พอโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว หลายคนต้องออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว และห่างเหินกับคนรอบตัวมากขึ้น ทำให้พอเจอปัญหารุมเร้าแล้วเครียด ก็ไม่สามารถรับมือกับมันได้เหมือนเดิม จะมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นใครที่จะขอคำปรึกษาได้ ถ้าใครกำลังมีช่วงเวลาแบบนี้ เราอยากแนะนำให้ทุกคนเริ่มให้กำลังใจตัวเองกัน ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยให้เราดีขึ้นได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาใคร ให้เวลากับตัวเอง ในแต่ละวันเราอาจวุ่นอยู่กับการทำตามใจคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น เจ้านาย คนในครอบครัว หรือ เพื่อน จนลืมที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองไป นาน ๆ เข้าก็อาจรู้สึกเหมือนหลงทาง ดังนั้น เพื่อให้เรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความหมายดังเดิม เราควรหาเวลาว่างอย่างน้อย 10 – 15 นาทีในการอยู่กับตัวเอง ซึ่งเราสามารถใช้เวลาตรงนั้นทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น นอน นั่งสมาธิ หรือ เดินไปรอบห้อง แต่จำไว้ว่าพอยซ์ของกิจกรรมนี้ คือ การทำให้เราหันมาสนใจและตอบสนองความต้องการของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้เราเกิดแรงจูงใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นได้ อย่าคิดว่ากำลังแข่งกับคนอื่นอยู่ นิสัยอย่างหนึ่งที่หลายคนมักชอบทำ คือ การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เช่น เห็นคนอื่นก้าวหน้ากว่า แล้วเกิดอาการดูถูกตัวเอง เป็นต้น ซึ่งปัญหานี้ทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเรา คือ มันบั่นทอนกำลังใจ และทำให้เรามองข้ามสิ่งสำคัญที่เราต้องทำอยู่เสมอ ดังนั้น เราควรโฟกัสที่ตัวเองมากกว่าคู่แข่ง และหาทางว่าจะทำให้ผลงานของตัวเองดียิ่งขึ้นอย่างไรจะดีกว่า เปลี่ยนความคิดเรื่องความล้มเหลวใหม่ เพราะความสิ้นหวังมักทำให้เราไม่กล้าลงมือทำอะไรใหม่ ๆ
คนวัยทำงานต้องการหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น สังคมการทำงานที่ดี ประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึง สถานที่ที่เอื้ออำนวยต่อการนั่งทำงาน เช่นไม่มีเสียงรบกวนที่มาดึงความสนใจเราจากงาน แต่บางครั้งเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกรบกวนด้วยเสียง ไม่ว่าจะเป็น เสียงคนคุยกัน หรือ เสียงก่อสร้าง บางครั้งเสียงเหล่านี้ก็ดังมากจนเราเสียสมาธิไม่เป็นอันทำงาน เราเลยอยากจะมาแนะนำวิธีการรับมือกับเสียงรบกวนเหล่านี้ เพื่อฟื้นคืนประสิทธิภาพในการทำงานของเราให้กลับมาดังเดิม สิ่งแวดล้อมที่ไม่สงบส่งผลต่อคุณภาพในการทำงาน ถ้าเราทำงานในที่ที่มีเสียงดัง ประสิทธิภาพในการทำงานอาจจะลดลง อ้างอิงจากงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร British Journal of Psychology (2004) ซึ่งได้ขอให้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานปฏิบัติ 2 ภารกิจ ได้แก่ จดจำและนึกถึงงานประพันธ์ และคิดเลขในใจอย่างง่าย โดยในระหว่างการทดลอง ทีมวิจัยได้เปิดบันทึกเสียงรบกวนประเภทที่เกิดขึ้นทั่วไปในออฟฟิศให้ผู้เข้าร่วมการทดลองฟังด้วย ผลการวิจัยพบว่า สิ่งแวดล้อมที่ทำงานที่เต็มไปด้วยเสียงรบกวน (noisy office environments) สามารถลดความแม่นยำในการทำงานของพนักงานลง ได้67% แต่เมื่อเสียงรบกวนที่เกิดจากการสนทนาลดลง ความสามารถในการโฟกัสงานของพนักงานกลับเพิ่มขึ้นมา 48% แถมความเครียดของพนักงานยังลดลง 27% อีกด้วย นอกจากงานวิจัยชิ้นนี้แล้ว ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง (2005) ซึ่งได้เปรียบเทียบความพึงพอใจในการทำงานของคนที่ทำงานในโอเพนออฟฟิศ และคนที่ทำงานในคอกทำงาน (cubicles) และพบว่า คนกลุ่มแรกมีความพึงพอใจในเสียงรบกวนมากกว่าคนกลุ่มที่สอง โดยคนกลุ่มที่สองพบเจอกับปัญหาจากการได้ยินเสียงคนพูดโทรศัพท์ การได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน
แม้หลายคนจะยอมรับได้แล้วว่า “ชีวิตไม่ยั่งยืน” ยังไงสักวันหนึ่งเราก็ต้องตายจากคนที่เรารักไป แต่ในใจของเรากลับพยายามหนีจากความตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะมนุษย์จะกลัวความตายเป็นธรรมชาติ เราเลยพยายามใช้ชีวิตกันอย่างระมัดระวังที่สุด เพื่อให้ชีวิตของตัวเองยืนยาว ซึ่งเป็นเรื่องที่เฮลตี้ แต่บางคนอาจได้รับผลกระทบจากความกลัวมากเกินไป จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ซึ่งเดี๋ยวเราจะอธิบายในช่วงท้ายของบทความว่าจะมีวิธีอะไรบ้างในการรับมือกับ ‘อาการกลัวความตาย’ มากเกินไปเพื่อให้เรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ดั่งเดิม ที่มาที่ไปของอาการกลัวตาย อาการกลัวตาย (หรือ thanatophobia) เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงตั้งแต่สมัย ซิกมันด์ ฟรอยด์ แล้ว และมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อ เอิร์นเนส เบกเกอร์ มนุษยวิทยา ได้เสนอว่า มนุษย์ทุกคนกลัวตาย เพราะไม่สามารถยอมรับความคิดเกี่ยวกับการตายหรือความตายได้ จนเป็นที่มาของทฤษฎี Terror Management Theory (TMT) ซึ่งอธิบายว่า มนุษย์ต้องต่อสู้กับความขัดแย้งภายในตัวเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความขัดแย้งว่านี้ คือ ความขัดแย้งระหว่างความปราถนาที่จะมีชีวิตอยู่ และการรับรู้ว่าความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การรับรู้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย กระตุ้นให้มนุษย์พยายามรักษาความเชื่อหรืออุดมการณ์ของตัวเองไว้อย่างหนาแน่น เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเรารู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมีความหมาย เลยจำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมัน นอกจาก TMT แล้วยังมีทฤษฎีอื่น ๆ ที่พยายามอธิบายอาการกลัวตายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Separation Theory ที่พยายามชี้ว่า ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่ออาการกลัวความตายในวัยผู้ใหญ่
คำพูดของเราสามารถสร้างความขัดแย้งได้เสมอ เพราะเราอยู่สังคมที่เต็มไปด้วยคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างต่างกัน ถ้าเราไม่รู้วิธีการรับมือกับคำพูดหรือความเห็นต่างอย่างถูกต้อง ความขัดแย้งมันก็ยิ่งหนักหนาสาหัสมากขึ้นได้ ในบทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า ทำไมการแสดงความคิดเห็นถึงทำให้คนทะเลาะกันได้ พร้อมกับ แนะนำวิธีการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่อาจกระทบกับอีกฝ่าย โดยป้องกันความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น และช่วยให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้นานๆ ทำไมการแสดงความคิดเห็นถึงทำให้คนทะเลาะกันได้ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับคนที่เห็นต่างจากเรา อาจเพราะเราสามารถได้รับความเจ็บปวดจากคำพูด หรือ คำด่า ซึ่งงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า คำพูดสามารถสร้างความเจ็บปวดได้ไม่ต่างจากการถูกตีด้วยไม้หรือทุบด้วยก้อนหิน และอาจมีผลรุนแรงจนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนได้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัย Friedrich Schiller University Jena ได้ทำการทดลองทั้งหมด 2 ครั้ง โดยครั้งแรกทีมนักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมการทดลอง 16 คน อ่านคำพูดที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด เช่น “plaguing” (ภัยพิบัติ) “tormenting” (ทรมาน) “grueling” (ทรหด) พร้อมกับ จินตนาการถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคำ ๆ นั้นไปด้วย ส่วนในการทดลองที่สอง ผู้เข้าร่วมการทดลองถูกขอให้ทำการทดลองเดิมอีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้จะมีการใช้ brain-teaser เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เข้าร่วมการทดลองด้วย โดยในการทดลองทั้งสองครั้ง ผู้เข้าร่วมการทดลองจะถูกสแกนสมองด้วยเครื่อง functional magnetic resonance imaging (fMRI)
เดี๋ยวนี้ความเศร้าเป็นเรื่องที่สังเกตได้ยาก เพราะคนยุคนี้เก็บซ่อนความรู้สึกกันเก่งขึ้น จากการที่เรามีโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นดั่งพื้นที่โอ้อวดชีวิต และทำให้เราเปรียบเทียบกับคนอื่นมากขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้เราปฏิเสธความอ่อนแอทางจิตใจอย่างภาวะซึมเศร้ามากขึ้นเช่นกัน ปัจจุบันคนเศร้าจำนวนมากเลยเลือกที่จะปิดบังความเจ็บปวดทางใจของตัวเองเอาไว้ให้ใครเห็น และเกิดอาการที่เรียกว่า smiling depression ขึ้นมา WHAT IS SMILING DEPRESSION? ยิ้มซึมเศร้า หรือ Smling Depression เป็นคำอธิบายอาการที่เราพยายามซ่อนภาวะซึมเศร้าไว้ในใจ โดยการเสแสร้งว่าตัวเองโคตรมีความสุขกับชีวิต ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากทำให้คนอื่นกังวล อับอายที่ตัวเองเป็นซึมเศร้า คิดว่าการเป็นซึมเศร้าจะทำให้ตัวเองดูอ่อนแอ หรือ รับไม่ได้ที่ตัวเองมีความผิดปกติ พวกเขาจึงเลือกที่จะปิดบังอาการเศร้า และแสดงออกมาในทางตรงกันข้าม คนที่เป็น Smiling Depression มักเจอความเสี่ยงมากกว่าคนอื่น เพราะไม่มีใครรับรู้อาการของพวกเขา และพาพวกเขาไปรับการรักษาที่ถูกต้อง เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอาการซึมเศร้าเพียงลำพัง โอกาสในการหายจากอาการซึมเศร้าก็น้อยลง และเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงกว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าปกติ HOW TO COPE WITH SMILING DEPRESSION ? การรับรู้ว่าอาการซึมเศร้าของตัวเอง และยอมรับมัน อาจเป็นก้าวแรกที่จะทำให้เรามีอาการดีขึ้น เพราะเมื่อเรารู้ว่าตัวเองมีปัญหาแล้ว เรามักจะพยายามค้นหาวิธีแก้ปัญหาเสมอ มันจึงช่วยลดโอกาสในการทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายที่เกิดจากการมีภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่งคนที่เป็นซึมเศร้ามักมีอาการเหล่านี้ ได้แก่ น้ำหนักลด ความอยากอาหารน้อยลง นอนไม่หลับ
พอเริ่มเข้าสู่วัยทำงานแล้ว หลายคนคงเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันยากขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะเจอกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ต้องแข่งกับคนอื่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เรื่องงาน ความสัมพันธ์ การใช้ชีวิต ต้องทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำในวัยเด็ก ต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ด้วยตัวเองมากขึ้น หรือ บางคนอาจต้องย้ายออกมาอยู่คนเดียว สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า Quarter-Life Crisis และจะทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขเหมือนเดิมได้ WHAT IS A QUARTER-LIFE CRISIS ? วิกฤตหนึ่งส่วนสี่ชีวิต (Quarter-Life Crisis) คือ ภาวะที่คนวัยหนุ่มสาว (อายุ 18 – 30 ปี) ตกอยู่ในความเครียดและความกังวลในเรื่องคุณภาพชีวิตของตัวเอง เพราะพวกเขานำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นในวัยเดียวกัน หรือ ขาดเป้าหมายในการใช้ชีวิต ซึ่งคนที่เจอกับปัญหานี้มักรู้สึกว่าตัวเองกำลังติดอยู่ในปัญหาอะไรบางอย่าง และไม่สามารถหนีออกมาได้ เช่น หางานไม่เจอมาเป็นเวลานาน ทำงานที่ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร (dead-end jobs) มาเป็นเวลานาน หรือ หาแฟนมานานเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอสักที เมื่อพวกเขารู้สึกว่าความพยายามของตัวเองช่างไร้ค่าไร้ความหมาย หรือ ทำอย่างไรก็ไม่ได่ในสิ่งที่คาดหวังสักที สุดท้ายพวกเขาก็จะตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเอง เช่น “ทำไมคนอื่นแต่งงานมีลูกกันหมดแล้ว
รู้ไหมว่ามันมีเส้นบาง ๆ ระหว่าง ‘แก้ปัญหา’ กับ ‘กังวล’ หลายคนมักสับสนและมองว่าสองสิ่งนี้เป็นเรื่องเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง และทำให้เราคลี่คลายปัญหาได้ต่างกันด้วย UNLOCKMEN เลยอยากมาอธิบายว่า การแก้ปัญหา กับ การกังวล มันต่างกันอย่างไร ? WHAT IS PROBLEM SOLVING ? เวลาเราเผชิญหน้ากับปัญหา แต่ละคนอาจมีวิธีแก้ปัญหาแตกต่างกัน บางคนใช้ ‘ทักษะในการแก้ปัญหา’ (problem solving skills) ในการแก้ปัญหาจริง ๆ แต่หลายคนก็มักใช้ ’ความกังวล’ ในการแก้ปัญหา อาจเป็นเพราะเข้าใจว่า ‘กังวล’ กับ ‘แก้ปัญหา’ เป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ สองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กังวล (worrying) คือ การคิดเพื่อแก้ปัญหาเหมือนกับ problem-solving แต่ต่างกันตรงที่ว่า มันจะโฟกัสกับเรื่องร้าย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอย่างเดียว โดยไม่ดูเรื่องดี ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเลย เมื่อเราเกิดความกังวล
เมื่อเราเจอกับเรื่องที่น่าผิดหวังบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น ทำงานพลาด โดนแฟนทิ้ง หรือ ไม่ได้รับในสิ่งที่หวังไว้ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เรามักคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า และไม่สมควรได้รับความรักจากใครแม้แต้ตัวเอง พอนาน ๆ เข้า เราก็อาจจะดาวน์ และนำไปสู่ปัญหาด้านการใช้ชีวิตในที่สุด การรักตัวเอง หรือ self-love จะเป็นสกิลสำคัญในเวลาที่เจอเรื่องแบบนี้ มันจะช่วยให้เรารอดพ้นจากเรื่องแย่ ๆ ได้ และสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดังเดิม ทำไม self-love ถึงเป็นสกิลเอาตัวรอด ? หลายคนคงได้ยินคำว่า ‘รักตัวเอง’ บ่อยแล้วจากคนรอบข้าง แต่พอจะหันมารักตัวเองจริง ๆ อาจเริ่มรู้สึกสับสน เพราะคำนี้มีความหมายค่อนข้างกว้าง เราเลยอยากอธิบายบริบทของการ ‘รักตัวเอง’ ที่กำลังจะกล่าวถึงว่ามันคืออะไรกันแน่ self-love คือ การรักตัวเอง และยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น คนที่รักตัวเองจะเข้าใจว่าตัวเองอยากทำอะไร และเข้าใจด้วยว่าความคิดและอารมณ์ส่งผลต่อตัวเองอย่างไร เมื่อเรารักตัวเอง เราจะมองเห็นคุณค่าของตัวเองอยู่เสมอ แม้เราจะเจอกับเรื่องที่ทำให้เราโกรธ เกลียด หรือ ผิดหวังในตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม เราก็จะไม่ดาวน์ และสามารถรับมือกับมันได้เป็นอย่างดี คนที่รักตัวเองมักทำเรื่องเหล่านี้ ได้แก่ พูดสิ่งดี
มันต้องมีสักครั้งที่เรารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบมีแค่ ‘เรา’ กับ ‘สิ่ง’ ที่อยู่ตรงหน้า เราโฟกัสกับสิ่งนั้นอย่างจริงจัง ทุมเทพลังงานและความสนใจให้กับมัน จนเราไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเลย แต่พองานจบลงความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ปรากฎการณ์นี้มีชื่อเรียกว่าสภาวะ ‘Flow’ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างมาก แต่ก็ยากที่จะเข้าถึงเหมือนกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาแชร์วิธีการเข้าโหมดโฟลว์อย่างง่ายดาย เพื่อให้ทุกคนนำไปปรับใช้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น WHAT IS THE FLOW STATE ? โฟลว์ (flow) คือ สภาวะที่เราจมอยู่กับกิจกรรมหรืองานอย่างเต็มตัวในช่วงเวลาหนึ่ง โดยที่เราไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและรอบข้าง ซึ่งคำนี้มีที่มาจาก มิฮาย ชิกเซนต์มิฮายยี (Mihály Csíkszentmihályi) นักจิตวิทยาเชิงบวกในปี 1975 และได้รับการสนใจมาจนถึงปัจจุบัน ว่ากันว่าเวลาเราเกิดโฟลว์ สมองส่วนคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า (prefrontal cortex) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความคิดขั้นสูง อาทิ ความทรงจำ รวมถึง การมีสติรู้ตัว อาจหยุดทำงานชั่วคราว ส่งผลให้เกิดการรับรู้เวลาผิดเพี้ยน ไม่รู้สึกตัว และไม่ได้ยินเสียงจิตใจของตัวเอง นอกจากนี้การหลั่งของสารเคมีที่ชื่อว่า โดปามีน อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโฟลว์ด้วย หลายคนอาจไม่เกิดโฟลว์บ่อย เพราะโหมดโฟลว์ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ต้องมีเงื่อนไขที่จำเป็น
เกิดเป็นผู้ชายเซนซิทีฟจะทำอะไรก็ยากไปหมด เจอกับเรื่องเศร้าก็อยากร้องไห้ พอเจอกับเรื่องที่ทำให้มีความสุขก็แสดงความดีใจออกมาได้ไม่เต็มที่ เพราะผู้ชายถูกบอกมากันมานานว่าต้องเก็บอารมณ์ และตัดสินใจทุกเรื่องได้โดยใช้หลักเหตุและผล การแสดงอารมณ์จึงหมายถึงความอ่อนแอ และจะทำให้โดนดูถูก ผู้ชายหลายคนจึงต้องเก็บอารมณ์ และการเก็บอารมณ์ก็อาจทำให้พวกเขากลายเป็นคนเก็บกดได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็น Highly Sensitive Person หรือ HSP ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อเรื่องรอบตัวมากกว่าคนปกติดูจะได้รับผลกระทบจากปัญหานี้มากกว่าคนอื่นด้วย HSP คืออะไร ? นักจิตวิทยาชื่อว่า อีเลน อาลอน ( Elaine Aron) ได้คิดคำว่า Highly Sensitive Person หรือ HSP ขึ้นมา เพื่ออธิบายคนประเภทหนึ่งที่มีระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system) ไวต่อตัวกระตุ้นทางกายภาพ อารมณ์ และสังคม มากกว่าคนอื่น และด้วยระบบประสาทส่วนกลางที่ไวนี้เอง ทำให้คนประเภทนี้อ่อนไหวต่อสิ่งรอบตัวได้ง่ายกว่าคนอื่นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขาดูหนังเศร้าก็อาจร้องไห้ได้ง่ายกว่าคนอื่น เวลาพวกเขาเจ็บปวดก็อาจจะรู้สึกปวดทรมานกว่าคนอื่น คนกลุ่ม HSP มักกระวนกระวายใจมากเวลาเจอกับเหตุการณ์ความรุนแรง เกิดความเครียด หรือ ความกดดัน บ่อยครั้งพวกเขาเลยพยายามหนีจากสถานการณ์ที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้น เช่น หลีกเลี่ยงหนังหรือรายการทีวีที่มีความรุนแรง ส่วนลักษณะอื่น