หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องการฟอกเงินกันมาบ้าง บางคนคงเคยรับรู้จากซีรีส์ชื่อ Ozark ซึ่งพาเราไปเปิดโลกของนักฟอกเงินอย่างเต็มตา บางคนอาจเคยได้ยินจากบทความเล่าเรื่องคดีอาชญากรรมที่เผยแพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ต คุณอาจเกิดความสงสัยขึ้นมาบ้างว่าการฟอกเงินนี่มันทำกันยากง่ายแค่ไหน วิธีการมันทำยังไงกันแน่นะ ? เราเลยอยากเล่าขั้นตอนพื้นฐานในการฟอกเงินให้ทุกคนฟัง เพื่อคลายข้อสงสัย และรู้จักป้องกันมันได้มากขึ้น การฟอกเงินเขาทำกันอย่างไร ? คนที่ประกอบอาชีพไม่สุจริต เช่น นักธุรกิจ นักการเมือง หรือ เจ้าหน้าที่รัฐน้ำเสีย มักจะได้รับเงินสกปรกจากแหล่งผิดกฎหมายต่าง ๆ เช่น การติดสินบนเจ้าหน้าที่ การค้ายาเสพติด หรือ การทำธุรกิจผิดกฎหมายอื่น ๆ ถ้าพวกเขาถือเงินสกปรกก้อนนั้นไว้โดยที่ไม่ทำอะไรกับมัน ความซวยอาจมาเยือนพวกเขาในไม่ช้า เงินสกปรกเหล่านั้นจึงมักถูกนำไปฟอกให้สะอาดเสียก่อน เพื่อปกปิดแหล่งที่มาที่แท้จริงของมัน จนสามารถนำไปใช้จ่ายได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งหลายคนน่าจะเห็นข่าวในประเทศไทยเกี่ยวกับการรับเงินทอน เงินใต้โต๊ะ รวมถึงเงินจำนวนหลายร้อยล้านบาทที่หมุนเวียนจากการเปิดบ่อนออนไลน์จำนวนมาก มักจะถูกนำไปฟอกผ่านการซื้อ Supercars คันงาม บ้านละที่ดิน รวมถึงการจ่ายยัดเงินให้เจ้าหน้าที่สกปรกเป็นทอด ๆ อย่างไม่รู้จบ การฟอกเงินมักเกี่ยวข้องกับขั้นตอนพื้นฐาน 3 อย่าง ได้แก่ การนำเงินเข้าระบบ (Placement) หมายถึง การนำเงินสกปรกเข้าสู่ระบบการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ธนาคาร หรือ สถาบันทางการเงินอื่น
ผู้ชายไทยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยจะให้ความสนใจในเรื่องของทรงผมกันมากนัก หรือไม่ก็จะทำตัวตามกันไปหมดจนแทบจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร เห็นเค้าว่าทรงนี้ดี ทรงนี้กำลังฮิต ก็ทำตามกันโดยไม่ได้รู้ที่มาที่ไป หรือดูความเหมาะสมกับสไตล์ของตัวเอง ซึ่งอย่างที่เราเคยบอกไปหลายครั้งว่าเรื่องของทรงผมนั้น “ไม่มีกฎตายตัว” ไม่มีใครฟันธงได้ว่าแบบไหนถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมเข้ากันระหว่างสไตล์ที่เลือกใช้ กับคาแรคเตอร์ บุคลิก และตัวตนของคุณมากกว่า ขอแค่คุณหาตัวเองจนพบว่าจริง ๆ ชอบอะไร ทำอะไรแล้วรู้สึกมั่นใจ เพราะบางครั้งการทำผมแบบดาราในดวงใจ ผมที่ได้ชื่อฮิตอันดับหนึ่งของโลก ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณกลายเป็นคนที่มีสไตล์ดีขึ้นได้ถ้ามันไม่ใช่ตัวตนของคุณ เพื่อเป็นการแนะนำสำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร สไตล์ทรงผมแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวเอง เพราะการพัฒนาสไตล์ถือเป็นหนึ่งวิธีที่จะช่วยเสริมสร้างความเป็นตัวเองได้ง่ายที่สุด วันนี้เรามีแนวทางมาช่วยแนะนำผู้ชายทุกคนที่ต้องการจะพัฒนาบุคลิกตัวเองให้ดีที่สุดด้วยการ “Find the right hairstyle for you” PICK THE BEST HAIRSTYLE เติมเต็มสไตล์ของตัวเอง นอกจากเสื้อผ้า เรื่องทรงผมก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นส่วนสำคัญในการเติมเต็มสไตล์และคาแรคเตอร์ของเราให้สุดทาง สามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ภายนอกได้อย่างสิ้นเชิง ต่อให้แต่งตัวดีแค่ไหน แต่ถ้าเลือกทรงผมไม่เข้ากับสไตล์และรูปหน้า หรือเซ็ทผมออกมาได้ไม่ดี ก็ทำให้ภาพรวมดูขัดใจได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ทรงผมผู้ชายมีให้เลือกหลากหลายสไตล์ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเหมาะกับผมทุกทรง ซึ่งเราแนะนำให้เลือกทรงผมที่ใช่ โดยใช้รูปหน้าเป็นจุดหลักในการช่วยตัดสินใจ จะทำให้ได้ไอเดียช่วยเลือกและจัดแต่งทรงผมได้ง่ายขึ้น รูปทรงไข่ (Oval Face) คือทรงหน้าที่น่าอิจฉา เพราะมีอัตราส่วนค่อนข้างสมบูรณ์แบบ
Mindset ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเวลาทำงาน เพราะคนที่มีมายเซทเติบโต หรือ Growth Mindset มักจะแก้ไขปัญหาในชีวิตหรือการทำงานได้ดีกว่าคนอื่นเสมอ แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้เรียนเรื่องนี้กันมากเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่จะเรียนรู้จากประสบการณ์และการขวนขวายด้วยตัวเองมากกว่า UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำวิธีการพัฒนา growth mindset เพื่อให้เรากลายเป็นคนที่แก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น และมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นตามมา Growth Mindset คืออะไร? Growth Mindset เป็นคำที่ Carol Dweck ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และเจ้าของหนังสือ Mindset ใช้อธิบายประเภทของคนที่เชื่อว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับเวลาและความพยายาม พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองสามารถพัฒนาได้ หากทุ่มเทเวลา ความพยายาม และพลังงานให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจริงจัง หากมีความวิริยะอุตสาหะ พวกเขาจะไม่ย่อท้อต่อุปสรรค ความท้าทาย และคำวิจารณ์โดยง่าย และมองหาแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของคนอื่นเพื่อเอามาปรับใช้พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ คำว่ายอมแพ้ จะไม่มีอยู่ในหัวของคนที่ Mindset ดี คนกลุ่มนี้จะแตกต่างจากคนที่มี Fixed Mindset ซึ่งเชื่อว่า ตัวเองจะดีหรือแย่ขึ้นอยู่กับธรรมชาติแต่กำเนิด พวกเขาจะไม่เผชิญหน้ากับความท้าทาย ไม่พยายามฝึกฝนเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง หลีกเลี่ยงคำวิจารณ์ และยอมแพ้ต่ออุปสรรค์อย่างง่ายดาย มี Growth Mindset แล้วดีอย่างไร ? งานวิจัยเมื่อปี
ต้องมีสักครั้งในชีวิต ที่เราตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตแล้วรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในภวังค์ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังอยู่ในฝัน บางครั้งความรู้สึกนี้ก็ทำให้เราสับสนว่า “กำลังตื่น หรือ หลับอยู่กันแน่นะ” ซึ่งอาการนี้ ทางการแพทย์ เรียกว่า ความจริงวิปลาส และถ้าประสบกับมันบ่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคจิตเวชได้ ความจริงวิปลาสคืออะไร ปกติแล้ว ภาวะความจริงวิปลาส (Derealization) นับเป็นหนึ่งในอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคดิสโซสิเอทีฟ (Dissociative Disorders) เช่นเดียวกับบ ภาวะบุคลิกภาพแตกแยก (Depersonalization) ทำให้บางครั้งสองอาการนี้ก็ถูกใช้แทนกันด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองอาการไม่ได้มีความเหมือนกันซะทีเดียว แต่มีความแตกต่างกันอยู่ดังต่อไปนี้ Derealization จะเป็นอาการที่เรารู้สึกขาดการเชื่อมต่อกับความเป็นจริงหรือสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว จนเกิดอาการเช่น สิ่งที่อยู่รอบตัวดูเชื่องช้า หรือ ทุกอย่างดูพร่ามัวไปหมด เราจะรู้สึกเหมือนสิ่งที่อยู่รอบตัวไม่มีอยู่จริง เหมือนกำลังอยู่ในโลกจำลอง หรือ โลกแห่งความฝัน ไม่สามารถประมวลผลหรือทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่รอบตัวของเราได้ จนเราเกิดความไม่คุ้นเคยกับสถานที่เราอยู่ และเกิดความสับสันระหว่างโลกแห่งความฝันและความเป็นจริง ส่วน Depersonalization คือ ภาวะที่เรารู้สึกตัดขาดจากร่างกาย อารมณ์ และความคิดของตัวเอง คนที่มีอาการนี้มักจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นภาชนะว่างเปล่า เป็นเพียงผู้ชมร่างกายตัวเอง หรือ เป็นหุ่นยนต์ที่คอยรับคำสั่งจากคนอื่น ไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองได้อีกต่อไป แม้พวกเขาจะขยับแขนขยับขา หรือ รู้สึกถึงอารมณ์ของตัวเองได้ก็ตาม
ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม เวลาทำอะไร หรือ ไปเที่ยวที่ไหนก็ทำและไปกันเป็นกลุ่มอยู่เสมอ ทุกคนล้วนอยากมี ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง (sense of belonging) ของกลุ่ม ของสังคม หรือ ของสิ่งที่ยิ่งใหญ่บางอย่าง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความรู้สึกนั้นจะเริ่มเข้าถึงยากมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะโรคระบาดทำให้เราต้องอยู่บ้านกันนานขึ้น ใช้ชีวิตคนเดียวบ่อยขึ้น และสังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือ คนรอบตัว น้อยลง ปรากฎการณ์นี้อาจทำให้หลายคนรู้สึกใกล้ชิดหรือเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่มเพื่อนน้อยลงตามมาด้วย ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อชีวิตเราได้อย่างใหญ่หลวงทีเดียว ตามทฤษฎีของนักจิตวิทยา อับราฮัม มาสโลว์ มนุษย์ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (belongingness) กล่าวคือ ทุกคนต่างมองหาการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนอื่น และอยากให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวคงอยู่ในระยะยาว ถ้าเกิดว่าเราใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว โดยไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับอะไรเลย ผลเสียที่จะเกิดขึ้นนั้นอาจมากกว่าแค่ความรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว งานวิจัยจาก Harvard study ที่ใช้เวลาในการศึกษานานกว่า 80 ปี พบว่า ความสัมพันธ์ใกล้ชิด (close relationships) เป็นสิ่งสำคัญต่อความสุขของคน และการรักษาความสัมพันธ์ประเภทนี้กับ ครอบครัว เพื่อน หรือ กลุ่มสังคม จะช่วยชะลอการเสื่อมถอยของสุขภาพจิต และร่างกายของเราได้ด้วย สอดคล้องกับ งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง (2020)
ผู้ชายมักต้องแบกรับภาระมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ค่าเช่าบ้าน ค่าเลี้ยงดูครอบครัว ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ฯลฯ ถ้าวันใดซวยป่วยไข้แล้วต้องเจอกับค่ารักษาพยาบาลอีก เราคงจะเหนื่อยกันมากเกินไป UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำวิธีการป้องกันปัญหาด้านสุขภาพที่มักเจอบ่อยในหมู่ผู้ชาย เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างแฮปปี้ยาวนานกันร่างกายและการเงิน โรคหลอดเลือดและหัวใจ (Cardiovascular Disease) โรคหลอดเลือดและหัวใจ ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกไปเป็นจำนวนมาก องค์การอนามัยโลกพบว่าในปี 2019 คนจำนวนกว่า 17.9 ล้านคน เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจ (CVDs) เช่น โรคหัวใจวาย หรือ โรคหลอดเลือดสมอง คิดเป็น 32% ของการตายทั่วโลกเลยทีเดียว โรคนี้มักถูกเรียกว่าเป็นนักฆ่าเงียบ (Silent Killer) อีกด้วย เพราะผู้ป่วยที่คอเลสเตอรอลอุดตันในเส้นเลือด มักไม่แสดงอาการในช่วงแรก แถมยังมีการศึกษาและพบว่าผู้ชายเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าผู้หญิงอีกด้วย มันจึงเป็นโรคที่อันตรายสำหรับชาวเรามาก และจะดีที่สุดถ้ารู้จักป้องกันมันตั้งแต่ต้น วิธีป้องกันโรค: ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายให้เพียงพอ (2.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายปานกลาง หรือ 75 นาทีต่อสัปดาห์สำหรับการออกกำลังกายหนัก) และถ้าคุณเป็นสิงห์อมควันหรือผู้ชื่นชอบแอลกอฮอล์ตัวยง ควรลดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง หรือถ้าเลิกได้จะดีมาก โรคเบาหวาน (Diabetes)
หลายคนน่าจะเคยเจอกับเหตุการณ์เศร้า ๆ บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น อกหักจากคนที่ชอบ พ่ายแพ้ในการแข่งขัน หรือ ตัดสินใจผิดพลาดจนได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจออกมา เหตุการณ์เหล่านี้คงสร้างความเครียดให้กับเราได้มากพอสมควร บางคนอาจใช้เวลาทำใจเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรือ เป็นปี กว่าจะฟื้นฟูจากความเครียด และรู้สึกเจ็บจากบาดแผลทางใจน้อยลง จนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเดิม แต่สำหรับบางคนประสบการณ์ที่เลวร้าย ไม่ได้ทำให้เกิดบาดแผลทางใจเท่านั้น แต่มันทำให้ ‘หัวใจ’ ของพวกเขาทำงานผิดปกติด้วย เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ เป็นต้น เราเรียกอาการแบบนี้ว่าเป็น Broken Heart Syndrome ซึ่ง UNLOCKMEN เห็นว่าเป็นอาการที่อยู่ใกล้ตัวและอันตรายกับเราทุกคน จึงอยากให้ทุกคนรู้จักวิธีรับมือกับมัน Broken Heart Syndrome เกิดขึ้นได้อย่างไร ร่างกายและจิตใจของเรามีความใกล้ชิดกันมากกว่าที่หลายคนคิด ถ้าสุขภาพจิตของเราดี ร่างกายของเรามักดีตาม แต่ถ้าสุขภาพจิตแย่ เราอาจมีอายุขัยสั้นกว่าคนอื่น งานวิจัยบางชิ้นบอกว่า สภาพจิตใจที่ดี (หรือ สภาพจิตใจเชิงบวก) ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย และเส้นเลือดในสมองแตกได้ สุขภาพจิตจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เรามีอายุที่ยืนยาว ไม่ตายก่อนวัยอันควร ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า Broken Heart Syndrome เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า
ชีวิตของคนทำงานหลายคน คงเคยเจอกับผู้จัดการหรือบอสที่มีนิสัยจุกจิกจู้จี้ ชอบติดตามและวิจารณ์เราในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเล็ก หรือ เรื่องใหญ่ อยู่ตลอดเวลา เราเรียกคนประเภทนี้ว่าเป็น micromanager และนิสัยของพวกเขา (micromanangement) ทำร้ายเพื่อนร่วมงานได้อย่างร้ายแรง UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำวิธีรับมือกับ micromanangement เพื่อให้คนที่เป็น micromanagers หรือ คนที่ถูก micromanangement สามารถรับมือกับพฤติกรรมนี้ได้อย่างเป็นมืออาชีพมากขึ้น วิธีการสังเกต micromanager ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า micromanager คือ กลุ่มคนที่ชอบให้ความสนใจและพยายามควบคุมรายละเอียดที่ไม่สำคัญของงาน และมักเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกี่ยวข้องกับที่งานของตัวเองจริง ๆ ลักษณะที่เห็นได้บ่อยในคนกลุ่มนี้ก็เช่น ถ้าพนักงานของพวกเขาไม่ได้ทำงานด้วยวิธีที่สั่งไว้แบบ 100% พวกเขาจะไม่พอใจเลย แม้สุดท้ายงานจะออกมาดีก็ตาม, พวกเขามักอยากรู้ว่าพนักงานทำอะไร หรือ อยู่ที่ไหนตลอดเวลา โดยอาจแสดงพฤติกรรม เช่น ถามสถานะของโปรเจ็กต์จากพนักงานอย่างต่อเนื่อง พวกเขามักขอให้พนักงานส่งต่อสำเนาอีเมล์ทุกอย่าง แม้จะเป็นเมล์ที่ไม่สำคัญกับงานก็ตาม และซ้ำร้ายพวกเขามักไม่รู้ตัวด้วยว่าพฤติกรรมของตัวเองทำลายความโปรดักทีฟในการทำงานของทีมมากแค่ไหน งานวิจัยพบว่า micromanagement เป็นหนึ่งในเหตุผล top 3 ที่ทำให้พนักงานตัดสินใจลาออก และมันสามารถส่งผลเสียต่อพนักงานในระยะยาวได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ทำให้ความโปรดักทีฟในการทำงานต่ำลง ทำให้พนักงานลาออกเยอะ สร้างความไม่พอใจ
พอเปิดมือถือ หรือ คอมพิวเตอร์ เรามีกเจอกับบทสนทนาชวนเครียดบนโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ Twitter อยู่บ่อย ๆ เพราะสถานการณ์บ้านเมืองที่ค่อนข้างระส่ำระสาย หลายคนจึงออกมาคอมเม้นหรือตั้งสเตที่ตอบโต้กันอยู่เสมอ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่แสดงความคิดเห็นตอบโต้กับคนอื่นบนโลกออนไลน์บ่อย ๆ ความเครียดสามารถทำให้ร่างกายของคุณเข้าสู่โหมด fight or flight (หรือเกิด Amygdala Hijack) และสูญเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุไป เราจะกลายเป็นคนที่คิดเร็ว ทำเร็วมากขึ้น และใช้อารมณ์ในการโต้เถียงมากขึ้น สุดท้ายปัญหาความขัดแย้งมันจะยิ่งบานปลายมากขึ้น และอาจยากจะหาจุดจบ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการควบคุมอารมณ์เมื่อเราต้องเจอกับบทสนทนาหนัก ๆ ชวนเครียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัฐบาล COVID-19 เศรษฐกิจ หรือ ปัญหาสังคมต่าง ๆ เพื่อให้เราสามารถคิดและรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควบคุมลมหายใจ แค่เปลี่ยนวิธีหายใจ เราอาจรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นทันที เพราะงานวิจัยบอกว่าอารมณ์กับการหายใจมีความเกี่ยวข้องกัน เช่น ถ้าเรามีความสุข เราจะหายใจปกติ หายใจลึก และช้า แต่ถ้าเรากังวลหรือโกรธ เราจะหายใจผิดปกติ หายใจสั้น และเร็ว เป็นต้น ดังนั้น การปรับเปลี่ยนวิธีหายใจในช่วงที่เจอกับบทสนทนาแสนเคร่งเครียด จะช่วยให้เราเครียดน้อยลง
เวลาไปสมัครงาน หรือ สอบสัมภาษณ์ หลายคนน่าจะเคยเจอคำถามยาก ๆ ที่ตอบไม่ได้กันบ้าง จะตอบว่า “ไม่รู้” ก็กลัวดูแย่ ถือเป็นปัญหาที่ทำให้หนักใจมากพอสมควร UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการตอบคำถามยากให้ดีขึ้น เพื่อให้ทุกคนกลายเป็นนักตอบคำถามที่ยอดเยี่ยมมากขึ้น เข้าใจคำถามก่อน สิ่งแรกที่เราควรทำก่อนตอบคำถาม คือ การตั้งใจฟังคำถามจนเราเข้าใจถ่องแท้ เพราะถ้าเราไม่เข้าใจมัน เราอาจถูกคนถามตอบกลับในสิ่งที่ไม่เข้าหูก็เป็นได้ เช่น “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันถาม” “ฉันถามในสิ่งที่ง่ายกว่านั้น” “ฉันไม่ได้ถามแบบนั้น” เป็นต้น ถ้าเราไม่เข้าใจคำถาม เราควรทวน หรือ ถามคำถามเพิ่มเติมในส่วนที่ไม่เข้าใจ เพื่อให้เราเข้าใจมันยิ่งขึ้น เมื่อเราเข้าใจคำถามแล้ว เราจะตอบถามได้ดีขึ้น และทำให้คนถามเห็นถึงความจริงจังของเราด้วย อย่าตอบกลับทันที เวลาที่เราถูกถามคำถาม เรามักเกิดความรู้สึกที่อยากตอบกลับทันที เพราะไม่อยากให้เกิดความเงียบ หรือ dead air การตอบกลับทันทีอาจใช้กับคำถามที่ตอบกลับได้ง่าย อาทิ “กินข้าวยัง” แต่สำหรับคำถามที่ยากจะตอบ การตอบกลับไปทันทีอาจส่งผลเสียต่อเราได้ ดังนั้น เราควรให้เวลาตัวเองในการคิดหาวิธีตอบจะดีกว่า โดยการทวนคำถามของอีกฝ่ายก่อน จากนั้นค่อยตอบกลับหลังจากที่เราคิดคำตอบที่เหมาะสมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอบคำถามบางส่วน คำถามยาก ๆ ที่เราตอบไม่ได้ อาจสามารถแบ่งแยกออกมาเป็นคำถามย่อย