แม้งานวิจัยหลายชิ้นจะพูดถึงหลายผลเสียของ Multitasking หรือ การทำภาระหลายอย่างพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น ทำให้เนื้อสมองสีเทา (grey matter) ในสมองลดลง ทำให้ความทรงจำแย่ลง ทำให้มีสมาธิน้อยลง ทำให้เป็นภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลมากขึ้น ไปจนถึง ทำให้เรามีความ productive ลดลง แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถโฟกัสกับงานที่ละชิ้นได้ อาจเพราะมีงานหลายชิ้นที่ต้องทำให้เสร็จในเวลาเดียว หรือ อาจทำงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารที่ต้องใช้สมาธิกับภาระหลายอย่างพร้อมกัน บางคนจึงต้อง Multitasking อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากใครเจอที่กำลังเจอกับปัญหาแนวนี้ เรามี 3 คำแนะนำที่จะช่วยให้คุณ multitasking ได้เทพขึ้นกว่าเดิมมาฝาก ทำงานที่คล้ายกันพร้อมกัน สมองของเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สามารถทำงานที่ใช้ ฟังก์ชันสมองระดับสูง (High-level brain function) พร้อมกันได้ (เช่น งานที่เกี่ยวข้องกับการหาไอเดีย และ งานที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนแก้ปัญหา เป็นต้น) พูดง่าย ๆ คือ เราไม่สามารถทำงานที่ต้องใช้ความคิดพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่เราทำพร้อมกันได้มีเพียงงานที่ใช้ ฟังก์ชันสมองระดับต่ำ (Low-level brain functions) เช่น การหายใจ กับ การสูบฉีดเลือด
หลายคงรู้จักกับใครสักคนที่คลั่งไคล้ดารา ศิลปิน หรือ คนดังแบบหัวปักหัวปำแบบตามติดตามชีวิตของคนดังในทุกฝีก้าวกันมาบ้าง พวกเขาอาจรักมากจนยอมควักเงินก้อนโตเพื่อทำป้ายวันเกิด หรือ ซื้อของสะสมของไอดอลคนนั้นมาประดับห้องหลายชิ้น บางคนอาจสงสัยว่าทำไมเราถึงรักคนที่ไม่สนใจใยดีเราได้ขนาดนี้ วันนี้เราจะคลายความสงสัยของทุกคนด้วยการอธิบายเรื่อง ‘Parasocial Relationship’ หรือ ความสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม เกี่ยวกับ Parasocial Relationship “เก็บเรื่องของนางเอกที่ชื่นชอบไปฝัน” หรือ “การทำตัวเองให้ดูเท่แบบพระเอกในหนังเรื่องโปรด” ล้วนเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าเราอาจตกอยู่ในความสัมพันธ์แบบ “Parasocial Relationship” กับคนบนหน้าจอที่เราหลงใหล โดยความสัมพันธ์ประเภทนี้ได้รับการนิยามโดยสองนักจิตวิทยาทางสังคม Donald Horton และ R. Richard Wohl ตั้งแต่ปี 1956 ซึ่งเป็นปีที่พวกเขาได้ทำงานวิจัยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคนดูและบุคคลที่ปรากฎในทีวี เช่น ผู้ประกาศข่าว หรือ นักแสดงละครน้ำเน่า จนค้นพบปรากฎการณ์ที่น่าสนใจจากงานวิจัยดังกล่าว จากการวิจัย พวกเขาพบว่า ผู้ชมทีวีชาวอเมริกัน ได้เกิดความสัมพันธ์ face-to-face relationship แบบหลอก ๆ กับตัวละครในทีวีขึ้นมา หรือ พูดง่าย ๆ คือ พอพวกเขามองตัวละครในทีวีไม่ต่างจากเพื่อนหรอคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาในโลกความเป็นจริง พอพวกเขาได้เห็นชีวิตของตัวละครเหล่านี้บ่อย ๆ
สุภาพบุรุษทุกคนต้องพึ่งพาสภาพ ‘กาย’ และ ‘ใจ’ ในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เพราะร่างกายที่แข็งแรงจะทำให้รอดจากโรคภัยไข้เจ็บและมีแรงในการใช้ชีวิต ส่วนสุขภาพจิตที่ดีก็ทำให้คุณผู้ชายไม่ขาดแรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ แม้หลายคนจะใส่ใจกับการออกกำลังกายกันแล้ว แต่เรื่องการออกกำลังกายจิตเรามักใส่ใจกันน้อยเกินไป อาจเพราะไม่รู้วิธี หรือ ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมันมาก่อน สุดท้ายจึงกลายเป็นซึมเศร้า หรือ หมดไฟกันง่ายกว่าปกติ UNLOCMEN จึงอยากมาแนะนำเคล็ดในการพัฒนา Mental Fitness หรือ ความฟิตของจิตใจ เพื่อให้หัวใจของทุกคนแข็งแกร่งขึ้น และมีแรงจูงใจในการใช้ชีวิตในแต่ละวันมากขึ้นตามมา What is mental fitness ? ใครได้ยินคำว่า Mental Fitness ครั้งแรก อาจนึกถึงการทำแบบฝึกสมองเพื่อบูส IQ ให้ถึงขั้นอัจฉริยะ หรือ การเข้าร่วมกิจกรรมฝึกจิตใจจนกล้าแกร่งแบบซามูไร ซึ่งไม่ใช่ ความหมายของ Mental Fitness จริง ๆ แล้ว คือ การรักษาสภาพจิตใจ อารมณ์ และสมอง ให้มีความเฮลตี้ จนสามารถตระหนักถึงความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมของตัวเองได้เสมอ นั่นหมายความว่า
บางครั้งการขอคำปรึกษาเรื่องปัญหาส่วนตัวจากเพื่อนสนิท คนในครอบครัว หรือ แฟน ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกโล่งใจกว่าเดิม กลับกันมันยิ่งพาเราดาวน์หนักกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป เพราะผู้ให้คำปรึกษาดันไม่คิดถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราเวลาเจอกับปัญหา แถมยังให้คำแนะนำที่ทำให้เราดูเป็น ‘ไอ้โง่’ ด้วยอีก แม้มันจะเป็นคำแนะนำที่สมเหตุสมผล และควรทำตามเมื่อเจอกับปัญหาจริง แต่ในสถานการณ์จริง เรามักทำตามคำแนะนำเหล่านี้ไม่ได้ เพราะความเครียด ความกังวล หรือ ความตื่นตระหนก มันทำให้เราไม่สามารถคิดและตัดสินใจอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้เต็มที่ และอาจตัดสินใจทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป ลองจินตนาการดูว่าเวลาเจอคนเป็นลมหมดสติโดยบังเอิญ เราจะ react อย่างไรบ้าง เรามักได้รับคำแนะนำมาว่าให้รีบทำ CPR โทรเรียกรถฉุกเฉิน หรือ พาผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาลในทันที แต่ในสถานการณ์จริง เรามักจะเกิดความกังวลหลายอย่างจนเป็นคำถามในใจ เช่น เราจะปฐมพยาบาลเขาได้ดีพอรึเปล่านะ หรือ ถ้าเราพลาดเราจะซวยแค่ไหนกัน เป็นต้น จนสุดท้ายเราอาจทำในสิ่งที่ต่างออกไป เช่น เพิกเฉย หรือ เดินหนีออกมาจากสถานการณ์นั้น การละเลยดีเทลตรงนี้เองที่ทำให้การปรึกษามักต้องเจอกับความล้มเหลวอยู่เสมอ จนหลายคนที่ขอคำปรึกษารู้สึกเสียใจภายหลัง และไม่กล้าเปิดใจให้ใครไปนาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะการเก็บปัญหาไว้กับตัวเองเพียงผู้เดียว มักทำให้เกิดความเครียดสะสมและอาการเก็บกดที่ทำสุขภาพจิตเสื่อมลงทุกวัน จึงดีกว่าถ้าทุกคนสามารถรับมือกับมันได้ โดยเริ่มจากการเข้าใจปัญหาที่เรียกว่า ‘Empathy Gap’ Empathy Gap คืออะไร
ManUp สัปดาห์นี้เป็นการอัพสกิลเมนูเบสิกที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง ‘ข้าวผัด’ แต่จะผัดข้าวยังไงให้ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจไม่จำเจ? บอกเลยว่าต้องลองเมนู ‘ข้าวผัดมันเนื้อ’ ข้าวผัดพริกเผาจีนหอม ๆ คลุกเคล้าเนื้อสันคอหั่นเต๋าย่างขนาดกำลังเคี้ยว ท็อปด้วยสเต็กสันคอชิ้นหนามันเนื้อฉ่ำแตกซ่านทุกคำที่กัดเข้าไป โปะหน้าอีกรอบด้วยไข่ดาวกรอบ ๆ ไข่แดงเยิ้ม ๆ เรียกได้ว่าทั้งหมดทั้งมวลในจานนี้มันคือสวรรค์ดี ๆ ที่รอเดินทางเข้าปากเท่านั้นเอง งานนี้ใครอยากทำข้าวผัดฟิน ๆ กรุ่นกลิ่นสเต็กชั้นดี รีบเตรียมวัตถุดิบ แล้วลงมือทำตามขั้นตอนได้เลย ส่วนผสม วัตถุดิบและเครื่องปรุงข้าวผัด ▪️เนื้อ Chuck (เนื้อส่วนสันคอ) หั่นเต๋า 50 กรัม ▪️ข้าวสวย 130g (แนะนำเป็นข้าวเก่าหุงแล้วแช่เย็นทิ้งไว้ 1 คืน) ▪️ซอสถั่วเหลือง 20 กรัม ▪️น้ำปลาเล็กน้อย ▪️ซอสหอยนางรม 30 กรัม ▪️น้ำพริกเผาจีน 45 กรัม ▪️กระเทียมฝานหรือสับ 15 กรัม ▪️พริก 15 กรัม ▪️ไข่ไก่ 1 ฟอง
เมื่อพูดถึงสเต็กเนื้อ เมนูนี้น่าจะติดอยู่ในลิสต์อาหารโปรดอันดับต้น ๆ ของใครหลายคน เรียกได้ว่าชื่นชอบจนถึงกับต้องมาลองทำกินเองที่บ้าน แน่นอนว่ามีทั้งประสบความสำเร็จอร่อยถูกใจ หรืออาจจะเฟลจนไม่กล้าเปิดเตาแสดงฝีมือกันอีกต่อไป สำหรับใครที่ยังไม่มั่นใจในฝีมือทำสเต็กของตัวเอง คอลัมน์ ManUP อยากชวนให้ลุกขึ้นมาอัพสกิลการลงครัวอีกครั้งกับ Filet mignon with Pomme Puree เมนูสเต็กเนื้อสันในฉ่ำ ๆ เคียงคู่กับมันบดเนื้อเนียนนุ่ม รสกลมกล่อม เอาไว้ทำกินที่บ้าน หรือโชว์ฝีมือเซอร์ไพรส์คนพิเศษก็เท่ไม่หยอก งานนี้ส่วนผสมและขั้นตอนวิธีทำจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันได้เลย ส่วนผสม สเต็ก เนื้อ Tenderloin 300 กรัม น้ำมันมะกอก 30 กรัม เนย 40 กรัม กระเทียม 2 -3 กลีบ ใบ Thyme / Rosemary เกลือ พริกไทยดำ มันบด มันฝรั่ง 100 กรัม นมสด 30 กรัม เนย 50
หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของ ‘ผู้นำ’ คือ การนำพาทีมหรือองค์กรไปสู่ความสำเร็จให้ได้ในที่สุด ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้นต้องอาศัยหลายทักษะ ไม่ว่าจะเป็น ทักษะในกำกับดูแลผู้อื่น ทักษะในการสื่อสารอย่างชัดเจน ไปจนถึง ทักษะในการให้กำลังใจคนอื่น แต่ในองค์กรมักจะมีหัวหน้าประเภทหนึ่ง ที่เมื่อเลือนขั้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำในองค์แล้ว พวกเขากลับไม่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเหมาะสม พวกเขาเลือกที่จะเพิกเฉยต่อทีมทำงานของตัวเอง ไม่ยอมกำกับการทำงาน หรือ ดูแลสารทุกข์สุขดิบของลูกน้องเลย เอาแต่สนใจผลประโยชน์รวมถึงอภิสิทธิ์ที่ได้รับจากตำแหน่ง เราเรียกหัวหน้าประเภทนี้ว่าเป็น absentee leader ซึ่งเป็นผู้นำประเภทที่ทำลายองค์กรได้อย่างร้ายกาจ ความร้ายกาจของ absentee leader หลายคนคิดว่า หัวหน้าที่ปล่อยให้ลูกน้องทำอะไรตามอำเภอใจ ไม่ค่อยจู้จี้จุกจิก หรือ สนใจการทำงานของลูกน้องมาก จะทำให้ลูกน้องมีความสุขมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง absentee leader อาจทำให้ลูกน้องไม่มีความสุขในการทำงานเลย เพราะพฤติกรรมต่าง ๆ ของพวกเขา (เช่น ไม่ยอมควบคุม หรือ กำกับการทำงานของลูกน้องในระดับที่น้อยมาก มักตัดสินใจล่าช้าอยู่ ไม่มี performance feedback หรือ ไม่เคยกระตุ้นให้พนักงานทำงาน เป็นต้น) สามารถทำให้ลูกน้องเจอกับปัญหากับเพื่อนร่วมงานบ่อยขึ้น เกิดความคลุมเครือในบทบาทหน้าที่ของตัวเองได้ง่ายขึ้น ถูกกลั่นแกล้งได้มากขึ้น และรู้สึกหมดไฟกับการทำงานได้ง่ายขึ้น เมื่อปัญหาเหล่านี้
ในชีวิตนี้เราคงผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เรามีความสุขมามากมาย เช่น ตอนที่ได้ของขวัญวันเกิด ตอนที่ได้รางวัลใหญ่ ตอนที่จีบสาวติด หรือ ตอนที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จ เหตุการณ์เหล่านั้นคงทำให้หลายคนเกิดอาการดีใจเบิกบาน ร่าเริง และมีกำลังใจในการใช้ชีวิตไปอีกหลายวัน แม้ความสุขดูจะเป็นสิ่งที่ดีจนทำให้หลายคนพยายามตามหามัน แต่วิทยาศาสตร์กลับบอกเราว่า การให้ความสำคัญกับความสุขมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อเราได้ในหลายด้านเหมือนกัน เช่น ทำให้เราเผชิญหน้ากับปัญหาได้แย่ลง ทำให้เราไม่มีความสุข ร้ายที่สุดมันอาจทำให้เราตายไวขึ้นด้วย ความสุขที่มากเกินไปอาจไม่ดีต่อหัวใจ ความสุขที่มากเกินไปอาจส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจของเราอ่อนแรงลงได้ไม่ต่างจากคนอกหัก ทีมวิจัยจาก University Hospital Zurich พบว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขอาจทำให้เราเกิด ภาวะใจแหลกสลาย (Takotsubo syndrome) หรือ ภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงแบบเฉียบพลันได้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วย Takotsubo syndrome จำนวน 485 ราย แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยจำนวนกว่า 96% มีเหตุการณ์เศร้าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ ส่วนอีก 4% มีอาการจากเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาดีใจสุดขีด งานวิจัยชิ้นนี้ทำให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ความเศร้าที่เป็นภัยต่อหัวใจ แต่ความสุขก็ทำให้ชีวิตตกอยู่ในอันตรายได้เหมือนกัน ความสุขที่มากเกินไปอาจทำให้เราแก้ปัญหาได้แย่ลง แม้ความปิติยินดีจะเป็นแรงผลักดันให้เราใช้ชีวิต และทำให้เราทำอะไรหลายอย่างได้ดีขึ้น แต่ถ้าเราถูกครอบงำด้วยความสุขมากเกินไป ผลที่เกิดขึ้นอาจมีร้ายมากกว่าดี งานวิจัยเมื่อปี 2008 ได้ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์ คือ
เวลาป่วยหลายคนอาจไม่กล้าที่จะลางานด้วยหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาด้านการเงิน ภาระงานที่กองเป็นภูเขา หรือ การอยู่ในสังคมที่มองคนลาหยุดไม่ดี สุดท้ายพวกเขาก็พยายามพาตัวเองมาทำงานในสภาพที่ไม่พร้อมเต็มที่ และทำผิดพลาดได้บ่อยขึ้นในที่สุด ปัญหาเรื่องพนักงานไม่ยอมลาหยุดงาน และมาทำงานตอนป่วย หรือ บาดเจ็บ เราเรียกกันว่า ‘Presenteeism’ ซึ่งสามารถทำลาย Productivity ในการทำงานของคนได้มากถึง 1 ใน 3 แถมปัญหานี้ยังอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดด้วย มีคนทำงานชาวไทยจำนวนมากที่ไม่ยอมลาป่วย และมาทำงานในสภาพที่ไม่พร้อม ส่งผลให้พวกเขาทำงานได้ไม่เต็มที่ อ้างอิงจาก การสำรวจของบริษัทประกันซิกน่า (2018) พบว่า คนไทยราว 89% ยังคงไปทำงานแม้ตัวเองจะป่วย หรือ มีสภาพจิตใจที่ไม่พร้อม ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขาลดลงเหลือเพียง 74% เท่านั้น นอกจากจะทำให้งานเสียแล้ว ปัญหานี้อาจนำไปสู่ปัญหาหนักข้ออื่น ๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเรื่องความเหนื่อยล้าของพนักงาน หรือ ปัญหาที่ร้ายแรงกว่านั้นอย่างการแพร่ระบาดของโรคในออฟฟิศ Presenteeism จึงเป็นปัญหาที่ส่งผลเสียต่อภาคธุรกิจอย่างมาก และคนระดับผู้นำไม่ควรมองข้ามปัญหานี้ ทำไมพนักงานถึงไม่ยอมลาป่วย ? ภาระงานที่มากเกินไป นโยบายที่กระตุ้นให้พนักงานลาหยุดน้อยลง วัฒนธรรมที่สนับสนุนการทำงานหนัก จนถึง มุมมองที่มีต่อการลาหยุดว่าเป็นเรื่องเลวร้าย ล้วนกระตุ้นให้เกิด
ผู้ชายอย่างเรามักมีภาระกองเท่าภูเขา ไหนจะภาระค่าใช้จ่าย ภาระครอบครัว หรือ ภาระเรื่องงาน ปัญหาเหล่านี้มักทำให้เราปวดหัว เกิดอาการกังวลจนทำตัวไม่ถูกกันอยู่บ่อย ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ด้วยเทคนิค การจัดลำดับ (Scheduling) เราจะรับมือกับพวกมันได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน Scheduling คือ ทักษะในการเรียงความสำคัญของกิจกรรมที่เราต้องทำในแต่ละวัน มันจะทำให้เรารู้ว่าควรทำอะไรก่อนและควรทำอะไรหลัง และสามารถลงมือทำอย่างเป็นลำดับที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด หลายคนอาจคุ้นเคยกับมันอยู่แล้ว เช่น การทำตารางเวลา หรือ จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันในรูปแบบของ to-dolist แม้ Scheduling จะทำได้ง่าย และหลายคนทำเป็นอยู่แล้ว แต่มันก็มีทิปที่เราควรรู้ไว้ เพื่อให้เราทำมันได้ดีขึ้นเหมือนกัน UNLOCKMEN อยากมาแนะนำเทคนิคที่ช่วยพัฒนา Scheduling เพื่อชีวิตที่จัดการได้อย่างราบรื่นมากขึ้น กำหนดเวลาที่เราจะเริ่มคิด schedule ทุกวัน ก่อนนอนควรเป็นช่วงเวลาที่เราพร้อมสำหรับการพักผ่อน ถ้าช่วงนั้นหัวเราไม่โล่ง เต็มไปด้วยความกังวลถึงเรื่องต่าง ๆ เราจะมีปัญหาเรื่องการนอน และตื่นมาในสภาพนอนไม่พอได้ ดังนั้น เราจึงไม่ควรทำ to-dolist ก่อนนอน แต่ควรทำก่อนหน้านั้น เพื่อไม่ให้ความกังวลรบกวนการนอนของเรา เราอาจเริ่มทำมันตอนที่สมองเรายังพร้อมรับความกังวลอยู่ เช่น ช่วงก่อนเลิกงาน 10 นาที