มนุษย์เงินเดือนหลายคนคงต้องใช้ขนส่งสาธารณะกันเป็นประจำ และหลังจากเกิดวิกฤต COVID-19 ก็คงต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะมันเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน เมื่อ COVID-19 น่าจะอยู่กับเราไปอีกสักพัก UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการเอาตัวรอดจากโรคระบาดเมื่อต้องใช้งานขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์และรถไฟฟ้า มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่เราควรทำ วางแผนเวลาเดินทางให้ดี ก่อนที่เราจะออกจากบ้าน หรือ ที่ทำงาน เพื่อใช้ขนส่งสาธารณะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง เราต้องวางแผนการเดินทางกันสักหน่อย เพื่อให้เราสามารถหลีกเลี่ยงการเดินทางในเวลาที่คนใช้งานกันเยอะ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ทำให้การรักษาระยะห่าง และการป้องกันการติดเชื้อจากคนสู่คนทำได้ยาก พยายามวางใช้ขนส่งสาธารณะในเวลาที่ไม่ค่อยมีคน หรือ คนน้อยที่สุด เพื่อให้เราปลอดภัยจากการติดเชื้อมากขึ้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงการใช้งานในเวลานั้นไม่ได้ ลองคิดถึงวิธีการเดินทางแบบอื่นที่จะทำให้เราปลอดภัยมากขึ้นดูจะดีกว่า เตรียมของให้พร้อม สิ่งที่เราควรเตรียมให้พร้อมก่อนออกเดินทางไปที่ไหนก็ตาม คือ ผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว รวมถึง เจลล้างมือแอลกอฮอล์ 60% ไว้ใช้สำหรับกรณีที่เราหาที่ล้างมือไม่ได้ และที่สำคัญอย่าลืมพกหน้ากากอนามัยสำรอง สำหรับใช้ในกรณีที่ทำหน้ากากหายหรือหน้ากากเสื่อมสภาพ เช่น เปียกหรือสกปรก และถุงพลาสติกสำหรับใส่หน้ากากที่เสียแล้วด้วย รักษาระยะห่าง ถ้าอยู่ในที่ที่มีคนแน่นอนว่าการรักษาระยะห่างเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะยิ่งเราอยู่ห่างจากคนมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิดมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นพยายามรักษาระยะห่างระหว่างคนอื่นราว 6 ฟุต หรือ 1 ช่วงแขน หรือ เวลานั่งก็พยายามเว้นที่นั่งด้านข้างไว้ เพื่อเป็นการเซฟตัวเอง แต่ถ้าวันนั้นคนเยอะมากจริง
หลายคนคงไม่กล้าพูดคนเดียวเสียงดังเท่าไหร่นัก เพราะมองว่าเป็นเรื่องที่น่าอาย รบกวนคนอื่น ทำแล้วอาจถูกมองว่าเป็นคนไม่มีมารยาทได้ แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ก็ได้มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการพูดคนเดียวเสียงดัง หนึ่งในนั้น คือ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบังกอร์ในประเทศอังกฤษ ที่พบว่า การพูดคนเดียวเสียงดังช่วยให้เราโฟกัสกับงานได้มากขึ้น แถมยังช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย งานวิจัยชิ้นนี้ ได้ศึกษาผู้เข้าร่วมการทดลองทั้งหมด 28 คน ซึ่งแต่ละคนจะได้รับข้อความคำสั่ง และถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ต้องอ่านข้อความเสียงดัง และ กลุ่มที่ต้องอ่านเงียบ ๆ คนเดียว และหลังจากนั้น ผู้เข้าร่วมการทดลองจะได้รับการมอบหมายงาน และทีมวิจัยจะประเมินประสิทธิภาพในการทำงานของคนแต่ละกลุ่ม ผลการวิจัยออกมาว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองที่อ่านข้อความเสียงดังจะมีสมาธิและทำผลงานได้ดีกว่ากลุ่มที่อ่านเงียบ ๆ กับตัวเอง อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวจิยัชิ้นนี้จะน้อยเพียง 20 กว่าคน แต่ก็มีงานวิจัยชิ้นอื่นที่มาสนับสนุนผลลัพธ์ของงานวิจัยชิ้นนี้เหมือนกัน เช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่ง พบว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองทำภารกิจหาของเสร็จเร็วขึ้น เมื่อพวกเขาพูดกับตัวเอง เป็นต้น เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบพูดกับตัวเอง อย่ากลัวที่จะทำมัน เพราะเกรงใจคนอื่น นั่นอาจทำให้เราทำงานได้แย่ลงก็เป็นได้ ลองพูดให้กำลังใจตัวเอง พูดถึงสิ่งที่กำลังทำหรือหาอยู่แทน และที่สำคัญต้องตั้งใจฟังในสิ่งที่ตัวเองพูดด้วย เหล่านี้อาจช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นได้ แต่อย่าพูดเสียงดังมากเกินไปละ เดี๋ยวคนที่นั่งข้าง ๆ
มันต้องมีเพื่อนสักคนและที่เราเห็นมันดูเศร้า ๆ ตลอดเวลา บางครั้งมันก็ชอบตั้งสเตตัสเศร้า ๆ บางครั้งมันก็ชอบอยู่คนเดียว บางครั้งมันก็ดูสิ้นหวังยังไงชอบกล สิ่งเหล่านี้อาจแสดงให้เห็นว่า เพื่อนของเราอาจจะมีอาการเสพติดความเศร้าก็ได้ ถ้าใครกำลังมีอาการแบบนี้อยู่ เราอยากแนะนำให้อ่านบทความต่อไป เพราะเราได้เอาตัวช่วยที่จะทำให้ทุกคนเลิกเศร้าและมีความสุขมากขึ้นมาฝากเช่นกัน ทำไมเราถึงเสพติดความเศร้า ? ปกติคนเรามักจะมองหาความสุขในชีวิตอยู่เสมอ การเสพติดความเศร้าจึงฟังดูยังไงชอบกล แต่ความสุขกับความทุกข์เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นพร้อม ๆ ได้ เพราะสองอย่างนี้ไม่ได้หักลบกันเอง เราสามารถป่วยแล้วมีความสุขไปด้วยได้ เราสามารถเบื่อแล้วมีความสุขไปด้วยได้ เราสามารถเป็นทุกข์และมีความสุขไปด้วยได้ นอกจากนี้ บางคนอาจเป็นประเภทที่ชื่นชอบความรู้สึกแย่ ๆ อีกด้วย ซึ่งมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ศึกษาคนที่ชอบดูหนังสยองขวัญ และพบว่า บางคนมีความสุขกับการไม่มีความสุข กล่าวคือ พวกเขามีความสุขกับการถูกหลอก ทั้งหมดนี้เราจึงกล่าวได้ว่า อาการเสพติดความเศร้าเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งสาเหตุของอาการเสพติดความเศร้ามีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น กลัวความสุข เติบโตมาในครอบครับที่เคร่งขัดมากเกินไป มองไม่เห็นคุณค่าในตัวเองและรู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรได้รับความสุข ยึดติดกับประสบการณ์แย่ ๆ ในอดีต และรู้สึกเคยชินกับความเจ็บปวด ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะสาเหตุไหน การเสพติดความทุกข์ก็ส่งผลเสียต่อเราได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ไม่ดูแลตัวเอง หันไปใช้สิ่งเสพติดเพื่อหลีกหนีอารมณ์เศร้า ไม่จริงจังกับเป้าหมายในชีวิต ไม่มีความสุขเมื่อประสบความสำเร็จ ไม่มีความสุขในความสัมพันธ์ ฯลฯ วิธีการเลิกเสพติดความเศร้า เมื่อความคลั่งเศร้าส่งผลเสียอย่างที่บอกไปแล้ว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ พื้นที่ข่าวทางหน้าจอโทรทัศน์ ไปยันบทสนทนาของผู้คนในชีวิตประจำวัน ณ ขณะนี้ มีเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองเป็นหนึ่งในหัวเรื่องหลักด้วยเสมอ ๆ ไม่ว่าคุณจะคือคนที่สนใจการเมืองมาก สนใจน้อย หรือไม่สนใจเลย แต่เมื่อข่าวสารบ้านเมืองไหลเร็วและพุ่งมาจากทุกทิศทุกทางก็อาจนำความตึงเครียดมาสู่จิตใจได้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะถ้าคุณคือคอการเมืองตัวยง สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรายวันหรือบางครั้งไหลเร็วถึงขั้นรายชั่วโมง รายนาที การตื่นตัวและทันเหตุการณ์อยู่เสมอนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อไรก็ตามที่เริ่มรู้สึกนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ปวดหัว ไม่เป็นอันทำการทำงาน อยากติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ฯลฯ นั่นก็อาจเป็นสัญญาณเตือนให้หันมาดูแลสุขภาพจิตใจของเราแล้ว สุขภาพจิตใจของเราก็มีความหมายไม่แพ้เรื่องการเมือง UNLOCKMEN จึงอยากชวนมารับมือกับความเครียด ในห้วงเวลาที่ข่าวสารบ้านเมืองกำลังร้อนระอุเช่นนี้ แบ่งเวลาให้ความสุขของตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจคือเราไม่ต้องรอให้ใครมาอนุญาตให้เรามีความสุข เราสามารถเป็นคนที่ติดตามและตื่นตัวทางการเมืองไปพร้อม ๆ กับการมีความสุขและดูแลสุขภาพจิตตัวเองได้ โดยเฉพาะถ้าคุณคือคนที่ติดตามการเมืองอยู่เสมอ วิธีการรับมือกับความเครียดที่ดีมากอย่างหนึ่งคือการกำหนดเวลาพักให้ตัวเอง อาจจะเป็นการกำหนดว่าทุกวันอาทิตย์เราจะพัก ไม่เปิดเฟซบุ๊ก ไม่ไถทวิตเตอร์ ไม่รับข้อมูลข่าวสารใด ๆ หรืออาจจะกำหนดเวลาพักรายชั่วโมงในแต่ละวัน เช่น ทุก ๆ วันจะมีเวลา 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอนที่เราจะปิดการรับรู้ข่าวสารทุกอย่าง โดยในเวลาพักเหล่านี้หาสิ่งที่เยียวยาหัวใจตัวเองทำ ถามตัวเองว่าอะไรที่เราทำแล้วมีความสุข (แม้จะเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม) เล่นกับแมวที่บ้าน ออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะ ดูซีรีส์สืบสวนให้ตาแฉะ
หลายคนใฝ่ฝันอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสังคมที่ตัวเองอยู่ องค์กรหรือบริษัทของตัวเอง แต่การเปลี่ยนแปลงหลายคนรู้ว่ามันมีอุปสรรค์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน หรือ ระบบต่างๆ วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาทุกคนไปดูกันว่า ผู้นำการเปลี่ยนแปลง (change leadership) ที่ดี คืออะไร และการเปลี่ยนแปลงที่ดี ควรประกอบไปด้วยอะไรบ้าง คุณสมบัติของผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลง ผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลง (change leadership) คือ ผู้นำที่มีความสามารถในการสื่อสารกับคนในองค์กร เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และลดผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงให้ได้มากที่สุด พวกเขาควรมีความสามารถในการอธิบายเหตุผลที่มีความน่าสนใจมากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ และยังต้องมีความสามารถในการเรียกร้องให้คนทั้งองค์กรลงมือทำในสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งต้องมี แพสชั่น ความคงเส้นคงวา ความน่าเชื่อถือ และวิสัยทัศน์ อันเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมกับทักษะในการหาเสียงสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง และทำลายกำแพงของคนในองค์กรได้ พวกเขายังต้องทำให้คนในองค์กรต่อต้านการเปลี่ยนแปลงให้น้อยที่สุด และมีความสามารถในการสร้างหรือพัฒนาระบบและโครงสร้างองค์กรที่จำเป็นในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความพยายามในการเปลี่ยนแปลงได้ด้วย พวกเขาจะต้องรู้ว่าใครเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก (key stakeholders) พร้อมมีกลยุทธ์เพื่อให้ได้เสียงสนับสนุน เพื่อให้เป็นแรงผลักดันในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนในองค์กร และทำให้เกิดการลงมือทำในสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อไป นอกจากนี้ พวกเขายังต้องสามารถจัดการกับทรัพยากรที่มีความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง มีความสามารถในการประยุกต์และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ดำเนินแผนการเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในเวลาและต้นทุนที่กำหนด ภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพจะช่วยองค์กรได้อย่างไรบ้าง ? การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ช่วยให้องค์กรสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่เราก็ต้องยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงองค์กรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะคนเรามักรู้สึกไม่สบายใจที่จะเปลี่ยนแปลง
คนมีคู่เคยเคยรู้สึกไหมว่า “ทำไมการอยู่กับแฟนทำให้รู้สึกไม่สบายใจจัง?” รู้สึกเหมือนเราต้องเอาอกเอาใจเขาตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะทำตัวแย่แค่ไหน เราก็ต้องให้อภัยเขาอยู่เสมอ หากมีความรู้สึกประมาณนี้ อาจเป็นไปได้ว่า คุณกำลังติดนิสัย ‘codependency’ ซึ่งเป็นนิสัยแบบที่ไม่ได้ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์เลย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? เดี๋ยว UNLOCKMEN จะอธิบายให้ทุกคนฟัง อะไร คือ ‘codependency’ ก่อนอื่นเราอยากพูดถึงความหมายก่อน codependency หมายถึง บุคลิกภาพแบบที่พึ่งพาอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อตอบสนองความต้องการหรือคุณค่าของตัวเองมากเกินไป คนที่มีนิสัยแบบนี้มักจะตามใจคนอื่นมาก ถ้าเป็นในความสัมพันธ์แบบคู่รัก คือ คนที่มักตอบรับคำขอของอีกฝ่ายโดยไม่กล้าปฏิเสธ และมีความกังวลอย่างมากต่อการสูญเสียอีกฝ่าย codependency ยังมีอีกความหมาย คือ พฤติกรรมที่อนุญาตให้อีกฝ่ายมีพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น ไม่รับผิดชอบ เสพติดสุรา ไม่ยอมทำงานทำการ เป็นต้น ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า codependency หมายถึง นิสัยที่ยอมอีกฝ่ายทุกอย่าง เนื่องจากโหยหาการยอมรับจากอีกฝ่ายอย่างหนัก และกังวลมากว่าอีกฝ่ายจะทอดทิ้งตนไปเมื่อขัดใจ ซึ่งเราอาจรับนิสัยนี้มาจากคนในครอบครัว โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีปัญหา (dysfunctional family) หรือ พ่อแม่ป่วยไข้ ซึ่งงานวิจัยระบุว่า มนุษย์เรียนรู้นิสัย codependency ผ่านการสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมสมาชิกในครอบครัว กล่าวคือ ถ้าเราอยู่ในครอบครัวที่เคร่งเรื่องระเบียบในบ้าน
ย้อนกลับไปสมัยเด็ก ๆ ตอนนั้นเราอาจมองว่าโลกนี้เปรียบเหมือนสนามเด็กเล่น ที่เราสามารถมีความสุขและทดลองทำอะไรใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา แต่พอกลับมาดูตอนนี้ เหมือนกับว่า “ยิ่งโต ยิ่งเจ็บ” เพราะเราต้องแบกรับความคาดหวังอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องความสัมพันธ์ ฐานะทางการเงิน หรือ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ฯลฯ และพอคาดหวังมาก แน่นอนว่าความทุกข์ที่เกิดจากความผิดหวังก็มากตามมาเหมือนกัน จนบางคนอาจสิ้นหวังไปเลยก็ได้ UNLOCKMEN เข้าใจว่าความสิ้นหวังเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ของผู้ใหญ่ทุกคน จึงอยากแนะนำวิธีการเอาชนะความสิ้นหวัง ให้ทุกคนสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุข และมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นกันถ้วนหน้าได้ แต่ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องความสิ้นหวังสักเล็กน้อยก่อนเข้าเรื่อง… ว่าด้วยเรื่องอาการสิ้นหวัง (hopelessness) เมื่อเราเจอกับเรื่องที่น่าผิดหวังซ้ำๆ เป็นเวลานานๆ แน่นอนว่าจิตใจของพวกเราคงเกิดบาดแผล และเกิดผลเสียต่อสุขภาพตามมา เพราะความผิดหวัง (disappointment) ที่สะสมมาเป็นเวลานาน หากไม่มีวิธีการรับมือที่ถูกต้อง จะก่อให้เกิดความเครียดเรื้อรัง พร้อมก่อภาวะซึมเศร้า จนทำให้พวกเรารู้สึกสิ้นหวังกันได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการใข้ชีวิตของเราอย่างมาก เพราะความสิ้นหวัง (hopelessness) ทำให้เราคิดแต่อะไรลบๆ โดยเฉพาะเรื่องการทำลายความคาดหวังของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น คิดว่าชีวิตจะต้องแย่แบบนี้ตลอดไปโดยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หรือ คิดว่าความเศร้าของตัวเองจะคงอยู่ตลอดไป ความสิ้นหวังยังนำมาซึ่งพฤติกรรมแย่ๆ 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.ติดอยู่ในวงจรของความรู้สึกแย่ๆ และการกระทำแย่ๆ และ
สกิลเปิดขวดเบียร์หรือขวดโซดาด้วยมือเปล่าดูเหมือนจะเป็นสกิลติดตัวชายแทบทุกคน จนถือเป็นเป็นสกิลที่ดูบ้าน ๆ ไปแล้ว แต่ถ้าเปิดไวน์โดยไม่มีที่เปิดขวดไวน์ได้ล่ะ? คิดดูว่าจะคูลแค่ไหน? UNLOCKMEN ขอรับรองว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งสกิลใหม่ ๆ ที่เพิ่มคะแนนให้คุณในสายตาสาว ๆ ท่ามกลางคืนที่หิ้วไวน์ไปเตรียมโรแมนติกเต็มที่ แต่ดันไม่มีที่เปิดขวด เพราะนอกจากจะดูโรแมนติกมากกว่าการดื่มเบียร์กินพิซซ่าเป็นไหน ๆ จะได้คะแนนความเท่เพิ่มขึ้นจากการเปิดขวดไวน์โดยไม่ใช้ที่เปิดแบบแมน ๆ ไปอีกหนึ่งสเต็ป มาดูกันเถอะว่าการเปิดไวน์โดยไม่ใช้ที่เปิดสามารถใช้อะไรเปิดแทนได้บ้าง? รองเท้า ใครจะไปคิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้ แค่ถอดรองเท้าที่เราใส่อยู่ออกมาหนึ่งข้าง เอาขวดไวน์ที่ต้องการเปิดวางลงไปแทนที่เท้าของเรา จากนั้นก็หากำแพงแล้วลงมือตบตูดขวดไวน์ลงบนกำแพงได้เลย ผลลัพธ์ก็เปิดออกมาง่ายดายอย่างที่เห็นในคลิปนี่เอง กุญแจบ้านนี่แหละ กุญแจบ้าน กุญแจรถ กุญแจห้องกิ๊ก หรือกุญแจอะไรก็ได้ เชิญล้วงควักออกมาทันทีที่รู้ว่าไม่มีที่เปิดไวน์อย่างเป็นกิจจะลักษณะ แล้วเสียบลงไปบนฝาก๊อกไวน์ทำมุม 45 องศา จากนั้นค่อย ๆ ออกแรงหมุนลูกกุญแจ จนฝาก๊อกค่อย ๆ เคลื่อนตามขึ้นมา ง่ายไม่ง่ายก็ดูจากคลิปเอาแล้วกัน นิตยสารสักเล่ม หลักการเดียวกันกับการใช้รองเท้าเปิด แต่นี่ง่ายกว่าเก่าด้วยการหานิตยสารที่ไม่ใช้แล้วมา เผื่อรองเท้าที่คุณใส่อยู่นั้นมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือกลัวว่าจะดูไม่สะอาด ไปจนถึงกลัวว่ารองเท้าคู่โปรดของเราจะเปื้อนได้ เราก็ใช้นิตยสารที่หนาหน่อย มารองตูดขวด จากนั้นก็จัดการกระแทกเข้ากับกำแพงตามใจชอบได้เลย กรรไกร กรรไกรก็นับเป็นอีกของคู่บ้านที่ไม่ว่าบ้านไหนก็น่าจะมี คว้ามันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ซะ ด้วยการแทงขาด้านหนึ่งของมันลงไปในฝาก๊อกโดยทิ่มลงไปให้ลึกจนสุดด้าม ก่อนจะใช้แรง
สถานการณ์แพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันในหลาย ๆ ด้าน หลายคนต้องทำงานที่บ้าน งดการเดินทางไปยังที่สาธารณะต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ส่งผลให้การใช้รถ ยนต์น้อยลงด้วย อย่างไรก็ดี การเตรียมรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอก็เป็นสิ่งจำเป็น เจ้าของรถควรหมั่นตรวจเช็กสภาพรถยนต์ และเตรียมอุปกรณ์จำเป็นติดไว้ในรถเสมอ วันนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำวิธีเตรียมพร้อมในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินหรือต้องใช้รถออกไปจับจ่ายซื้อของเพื่อใช้อุปโภคบริโภคในยามคับขัน ตรวจเช็ก เพื่อความชัวร์ เจ้าของรถสามารถตรวจสอบสภาพรถยนต์และระดับของเหลวต่าง ๆ ในระบบเครื่องยนต์เบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง โดยสิ่งสำคัญที่ควรหมั่นตรวจเช็กให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน มีดังนี้ • ยาง หนึ่งในชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดของรถยนต์ เพราะนอกจากจะสัมผัสกับพื้นถนนตลอดเวลาแล้ว ยางยังต้องรับน้ำหนักรถและน้ำหนักจากการบรรทุกอีกด้วย เจ้าของรถยนต์จึงควรหมั่นตรวจเช็กสภาพยางและความดันลมยางให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ควรเปลี่ยนยางทันที หากพบว่ายางหรือดอกยางเริ่มเสื่อมสภาพ เช่นมีรอยแตกร้าวหรือบวมบริเวณหน้ายางหรือแก้มยาง หรือความลึกของดอกยางเหลือประมาณ 2.0 – 1.6 มิลลิเมตร • ไฟหน้า และที่ปัดน้ำฝน อาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่หากคุณจำเป็นต้องใช้รถในยามกลางคืนหรือฝนตกควรหมั่นตรวจสอบว่าทั้งไฟหน้าและที่ปัดน้ำฝนรวมถึงยางใบปัดน้ำฝนอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ • แบตเตอรี่รถยนต์ หมั่นตรวจเช็กสภาพของแบตเตอรี่ว่าไม่มีความผิดปกติ หรือมีรอยแตกร้าว รวมถึงทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ • ของเหลวภายในรถ เป็นอีกสิ่งที่ควรหมั่นตรวจเช็กเป็นประจำ ทั้งในยามปกติหรือในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในบ้านเรายังคงน่าเป็นห่วงจากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ที่มีเพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้งานบริการที่ต้องใกล้ชิดกับลูกค้าอย่างร้านตัดผมได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ จากคำสั่งปิดร้านไปในช่วงนี้ แน่นอนว่าการปิดให้บริการของร้านตัดผมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความปลอดภัยของทุก ๆ คน แต่ก็สร้างคำถามต่อว่าแล้วเราจะตัดผมกันที่ไหน ? วันนี้ UNLOCKMEN เชื่อว่ามีหนุ่ม ๆ หลายคนกำลังพบเจอกับผมที่กำลังยาวรุงรังจนรำคาญใจ แต่ในสถานการณ์ที่ร้านโปรดช่างประจำไม่สามารถให้บริการได้แบบนี้ การตัดผมด้วยตัวเองจึงเป็นอีกสกิลหนึ่งที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนลองทำกันดู และ SURVIVAL ครั้งนี้ได้รวบรวมเคล็ดลับและเทคนิคเบื้องต้นที่จำเป็นมาให้แล้ว จะต้องเตรียมตัวและมีวิธีการอะไรบ้างมาเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน เตรียมอุปกรณ์และสถานที่ การตัดผมคงเริ่มต้นไม่ได้ถ้าอุปกรณ์ Home Barber ของเรายังมีไม่พร้อม เพราะถึงเป็นการตัดผมด้วยตัวเองที่บ้านแต่การตัดผมก็เป็นเรื่องที่ต้องการเครื่องมือเฉพาะ และวันนี้อุปกรณ์ที่เป็นพระเอกของงานคือปัตตาเลี่ยน (Clippers) ซึ่งทุกคนสามารถสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ในราคาที่มีตั้งแต่หลักร้อยไปถึงแบบชุดแบบครบคันในราคาหลักพัน แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อแบบครบชุดที่มาพร้อมหัวครบชุดเปลี่ยนแบบเรียงเบอร์ เราแนะนำให้ซื้อหัวปัตตาเลี่ยนเบอร์ที่ใช้ตัดที่ร้านบ่อยที่สุดติดตัวไว้จะเพราะช่วยให้การตัดผมเองง่ายดายมากขึ้น รวมถึงกรรไกรตัดผมด้วยมือข้างถนัดอย่างน้อยหนึ่งเล่มและหวี อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้คือ กระจก ที่ต้องการอย่างน้อย 1 บานเพื่อใช้ส่องด้านหน้าระหว่างตัด แต่สำหรับคนที่ต้องการตัดเองระยะยาวเราแนะนำให้ซื้อกระจกแบบ 3 ด้านที่ตอบโจทย์การตัดผมเองได้เลย เรื่องของสถานที่ แน่นอนว่าบ้านหรือห้องของเราอาจไม่มีมุมให้เลือกมากนักซึ่งไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะห้องน้ำคือคำตอบที่เหมาะสมเพราะไม่มีทั้งลม แถมยังฉีดน้ำทำความสะอาดเศษผมได้ง่าย สิ่งที่ควรระวังคือระดับแสงสว่างในห้องน้ำ เพราะแสงที่น้อยเกินไปอาจให้คุณมองเห็นความยาวและความสม่ำเสมอของผมไม่ชัดเจนระหว่างตัดได้ แต่สำหรับใครที่มีอุปกรณ์ สถานที่พร้อมก็ลุยต่อกันได้เลย ทำความรู้จักผม เลือกทรงและทำความสะอาด ก่อนจะลงมือหั่นผมทิ้งไป มาทำความรู้จักผมของตัวเองให้ดีขึ้นก่อน