที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตและมุมมองวิธีคิดของแต่ละคน เช่นคนที่มักจะรายล้อมตัวเองด้วยคน Toxic หรือมองความท้าทายเป็นปัญหาที่ไม่กล้าจะก้าวเท้าออกไปเผชิญหน้ากับมัน วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น คบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล ดูเหมือนว่าคนรอบตัวจะมีอิทธิพลต่อความสำเร็จมากกว่าที่เราคิด ถ้าเราอยู่ร่วมกับคนเก่ง เราจะกลายเป็นคนที่เก่งขึ้น ถ้าเราอยู่กับคนขี้แพ้ เราอาจกลายเป็นคนขี้แพ้ไปด้วย งานวิจัยที่ใช้เวลากว่า 25 ปีของ Dr. David McClelland อาจารย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ปัจจัยนึงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเราได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ กลุ่มอ้างอิง (reference group) หรือกลุ่มคนที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วย พูดคุยด้วย หรือ ทำงานร่วมกันเป็นประจำ คนกลุ่มนี้ส่งผลต่อตัวเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่เราเลือกคบนั้นจะมีอิทธิพลต่อเราในทุกด้าน Warren Buffet เคยพูดว่าความสำเร็จเกิดขึ้นจากการใช้เวลาร่วมกับคนที่ดีกว่าตัวเอง เลือกเพื่อนที่มีพฤติกรรมดีกว่าเรา เราจะอยากผลักดันตัวเองให้มีพฤติกรรมที่ดีขึ้นไปด้วย ดังนั้น เราควรมีเพื่อนเก่ง ๆ อย่างน้อยสักหนึ่งคนที่สามารถขอคำแนะนำหรือคำปรึกษาในยามที่เกิดปัญหา ในขณะเดียวกัน ตัวเราเองก็ต้องมีความพร้อมในการมองเห็นและยอมรับปัญหาของตัวเอง เพื่อที่จะได้พัฒนาศักยภาพให้ดีขึ้นได้แบบ inside-out เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาความรู้ใส่ตัวตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีและความรู้ในโลกเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้ความเข้าใจที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
เกิดมาเป็นผู้ชาย ต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การทำงาน การใช้ชีวิต หรือ ความสัมพันธ์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้อาจทำให้เราตกอยู่ในอาการคิดมากจนเกิดความเครียดถึงขั้นนอนไม่หลับ หากใครกำลังเจอปัญหานี้ เราแนะนำให้ลองนำเทคนิคที่ชื่อว่า Brain Dump ไปใช้ ซึ่งเทคนิคนี้จะช่วยให้สมองของเราโล่งขึ้น จนความเครียดและความกังวลข้างในหายไป ไม่เป็นภัยกับร่างกายและสมองของเราอีกต่อไป ความหมายของ Brain Dump ลองเปรียบสมองเป็นสนามหญ้าขนาดเล็ก และเปรียบความคิดของเราเป็นคนที่มาอยู่ในสนามหญ้านั้น ยิ่งคนเข้ามาอยู่ในสนามหญ้านั้นเยอะ ความแออัดวุ่นวายมันจะยิ่งมากขึ้นตามมา ถ้าเราไม่อยากให้สมองของเราวุ่นวายมากนัก เราควรใช้เทคนิคที่เรียกว่า Brain Dump ในการระบายความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมองของเรา เทคนิคนี้จะช่วยให้ความคิดของเราเป็นระบบระเบียบมากขึ้น สามารถจัดลำดับความสำคัญของงานได้เก่งขึ้น และทำให้เรามีความ Productive มากขึ้นด้วย เพราะความคิดของเราจะถูกจัดระเบียบ และคัดเลือกสิ่งที่ดีมากขึ้น ซึ่งเราสามารถทำ Brain Dump ได้ง่าย ๆ ด้วยขั้นตอนเหล่านี้ เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม แม้ตอนนี้เราจะมีสมาร์ทโฟนที่สามารถเขียนหรือจดบันทึกได้ทุกอย่าง แต่การเขียนลงบนกระดาษนั่นมีข้อดีกว่าตรงที่ว่า มันทำให้เราจดจำหรือเห็นความสำคัญของสิ่งที่เราบันทึก เพราะการเขียนด้วยมือกระตุ้นการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการคิดและความทรงจำ (working memory) ทำให้เราสามารถจดจำข้อมูลได้นานขึ้น และยังทำให้เรามีส่วนร่วมในข้อมูลที่เราจดบันทึกไว้มากกว่าด้วย ช่วยให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองบันทึกไว้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ สร้างลิสต์ พอเราเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้ว ต่อมาให้เราสร้างลิสต์งานของตัวเอง
เวลาขับเครื่องบิน นักบินอาจเจอกับปัญหาที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดได้ เช่น เจอเครื่องบินอีกลำหนึ่งบินสวนมา หรือ อากาศแปรปวนกระทันหัน ถ้านักบินตัดสินใจแก้ปัญหาเหล่านี้ช้าเกินไป อาจทำให้เกิดการสูญเสียได้ พวกเขาจึงต้องมีสกิลในการตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากพอสมควร UNLOCKMEN อยากมาแนะนำเทคนิคที่ชื่อว่า OODA Loop ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทหารอากาศใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เจอตอนขับเครื่องบิน แต่เทคนิคนี้สามารถนำไปใช้กับเรื่องอื่นได้เช่นกันอย่างการแก้ปัญหาในที่ทำงาน OODA Loop เป็นเทคนิคในการตัดสินใจอย่างรวดเร็วของ John Boyd พันเอกประจำกองทัพอากาศสหรัฐในตำนานที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1927 – 1997 และได้ผลิตผลงานชิ้นโบว์แดงออกมามากมาย เช่น การสร้างทฤษฎี Energy-Maneuverability (EM) ที่เป็นต้นกำเนิดของเครื่องบินรบ F15 และ F16 หรือ การเขียนผลงาน Aerial Attack Study ที่นับว่าเป็น ไบเบิ้ลของการต่อสู้ทางอากาศที่ปฎิวัติวงการกองทัพอากาศทั่วโลก เป็นต้น เทคนิคนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อรับมือกับ ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ของโลก เพราะมนุษย์ไร้ความสามารถในการเข้าใจข้อมูลทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบ เราจึงต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน หรือ ตัดสินใจด้วยข้อมูลที่มีความกำกวมอยู่เสมอ OODA Loop จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการก้าวข้ามเรื่องเหล่านี้ ทุกวันนี้ OODA Loop ถูกนำไปใช้ในหลายด้าน
ถ้าเราเริ่มต้นได้ดี เราจะมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะเหมือนกับการสร้างตึก ถ้าเราทำฐานตึกดี ต่อให้เราสร้างตึกสูงแค่ไหนก็ตาม ตัวตึกก็จะแข็งแรงคงทน และถล่มได้ยาก การเริ่มต้นปีที่ดี จะทำให้เรามีความสุขตลอดปีได้เช่นกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำเทคนิคในการเริ่มต้นปีใหม่ที่จะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในปีนี้ ตั้งเป้าหมายประจำปีที่เป็นไปได้จริง อย่าตั้งเป้าหมายปีใหม่ (New year resolution) ที่แฟนตาซีเกินไปจนเป็นจริงได้ยาก เช่น อยากย้ายไปอยู่ดาวอังคาร หรือ อยากร่ำรวยขึ้นถึง 1,000 ล้านบาทภายในหนึ่งปี เราควรตั้งเป้าหมายที่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในปีนั้น โดยเป้าหมายควรมีความเฉพาะเจาะจง และสมเหตุสมผล ยกตัวอย่างเช่น ในปีนี้เราอยากเปิดธุรกิจร้านอาหาร หรือ อยากเลือนตำแหน่ง เป็นต้น เมื่อเรากำหนดเป้าหมายได้แล้ว เราควรวางแผนที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้นด้วย เช่น ระบุสกิลที่เราต้องฝึกเพิ่มเติม รวมถึงระยะเวลาที่เราควรฝึกสกิลนั้น เป็นต้น รวมถึงควรติดตามความคืบหน้าของเป้าหมายทุกเดือน และอย่าลืมแชร์เป้าหมายของตัวเองกับคนรอบตัวด้วย เพื่อรับแรงสนับสนุนและมีกำลังใจในการทำตามเป้าหมายต่อไป ไม่ทำผิดเรื่องเดิมซ้ำ ลองมองย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว เราทำอะไรผิดพลาดบ้าง เช่น จัดการเวลาผิดพลาด จนทำงานหนักเกินไป และไม่มีเวลาพักผ่อน หรือ ดูแลตัวเองน้อยไป จนสุขภาพเสีย เป็นต้น และเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านั้น เมื่อเรารับรู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ผิด
ต้องยอมรับว่าสมัยนี้เทคโนโลยีพัฒนาเร็วมาก ทุกปีเราเห็นฟีเจอร์โทรศัพที่ไฮเทคมากขึ้น เราเห็นคนหันมาลงทุนในสกุลเงินคริปโต เราเห็นคนเริ่มเปลี่ยนมาใช่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึง ความสนใจใน Metaverse โลกเสมือนที่อนุญาตให้เราสร้าง เป็นเจ้าของ และแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลโดยใช้สกุลเงินคริปโต หรือ NFT Metaverse จะทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจมากมาย เช่น แกลอรี่ออนไลน์ การทดลองสินค้าในโลกเสมือน ไปจนถึง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ออนไลน์ ธุรกิจที่เข้าสู่วงการนี้ได้เร็วจึงอาจได้รับประโยชน์จากมันมาก UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการเข้าสู่โลก Metaverse สำหรับธุรกิจที่มองเห็นถึงความสำคัญของโลกเสมือน เลือกกลุ่มเป้าหมาย ลองค้นหาดูว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร หรือ ใช้เวลาบน Metaverse นานแค่ไหน และหากลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะช่วยดึงดูดให้พวกเขาสนใจสินค้าและบริการของเรา ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นคนหนุ่มสาว พวกเขาคงรีบเข้าไปในโลก Metaverse และใช้เวลากับมันนานพอสมควร เป็นต้น ถ้าเราได้ข้อมูลตรงนี้แล้ว เราจะรู้ว่าเวลาไหนที่ธุรกิจของเราควรเข้าไปในโลก Metaverse สังเกตคู่แข่งทางธุรกิจ สำรวจดูว่าคู่แข่งของคุณทำอะไรกับ Metaverse บ้าง เช่น จัดประชุมออนไลน์ จัดงานโชว์เคสผลงาน หรืิอ เปิดร้านค้าออนไลน์บนโลกเสมือน เป็นต้น การสำรวจคู่แข่งจะทำให้เรารู้ว่าคนอื่นทำอะไรอยู่ และรู้ว่าถึงเวลาที่ธุรกิจของเราควรเข้าสู่โลก Metaverse
เคยใช้เวลาว่างพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว แต่เรายังรู้สึกเหนื่อยล้าและหายใจยังไม่ทั่วท้องหรือไม่ บางทีมันอาจเกิดขึ้นเพราะเราพักผ่อนไม่ครบทุกด้าน Dr. Saundra Dalton-Smith นักพูด Tedx และนักเขียนหนังสือชื่อ Sacred Rest: Recover Your Life, Renew Your Energy, Restore Your Sanity ได้แบ่งการพักผ่อนของมนุษย์ ออกเป็นทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ การพักผ่อนกายภาพ (physical rest) หรือ การพักผ่อนร่างกายปกติ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นทั้งแบบ active หรือ passive โดย passive จะประกอบไปด้วย การนอนและการงีบ ส่วน active จะเป็นการทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น โยคะ หรือ การนวด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาระบบไหลเวียนเลือดและความยืดหยุ่นของเรา ต่อมา คือ การพักผ่อนจิตใจ (mental rest) หรือ การทำให้จิตใจแจ่มใส ถ้าเราทำงานหนักแบบไม่หยุดพัก เราจะเกิดความเครียดสะสม จนเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าทางจิตใจได้
ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง “Sex and the City” คงคุ้นเคยกับตัวละครที่ชื่อว่า “Carrie Bradshaw” นักเขียวสาวสวยผู้เป็นตัวละครหลักในเรื่อง นิสัยของเธอมีความน่าสนใจมาก คือ เธอคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ปัญหาของเธอต้องมาก่อนปัญหาของคนอื่นเสมอ และเพื่อนมีหน้าที่คอยให้กำลังใจเธอเท่านั้น นิสัยที่ชอบทำตัวเหมือนเป็นตัวเอกในเรื่องราวชีวิตของตัวเอง ในทางจิตวิทยา เรียกว่าเป็น Main Character Syndrome หรือ อาการของตัวละครหลัก ซึ่งคนที่มีอาการนี้มักมองว่าตัวเองเป็นตัวเอกในเรื่องราวชีวิตของตัวเอง และคนอื่นเป็นเพียงตัวละครสมทบเท่านั้น พวกเขาจึงไม่ค่อยสนใจชีวิตของคนอื่นมากนัก และมองว่าชีวิตของตัวเองสำคัญที่สุด หากไม่ได้รับการเปลี่ยนนิสัย อาจส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตได้ อาการนี้มักพบในคนรุ่น GenZ ที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี ซึ่งมีความผูกพันกับการใช้เทคโนโลยี พวกเขามักพยายามหนีจากโลกความเป็นจริง โดยใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการสร้างตัวตนใหม่ เช่น แต่งภาพให้ดูดีขึ้น หรือ แต่งเรื่องราวของตัวเองให้ดูน่าสนใจ แม้การมองตัวเองเป็นตัวละครหลัก จะช่วยให้เรามีความมั่นใจในการใช้ชีวิตและมองเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงมันก็สะท้อนถึงปัญหาเรื่องความมั่นใจในตัวเองเหมือนกัน เพราะคนกลุ่มนี้มักอ่อนแอต่อคำวิจารณ์มาก และเป็นพวกนิยมความสมบูรณ์แบบ จึงพยายามใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่แสดงให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองสุดยอดแค่ไหน เช่น การแต่งรูปให้ดูดี หรือ การแต่งเรื่องราวของตนเองให้คนสนใจ ปัญหาของ Main Character Syndrome คือ
เหล้ากับบุหรี่นับเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอในร้านเหล้า บางคนอยู่ข้างนอกไม่แตะบุหรี่เลย แต่พอเข้าร้านเหล้ากลับกลายเป็นสิงห์อมควันไปซะงั้นก็มี UNLOCKMEN อยากมาอธิบายว่าทำไมเวลาดื่ม เราถึงรู้สึกอยากดูดบุหรี่ ทำไมคนถึงอยากสูบบุหรี่ตอนดื่ม ความต้องการอยากสูบบุหรี่เกิดขึ้นได้จาก 2 ปัจจัย โดยปัจจัยแรก ได้แก่ ความสามารถของนิโคตินที่มีผลต่อความทรงจำของเรา ส่วนปัจจัยที่สอง คือ ความสามารถของนิโคตินในการทำงานร่วมกับแอลกอฮอล์เพื่อลดระดับโดปามีนในร่างกาย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Baylor College of Medicine ได้ทำการศึกษาสมองของหนูทดลองที่ได้รับ ‘นิโคติน’ สารเสพติดที่อยู่ในบุหรี่ โดยพวกเขาปล่อยให้หนูใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมจำลองที่มีลักษณะเป็นสองห้องแยกกัน โดยห้องแรกหนูจะได้รับนิโคติน ส่วนอีกห้องหนูจะได้รับน้ำเกลือ และหลังจากนั้นนักวิจัยจะทำการศึกษากิจกรรมที่เกิดขึ้นใน hippocampus หรือ สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความทรงจำของหนู ผลการวิจัยพบว่า เมื่อเทียบกับน้ำเกลือ การได้รับนิโคตินจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างความทรงจำที่แข็งแรง เพราะสารเคมีได้ทำให้การเชื่อมต่อของเส้นประสาทมีความแข็งแกร่งขึ้นมากถึง 2 เท่า ซึ่งปรากฎการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการสร้างความทรงจำที่แข็งแกร่งด้วย หนูทดลองยังเรียนรู้ที่จะใช้เวลาในห้องนิโคตินมากกว่าส่วนอื่นด้วย เพราะเวลาได้รับนิโคติน การเชื่อมต่อของเส้นประสาทไซแนปส์ติกมีความแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะในเวลาที่ศูนย์การให้รางวัลของสมองส่งสัญญาณโดปามีน (สารเคมีที่ทำให้เรารู้สึกดี) กล่าวคือ สมองสร้างความทรงจำที่จับคู่นิโคตินกับความรู้สึกดี (หรือ การทำงานของโดปามีน) หนูจึงรู้สึกชอบห้องที่มีนิโคตินมากกว่าห้องอื่น นอกจากนี้ทีมวิจัยยังทดสอบสมมติฐานที่ว่า การรับนิโคตินและแอลกอฮอล์พร้อมกันจะช่วยให้ระดับของโดปามีนสูงขึ้นด้วย แต่ผลที่ออกมากลับไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ แม้หนูที่ได้รับนิโคตินจะบริโภคแอลกอฮอล์มากขึ้น แต่ระดับโดปามีนของพวกมันกลับไม่เพิ่มขึ้นเลย หลังจากทดลองซ้ำหลายครั้งผลก็ออกมาเป็นเหมือนเดิม
คนส่วนมากอยากเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง อยากมีอิสระในการตัดสินใจ หรือ ควบคุมทุกเหตุการณ์ที่ตัวเองเผชิญ แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองไม่มีอิสระเอาเสียเลย เพราะเจอกับเจ้านายที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางและไม่ยอมรับฟังสิ่งที่พวกเขาพูด หรือ พวกเขากำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Toxic Relationship ที่ต้องยอมทนกับอีกฝ่ายทุกอย่าง และสะสมความอึดอัดใจไว้ที่ตัวเองเดียว หากเราไม่มีอิสระในการตัดสินใจหรือในการจัดการกับชีวิตตัวเอง เราจะมีปัญหาทั้งเรื่องการใช้ชีวิตและการทำงาน เพราะเราจะรู้สึกแย่และหมดแรงจูงใจในการใช้ชีวิต UNLOCKMEN เลยอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับทฤษฎีที่เรียกว่า Self-determination หรือ การกำหนดตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างมีแพสชันไปยาวนาน เกี่ยวกับทฤษฎี Self-determination ย้อนกลับไปเมื่อ 1971 นักจิตวิทยาชื่อว่า Edward Deci ได้ทำงานวิจัยชื้นหนึ่ง โดยเขามอบหมายให้นักเรียนจิตวิทยา 2 กลุ่มทำการแก้ไขปริศนาลูกบาศก์โซมา (Soma cube) เป็นเวลา 3 ช่วง โดยในช่วงที่สอง นักเรียนกลุ่มหนึ่งจะได้รับเงินตอบแทนทุกครั้งที่แก้ไขปริศนาได้สำเร็จและอีกกลุ่มจะไม่ได้อะไรเลย ส่วนในช่วงที่หนึ่งและสาม ไม่มีนักเรียนกลุ่มใดที่ได้รับเงินตอบแทนจากการแก้ปริศนาสำเร็จ หลังจากที่ Deci ประกาศว่าหมดเวลาในการแก้ไขปริศนา และนักเรียนถูกทิ้งไว้ในห้องทดลองสักพัก กลุ่มนักเรียนที่เคยได้รับเงินจากการแก้ไขปริศนา ก็หันเหความสนใจจากภารกิจไปทำอย่างอื่น เช่น อ่านนิตยสาร ในขณะที่กลุ่มที่ไม่เคยได้รับเงินเลยจะพยายามแก้ไขปริศนาต่อไป นำไปสู่ข้อสรุปของการทดลองที่ว่า “คนที่ได้รับเงินไม่รู้สึกถึงแรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation)
การจบบทสนทนานับเป็นสกิลที่ผู้ชายทุกคนควรมี เพราะผู้ชายอย่างเราต้องเข้าสังคม และทักษะการจบบทสนทนาจะช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นได้ แต่หลายคนคงพบว่าการจบบทสนทนาเป็นเรื่องยากมาก เพราะไม่รู้ว่าควรจะตัดจบยังไงให้ดูไม่น่าเกลียด UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำเทคนิคการจบบทสนทนาอย่างสมูท โดยไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียความรู้สึก มีเป้าหมายที่ชัดเจน เวลาจะไปพบใครก็ตาม เราควรจำไว้เสมอว่าเราไปพบกับเขาเพื่ออะไร เช่น ต้องการหาคู่ หรือ ต้องการเจรจาทางธุรกิจ การตั้งเป้าหมายจะช่วยให้เรารู้ว่าควรพูดคุยกับอีกฝ่ายประมาณไหน ป้องกันการพูดหรือฟังมากเกินไป จนจบบทสนทนาได้ยาก แถมยังช่วยให้เรากล้าตัดสินใจมากขึ้นด้วย ถ้าเราเจอกับสถานการณ์ที่ต้องทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รอจนบทสนทนาเริ่มสงบ รอสัญญาณจากอีกฝ่ายที่แสดงให้เห็นว่าบทสนทนากำลังจะจบลงแล้ว ซึ่งสัญญาณมักมาในรูปแบบของคำพูด เช่น “อืม” “โอเค” หรือ “เออ” เป็นต้น คำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มหมดเรื่องที่จะพูดกับเราแล้ว และเราสามารถใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนเรื่องคุย หรือ ตัดจบบทสนทนาที่กำลังเกิดขึ้นได้ จบด้วยเป้าหมายในการสนทนา เราควรยึดเป้าหมายในการสนทนาตั้งแต่ต้นจนจบบทสนทนา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าตอนแรกเราขอคำแนะนำจากเพื่อนเรื่องคลาสที่น่าเข้าเรียน เราอาจออกจากบทสนทนาโดยใช้ประโยคจบที่เชื่อมกับเป้าหมายในตอนแรก เช่น “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เราจะลงเรียนวิชานี้ให้ทันในเทอมหน้า” เป็นต้น จบด้วยการขอบคุณ ไม่ว่าคุณจะสนทนากับใคร หากต้องการจบบทสนทนาอย่างสุภาพ ควรจบด้วยการขอบคุณเสมอ เช่น ขอบคุณที่อีกฝ่ายสละเวลามาคุยกับเรา หรือ บอกกับอีกฝ่ายว่าการพูดคุยในครั้งนั้นสนุกมากแค่ไหน เป็นต้น