ในแต่ละวันหลายคนหมดเวลาไปกับการทำอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นอน ทำงาน และ สารพัดกิจกรรม จนบางทีมันก็ไม่เวลาเหลือให้เราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริง ๆ UNLOCKMEN อยากมาแนะนำวิธีที่จะช่วยให้ทุกคนมีเวลาในชีวิตมากขึ้น เพียงแค่เปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันเล็กน้อยเท่านั้น เวลาในชีวิตก็สามารถเพิ่มขึ้นได้ วางแผน ถ้าเราใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวัน ๆ โดยไม่มีการวางแผน หรือ จัดการตารางชีวิต เราจะควบคุมเวลาชีวิตได้ยาก และสูญเสียเวลากับกิจกรรมที่ไม่สำคัญมากเกินความจำเป็น แม้การวางแผนจะดูดกลืนพลังงานของเรา แต่มันก็ช่วยให้เราควบคุมเวลาได้ดีขึ้น เวลาต้องการซื้อของ 7 อย่าง เราไม่จำเป็นต้องซื้อทุกอย่างที่ห้างสรรพสินค้าก็ได้ ในระหว่างทางไปห้าง อาจมีร้านสะดวกซื้อที่ขายของที่เราต้องการเหมือนกัน ถ้าเรารู้จักวางแผนการเดินทาง และสถานที่ซื้อสินค้า มันก็จะช่วยลดเวลาในการซื้อของลงได้ ค้นหาว่าเราเสียเวลาไปกับอะไรมากที่สุด บางคนอาจเสียเวลาไปกับการคิดเมนูอาหารกลางวัน บางคนอาจเสียเวลาไปกับการเลือกเสื้อผ้า ฯลฯ แต่ละคนเสียเวลาไปกับสิ่งที่แตกต่างกัน ถ้าทุกคนรู้ว่าแต่ละวันเราเสียเวลาไปกับอะไรบ้าง เราจะคิดวิธีรับมือกับมันได้มากขึ้น และมีเวลามากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเสียเวลาแต่ละวันไปกับการเลือกอาหาร เราก็ควรคิดเมนูอาหารล่วง เพื่อที่ครั้งต่อไปจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเลือกเมนูอาหาร กำหนดเวลาในการคุย เวลาที่เราคุยไลน์ คุยโทรศัพท์ ถ้าเรากำหนดเวลาในการคุย เราจะใช้เวลาในการคุยน้อยลง และมีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น เพราะเวลาที่จำกัด ทำให้เราต้องรีบคุยเข้าประเด็น และไม่คุยนอกเรื่องจนเสียเวลา เหมือนตอนที่เราไม่กำหนดเวลาในการคุย ซึ่งบางครั้งทำให้เราเสียเวลาทำสิ่งอื่นไปเยอะเหมือนกัน เลิกกังวลได้แล้ว
อยู่บ้านนาน ๆ อย่าปล่อยให้เวลาเสียเปล่า มาใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ และเรียนรู้สกิลใหม่กันดีกว่า !! ในบทความนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำ 5 วิธีที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถจดจำและเรียนรู้สกิลใหม่ได้เร็วขึ้น และช่วยให้ทุกคนไม่ล้มเลิกการเรียนกลางคันด้วย ตั้งเป้าหมายในการเรียน ก่อนอื่นเลย สิ่งแรกที่เราควรทำตอนเรียกสกิลใหม่ คือ การตั้งเป้าหมายในการเรียน เพราะมันจะช่วยให้เรามีกำลังใจในการเรียนต่อไปได้นาน และไม่รู้สึกท้อในระหว่างการเรียนได้ง่ายเมื่อเจอกับอุปสรรค์ การหาเป้าหมายสามารถทำได้โดยการตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น ทำไมเราถึงอยากเรียนสกิลนี้ไม่ใช่สกิลอื่น ? หรือ เมื่อเราเรียนสกิลนี้สำเร็จแล้วเราจะทำอะไรต่อไป ? เป็นต้น แบ่งย่อยเนื้อหาของสกิล เมื่อเรากำหนดเป้าหมายในการเรียนแล้ว สิ่งต่อไปที่เราควรทำ คือ การค้นคว้าหาข้อมูลว่าสกิลไหนที่เราอยากจะเรียนรู้เพิ่มเติม เมื่อเรามีข้อมูลเกี่ยวกับสกิลใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว ให้เราลองลิสต์องค์ประกอบของสกิลนั้นออกมาให้ได้มากที่สุด เช่น ถ้าเราอยากเรียนรู้ทักษะการพูดในที่สาธารณะ (public speaking) องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องก็จะมีตั้งแต่ ภาษากาย สีหน้าท่าทาง การนำเสนอ การใช้เสียง ฯลฯ การรู้เรื่องเหล่านี้จะช่วยให้เรามองเห็นทิศทางในการเรียนมากขึ้น และปวดหัวกับการเรียนน้อยลง สนใจทักษะย่อยที่สำคัญที่สุด หลักการของพาเรโต้ (Pareto’s principle) บอกว่า สิ่งที่สำคัญมีอยู่เป็นจำนวนน้อยกว่าสิ่งที่ไม่สำคัญ ความพยายาม 20% อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เราคาดหวัง
ผู้ชายหลายคนที่อยู่บ้านกันนานจนเหงาหงอย ช่วงนี้คงมองหาสาวคู่ใจไว้เติมเต็มช่องว่างในชีวิต แต่การเดทสำหรับมือใหม่ถือเป็นเรื่องที่ challenging พอสมควร ไหนจะต้องคิดถึงการแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผม บทสนทนา ไปจนถึงเรื่องสถานที่เดท UNLOCKMEN อยากมาแนะนำ 5 สิ่งที่ผู้ชายยุคใหม่ควรทำเมื่อไปเดทกับสาว ๆ บอกเลยว่าเมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว คุณจะมีประสบการณ์การเดทที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นอย่างแน่นอน มูฟออนให้ได้ก่อน ถ้าคุณเพิ่งอกหักมา หรือ จมอยู่กับอดีตที่เลวร้าย และยังมูฟออนไม่ได้ เราขอแนะนำให้คุณอย่าเพิ่งเริ่มเดทกับใครจะดีกว่า เพราะอารมณ์ร้าย ไม่ว่าจะเป็น ความเศร้า ความโกรธ หรือ ความแค้น จะทำให้เรายิ่งเจ็บปวดจากการเดทครั้งใหม่ได้ เราควรหาทางเยียวยาจากมันก่อน ไม่ว่าจะเป็น การไปเที่ยวกับเพื่อน หรือ ทำกิจกรรมผ่อนคลาย แล้วค่อยเริ่มต้นใหม่จะช่วยให้เรามีเดทที่เพอร์เฟคมากกว่า อย่าถามเกี่ยวกับเรื่องโปรไฟล์คู่เดท (Dating Profile) สมัยนี้การเดทง่ายกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เพราะเรามีแอปหรือเว็ปไซต์หาคู่หลายเจ้า เช่น Tinder, Coffee Meets Bagel หรือ Bumble เป็นต้น เพียงเรากรอกข้อมูล Dating Profile ในแอปเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ ความสนใจ
เมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์บางอย่าง เช่น ตกใจ โกรธ หรือ กลัว หลายคนคงอยากระบายอารมณ์เหล่านั้นออกมาด้วยการพูดคำหยาบ หรือ สบถ แต่บางครั้งก็เลือกที่จะไม่ทำ เพราะค่านิยมของสังคมทำให้การสบถกลายเป็นเรื่องต้องห้าม ใครที่ทำแล้วจะดูเป็นคนป่าเถื่อน ไม่มีความน่าเชื่อถือ และอยู่ในสังคมได้ยากลำบากมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การสบถอาจส่งผลดีต่อเรามากกว่าที่หลายคิด UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปดูว่าประโยชน์ของการสบถมีอะไรบ้าง ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพูดคำหยาบคายถือเป็นวิธีการแสดงอารมณ์อย่างหนึ่ง หากเราใช้คำหยาบคายเวลาพูด มันช่วยจึงทำให้ประโยคคำพูดของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากขึ้น และทำให้คนอื่นสนใจคำพูดของเรามากขึ้นเช่นกัน งานวิจัยจาก Communication Studies, Ithaca College (2012) ได้ทำการศึกษาวิธีการรับรู้คำสบถของคน และพบว่า การสบถสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร และทำให้สิ่งที่เราพูดสามารถโน้มน้าวจิตใจคนฟังได้มากขึ้น เมื่อมันทำให้เกิดความรู้สึกด้านบวกแบบ positive surprise นอกจากนี้งานวิจัยทำให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้มองการสบถแย่เสมอไป ช่วยให้เราทนทานต่อความเจ็บปวดมากขึ้น นอกจากจะช่วยให้เราคุยกับคนอื่นได้ดีขึ้นแล้ว การสบถคำหยาบยังช่วยเราอึดทนทานต่อความเจ็บปวดได้มากขึ้นด้วย งานวิจัยจาก Keele University (2009) ได้ทดลองให้นักศึกษาจุ่มมือข้างหนึ่งลงไปในน้ำเย็น พร้อมพูดคำหยาบ หรือ คำปกติ และพบว่า เมื่อผู้เข้าร่วมการทดลองพูดคำหยาบคายดัง ๆ ซ้ำ ๆ พวกเขาสามารถแช่นิ้วในน้ำได้นานขึ้น
ปัญหาเรื่องการพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลเสียต่อมนุษย์ทุกคนได้มากมาย ผลร้ายของมัน ไม่ว่าจะเป็น ทำให้ไม่มีแรงในการใช้ชีวิต ขาดสมาธิในการทำงาน เคยทำชีวิตของใครหลายคนพังมานักต่อนัก และยิ่งไปกว่านั้น ปัญหานี้อาจทำให้เกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาได้อีกเช่นกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำเทคนิคจาก NASA ที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น บอกเลยว่าใครที่นอนหลับยาก ไม่ควรพลาดบทความนี้ด้วยประการทั้งปวง !! เริ่มจากสร้างตารางชีวิตประจำวัน เคยสงสัยไหมว่าบางครั้ง นอนเยอะ นอนหลายชั่วโมงแล้ว แต่ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกง่วงอยู่ นั่นอาจเป็นเพราะร่างกายของเรารับรู้เวลารับตื่นไม่ถูกต้อง ร่างกายของเรามีระบบที่เรียกว่า ‘นาฬิกาชีวิต’ (Biological Clocks) ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมช่วงเวลาตื่นและหลับของเรา โดยการหลั่งฮอร์โมนและสารต่าง ๆ ออกมาเพื่อให้เราเรารู้สึกง่วง (เมื่อถึงเวลานอน) หรือ ตื่นตัว (เมื่อถึงเวลาตื่น) หากเรานอนไม่เป็นเวลา นอนดึก ตื่นสาย นาฬิกาเรือนนี้สามารถเกิดความผิดปกติขึ้นมาได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรง เช่น โรคนอนไม่หลับ หรือ อาการเหนื่อยล้า ขึ้นมาได้ด้วย การกำหนดตารางเวลาตื่นนอน จะช่วยให้เรานอนเป็นเวลา และป้องกันไม่ให้นาฬิกาชีวิตผิดปกติ ซึ่งเวลาทำตารางเวลาควรให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมชาติของนาฬิกาชีวิต และพฤติกรรมการนอนของตัวเอง อีกทั้งควรมีการระบุเรื่องวิธีการเปิดไฟ การกินอาหาร การออกกำลังกาย และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการนอนของเราด้วย เพื่อให้เราสามารถลงมือทำจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เคยรู้สึกไหมว่า ยิ่งเราโตขึ้น สมองของเรายิ่งเฉื่อยชาลงทุกวัน ? ถ้ารู้สึก มันอาจเป็นเพราะเราไม่ได้ทำกิจกรรมที่เพิ่ม ‘ความยืดหยุ่นของสมอง’ (Neuroplasticity) ส่งผลให้สมองไม่มีการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ หรือ เรียกว่าไม่มีพัฒนาการใด ๆ และเกิดอาการเฉื่อยชาขึ้นมา UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำกิจกรรมที่จะช่วยให้สมองของเรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น และมันจะช่วยให้เราทำงานและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วกว่าเดิมด้วย จดจำคำศัพท์ใหม่ทุกวัน หากคุณกำลังเรียนภาษาต่างประเทศอยู่ คุณอาจมีสมองที่ดีกว่าคนอื่น เพราะงานวิจัยบอกว่าการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ทำให้สมองพัฒนาขึ้นได้ อ้างอิงงานวิจัยของ Tom A F Anderson จากมหาวิทยาลัย National Central University ที่ศึกษาผลของการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ที่มีต่อการทำงานสมอง และพบว่า การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ช่วยพัฒนาความจำเพื่อใช้ปฎิบัติงาน (Working Memory) รวมถึงความสามารถในการสื่อสารกับคนรอบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัด หากเราเป็นคนที่ถนัดมือขวา ลองฝึกใช้มือซ้ายในการทำสิ่งต่าง ๆ ดู ไม่ว่าจะเป็น แปรงฟัน เขียนหนังสือ หรือ จับเมาส์ การฝึกฝนมือข้างที่ไม่ถนัดจะช่วยให้สมองเกิดความยืดหยุ่นมากขึ้นได้ สามารถสร้างวิถีประสาทใหม่ (neural pathways) ได้มากขึ้น และยังช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสามทมีความแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย นั่นหมายความว่าสมองของคุณจะทรงพลังมากกว่าเก่า ฝึกโยนลูกบอลสลับมือ การฝึกโยนลูกบอลสลับมือ หรือ
หลายคนเวลาเริ่มทำงานกลุ่ม หรือ โปรเจ็กต์ อาจประสบกับปัญหาสมองค้าง เพราะต้องรับข้อมูลมากมาย จนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี หรือ บางคนอาจเริ่มจากการรวบรวมความคิดเห็นของสมาชิกในนกลุ่มทุกคนก่อน ก่อนที่จะพบว่าทุกคนต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันจนไม่สามารถหาจุดตรงกลางได้ การคิดไอเดียมักเป็นเรื่องยากเสมอ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการที่เรียกว่า HMW ซึ่งจะช่วยให้เรามองปัญหาถูกจุด และคิดไอเดียการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น HMW คืออะไร HWM เป็นวิธีการคิดแก้ปัญหาที่ได้รับความนิยมในหมู่ดีไซนเนอร์ มันมักถูกใช้ในเวลา brainstorming เพื่อทำโปรเพื่อเจ็กต์ใหญ่ หรือ คิดกลยุทธ์ในการทำงาน โดย HMW เป็นคำย่อของประโยคภาษาอังกฤษ How might we ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “เป็นไปได้ไหมที่จะ…” คนมักจะเขียนประโยคนี้ลงในโน้ตหรือโพสอิท เพื่อสำรวจว่ามีอะไรคือปัญหาที่ควรแก้ไข หรือ สิ่งที่เราควรทำให้สำเร็จ ซึ่งมักใช้งานได้ดี เพราะการตั้งคำถามมักทำให้คนคิดถึงปัญหาอย่างลึกซึ้งมากขึ้น มองเห็นปัญหาที่ชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้คิดวิธีการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามมา ดังนั้น หากทุกคนสามารถ HMW ไปใช้ได้ จะสามารถแก้ปัญหา และคิดไอเดียได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน วิธีการนำ HMW ไปใช้ เริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์สำหรับการทำโน้ต HMW ก่อน ได้แก่ โพสอิท อุปกรณ์ในการเขียนหนังสือ
หลายคนน่าจะเจอเคยเจอกับความรู้สึกที่ว่า “ทำดีไปก็ไม่ช่วยอะไร” พอเจอกับความรู้สึกแบบต้องมีดาวน์ หรือ ไม่อยากทำสิ่งที่ทำอยู่กันบ้าง ซึ่งมันอาจเกิดขึ้นได้จากปรากฎการณ์ GOLEM EFFECT ที่นอกจากจะส่งผลเสียต่อการทำงานของลูกน้องแล้ว ยังส่งผลเสียต่อผลวานขององค์กรโดยรวมได้ด้วย เราเลยจำเป็นที่จะต้องรู้เท่าทันมัน พร้อมรับมือกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อะไร คือ GOLEM EFFECT ? นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเรื่องผลของ “ความคาดหวัง” ที่มีต่อคนมานานแล้ว ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยจากประเทศอิสราเอล ในปี 1982 ซึ่งพบว่า เด็กนักเรียนที่ถูกคาดหวังต่ำในห้องเรียนที่มีครูเป็นคนอคติสูง จะได้รับการปฏิบัติจากครูที่แย่กว่า และมีผลงานที่เลวร้ายกว่าเด็กนักเรียนคนอื่น ๆ หรือ งานวิจัยในปี 2007 ซึ่งพบว่า ความคาดหวังผลงานของนักเรียนในแง่ลบส่งให้พวกเขาทำผลงานที่ต้องใช้ความคิด ( cognitively based tasks ) ออกมาได้แย่ลง เป็นต้น งานวิจัยเหล่านี้ได้ยืนยันการมีอยู่ของ ‘GOLEM EFFECT’ หรือ ปรากฎการณ์ที่ ‘ความคาดหวังในแง่ลบของคนอื่น’ ส่งผลให้คนที่โดนคาดหวังทำผลงานได้แย่ลงกว่าปกติ เราอาจเห็น GOLEM EFFECT ได้ในห้องเรียนที่ครูแบ่งแยกนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
หลายคนน่าจะเคยมีช่วงเวลาที่โกรธใครสักคนมาก ๆ แล้วลงมือทำร้ายพวกเขาโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว พอนึกย้อนกลับไปก็อาจจะรู้สึกแย่ และคิดว่าไม่น่าทำอย่างนั้นลงไปเลย เหตุการณ์นี้อาจเป็นตัวอย่างของ amygdala hijack ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ทำให้เราไม่สามารถควบคุมตัวเองและใช้เหตุผลได้ ส่งผลให้เราทำอะไรบางอย่างตามอารมณ์ และอาจสร้างปัญหาที่ยากเกินกว่าจะแก้ไขได้ในภายหลัง อะไร คือ AMYGDALA HIJACK ? amygdala hijack เป็นคำที่นิยามโดย แดเนียล โกลแมน (Daniel Goleman) นักจิตวิทยาผู้โด่งดังเรื่องแนวคิด ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ซึ่งคำนี้ใช้อธิบายถึงปรากฎการณ์ที่สมองเทคโอเวอร์ความสามารถในการตัดสินใจของมนุษย์ เพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่รวดเร็ว ในเวลาที่เราเจอกับปัญหาที่สร้างความเครียดอย่างหนัก ซึ่ง amygdala hijack จะเกิดขึ้นจากการทำงานของ อะมิกดาลา (amygdala) ซึ่งเป็นกลุ่มของเซลล์ที่อาศัยอยู่ในด้านข้างสมองสองซีกของเรา ซึ่งสมองส่วนนี้จะทำงานเกี่ยวข้องกับการจดจำ และการให้ความหมายของอารมณ์แต่ละประเภทที่เรามี และมันยังทำหน้าที่ในการจับคู่อารมณ์กับการตอบสนองทางกายที่เฉพาะเจาะจงด้วย เช่น บางคนที่มีนิสัยชอบทำร้ายคนอื่นเวลาโกรธ ก็อาจจะเกิดจากการทำงานของสมองส่วนนี้ amygdala ยังมีบทบาทสำคัญต่อการตอบสนองแบบ สู้หรือหนี (fight-or-flight response) อีกด้วย ซึ่งการตอบสนองประเภทนี้เป็นกลไกเอาตัวรอดสำคัญที่มนุษย์ใช้มาอย่างยาวนาน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่จะมาทำร้ายหรือฆ่าพวกเขา เช่น สัตว์ร้าย หรือ ศัตรูฝั่งตรงข้าม
เคยรู้สึกสงสัยไหมว่า ทำไมคนอื่นมีสิ่งที่ดีกว่าเราตลอดเวลา จนเราไม่สามารถพอใจหรือหยุดกับสิ่งที่เรามีอยู่ได้ ต้องค้นหาเป้าหมายใหม่ต่อไปอีกเรื่อย ๆ เราเรียกอาการนี้ว่าเป็น ‘Grass is Greener Syndrome’ ตัวการขัดขวางการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของเรา ที่คนในปัจจุบันเป็นกันมากมายโดยไม่รู้ตัว WHAT IS GRASS IS GREENER SYNDROME ‘Grass is Greener Syndrome’ คือ อาการที่เราเชื่อว่าตัวเองกำลังพลาดหรือขาดอะไรที่ดีกว่าสิ่งที่ตัวเองมีในตอนนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็น โอกาสด้านการงานที่ดี หรือ ประสบการณ์ที่วิเศษ จึงเกิดแรงกระตุ้นที่จะหาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าขาดให้เจอ ชื่อของอาการนี้มีที่มาจากสำนวนของฝรั่งที่ว่า “the grass is always greener on the other side of the fence” (สนามหญ้าที่อยู่อีกฝั่งของรั้วบ้านมักเขียวกว่าของเรา) หมายความว่า เรามักมองชีวิตคนอื่นดีกว่าของตัวเองเสมอนั่นเอง อาการนี้มักมีที่มาจากความกลัวส่วนบุคคล อาทิ ความกลัวเรื่องการผูกมัดกับงานประจำที่ไม่ดีพอ หรือความสัมพันธ์ที่อาจจะย่ำแย่ในอนาคต ซึ่งในความเป็นจริง ชีวิตของคนที่มีอาการนี้ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร มีแต่พวกเขาที่คิดไปเองว่าตัวเองกำลังมีปัญหา นอกจากอาการคิดไปเองแล้ว คนที่เป็น Grass