เคยไหม ? ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าเหมือนยังไม่ตื่น เกิดอาการสะลึมสะลือ คิดอะไรไม่ค่อยออก แถมยังรู้สึกควบคุมตัวเองได้ไม่เต็มที่ตลอดวัน ถ้าใครกำลังเป็น อาจกำลังตกอยู่ในภาวะสมองเหนื่อยล้า (Brain Fog) ก็เป็นได้ ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นได้จากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ ทำให้เกิดผลเสียต่อการใช้ชีวิตของเรา UNLOCKMEN เลยจะมาอธิบายสาเหตุที่ทำให้เราเกิดอาการ Brain Fog และวิธีการป้องกันและบรรเทาอาการ Brain Fog ด้วย เพื่อให้คนอ่านรอดพ้นจากอาการ Brain Fog กันถ้วนหน้า WHAT IS BRAIN FOG SYNDROME ? Brain Fog Syndrome คือ อาการเหนื่อยล้าทางจิตใจที่สามารถเกิดขึ้นจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ โดยสารเคมีในสมองที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์เกิดอาการเสียสมดุล สมองของเราเลยทำงานได้แย่ลง และเราเกิดปัญหาในการใช้ชีวิตต่าง ๆ เช่น ไม่สามารถคิด หรือ นึกอะไรไม่ค่อยออก เกิดความสับสนมึนงง ไม่สามารถโฟกัสกับชีวิตประจำวัน และพูดในสิ่งที่คิดได้ยากขึ้น อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ผลของการขาดน้ำ ผลของความเครียด ผลของการพักผ่อนไม่เพียงพอ ผลของการขาดวิตามิน B-12 ผลข้างเคียงจากการทานยาบางชนิด
หลายคนคงคิดว่า เมื่อเราเป็นเจ้าของชีวิต เราก็น่าจะควบคุมการตัดสินใจของตัวเองได้เสมอ แต่ในความเป็นจริง มนุษย์มีระบบการตอบสนองแบบอัตโนมัติอยู่ หรือที่เรียกกันว่าโหมด autopilot เมื่ออยู่ในโหมดนี้เราจะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ โดยใช้ความเคยชิน และคิดน้อยลง การใช้โหมดนี้อาจจะดีเมื่อเราทำเรื่องที่เป็นรูทีน เช่น การขับรถ หรือ กินข้าว เพราะช่วยประหยัดพลังงานสมอง แต่เมื่อเจอกับเรื่องที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การแต่งงาน การแก้ปัญหาในที่ทำงาน โหมดนี้อาจส่งผลให้เราตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นได้แย่ลงได้ เราเลยอยากมาแนะนำวิธีการออกจากโหมด autopilot เพื่อให้เราสามารถควบคุมชีวิตตัวเอง และตัดสินใจเรื่องยาก ๆ ได้ดีขึ้น โหมด AUTOPILOT ทำงานยังไง ? ว่ากันว่า โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือ autopilot ของเราเกี่ยวข้องกับโครงข่ายของสมองที่เรียกว่า Default Brain Network (DMN) ซึ่งจะทำงานในเวลาที่เราไม่โฟกัสกับโลกภายนอก หรือ กำลังใจลอยอยู่ โดยโครงข่ายนี้จะเกี่ยวข้องกับสมอง 3 ส่วน ได้แก่ Posterior cingulate cortex (PCC) และ precuneus ที่อยู่ในสมองกลีบข้าง
เมื่อเทคโนโลยีทำให้เราสามารถทำงานนอกออฟฟิศได้ง่ายขึ้น เราสามารถทำงานได้จากทุกที ไม่ว่าจะเป็น บ้าน ร้านอาหาร หรือ ร้านกาแฟ สิ่งที่ตามมา คือ เราอาจเกิดความสับสนระหว่างเวลาในการใช้ชีวิต และนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เช่น ความเครียด ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน จนสุดท้ายราอาจเจอกับความล้มเหลวทั้งในเรื่อง Work และเรื่อง Life บทความนี้ UNLOCKMEN อยากให้ทุกคนรู้จักวิธีการกำหนด work-life boundaries หรือ ขอบเขตระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงาน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถบริหารเวลาได้ดีขึ้น และเป็นผู้ชนะทั้งการใช้ชีวิตและการทำงาน WORK-LIFE BOUNDARIES คืออะไร ? ถ้าจะสรุปคอนเซ็ปท์ของ work-life boundaries ให้เข้าใจง่ายที่สุด มันคือการที่เราไม่เอาเวลาทำงานมาทำเรื่องส่วนตัว และไม่เอาเวลาทำเรื่องส่วนตัวมาทำงาน ซึ่งการกำหนด work-life boundaries ที่ชัดเจนก็มีงานวิจัยยืนยันด้วยว่า ส่งผลดีต่อการทำงานเหมือนกัน เช่น งานวิจัยของ เอลเลน เอินส์ท คอสเสก (Ellen Ernst Kossek) จากมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเพอร์ดู พบว่า การบริหาร work-life
หลังจากที่ทั่วโลกเกิดปัญหาโควิดขึ้นมา หลายคนคงเกิดอาการกลัวการออกจากบ้านพอสมควร เพราะตอนนี้มันยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถป้องกันการติดโรค COVID-19 ได้แบบ 100% แถมยังการันตีไม่ได้ด้วยว่าวัคซีนจะช่วยทำให้เราปลอดภัยได้จริง เมื่อคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าตัวเองสามารถติดโรคได้ตลอดเวลา และไม่สามารถคาดเดาได้ว่าปัญหานี้จะจบลงเมื่อไหร่ ความเครียด ความกังวล ความหวาดระแวงโรคระบาด ก็มารังควานพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข บางคนอาจได้รับผลกระทบร้ายแรง จนถึงขั้นเป็นโรคกลัวไวรัสโคโรนา (coronaphobia) ซึ่งเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตพอสมควร เราเลยอยากมาแนะนำวิธีรับมือกับอาการกลัวไวรัสโคโรนา เพื่อให้พวกเรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง แบบไหนถึงเรียกว่าเป็น coronaphobia ? ความกลัวไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะบางครั้งมันก็ช่วยให้เราระมัดระวังตัว และเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดอย่างดีที่สุด แต่ถ้าความกลัวมีมากเกินไป จนเกิดเป็นโรคกลัวไวรัสโคโรนา (coronaphobia) ขึ้นมา มันก็อาจทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างแย่ลงได้ ลองเช็คตัวเองดูว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ กลัวติดเชื้อ COVID-19 เกินเหตุ ปกป้องตัวเองอย่างหนาแน่น แม้ในเวลาทำกิจกรรมที่รักษาระยะห่างทางสังคมได้ง่าย เช่น สวมถุงมือและหน้ากากในระหว่างการออกกำลังกายในสวนสาธารณะ อยู่ในสภาวะกลัวและกังวลอย่างหนักเป็นเวลานานหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน หลีกเลี่ยงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สถานที่ คน กิจกรรม แม้จะได้รับการยืนยันแล้วว่ามีความปลอดภัย เสียเวลาชีวิตไปกับการตรวจหาสัญญาณหรืออาการของโรคระบาด รวมถึง การหาข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสบนโลกออนไลน์ หมกมุ่นกับการล้าง การทำความสะอาด และการฆ่าเชื้อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว รวมถึง
เวลาเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้เราตรึงเครียดมาก ๆ เรามักจะทำผลงานได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะเราเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านั้นด้วยความเครียด ความกังวล หรือ ความกลัว และเรายังถูกกระตุ้นให้รีบคิด รีบแก้ปัญหา จนสุดท้ายงานก็อาจเสร็จแบบไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ ถ้าเจอกับสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นบ่อย ๆ เราก็อาจเหนื่อยล้าและจิตใจพุพังได้เหมือนกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำมีวิธีการ self-regulate ตัวเอง เพื่อให้เรารับมือกับสถานการณ์ที่ไม่น่าสบายใจได้เป็นอย่างดีที่สุด เกิดอะไรขึ้นเมื่อเราเจอกับสถานการณ์ที่มีความตึงเครียดสูง ? เวลาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ทำให้เราเกิดความเครียดอย่างหนัก เช่น ก่อนเวลาพรีเซนต์งาน หรือ เดินเล่นอยู่แล้วเจอหมาวิ่งไล่กัด ร่างกายเรามักเกิดการตอบสนองทางจิตวิทยาที่เรียกว่า fight-or-flight response (การตอบสนองแบบสู้-หรือ-ถอย) หรือมีอีกชื่อหนึ่ง คือ acute stress response ร่างกายของเราจะหลั่งฮอร์โมนออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราเตรียมพร้อมสำหรับการอยู่และสู้กับปัญหาต่อไป หรือ จะหนีไปยังพื้นที่ปลอดภัย การหลั่งฮอร์โมนทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติกถูกกระตุ้น และมันจะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนกลุ่มแคททีโคลามีน (catecholamines) เช่น อะดรีนาลีน หรือ นอร์อะดรีนาลีน ออกมาอีกที ส่งผลให้หัวใจของเราเต้นแรงขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น และหายใจถี่ขึ้น ดังนั้น เวลาเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด เราเลยแพนิคได้ง่ายพอสมควร และหลังจากสิ่งที่ทำให้เราตรึงเครียดหายไปแล้ว ว่ากันว่า
เวลาเราเจอกับเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต เช่น ตกงาน สอบตก หรือว่า อกหัก หลายคนมักจะเกิดอารมณ์แย่ ๆ ขึ้นมาหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็น ความเครียด ความเศร้า ความกังวล บางคนอาจมีอาการถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าทำไมเรื่องเหล่านั้นถึงเกิดขึ้น และอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขมันเสียเหลือเกิน แต่เมื่ออดีตเป็นเรื่องที่ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ การคิดถึงมันบ่อย ๆ จึงไม่ช่วยอะไร นอกจากทำให้เรายิ่งคิดมาก มูฟออนยาก และติดอยู่ในลูปของความเศร้าที่ไม่รู้จะจบลงเมื่อไร เรามีวิธีรับมือกับเรื่องแย่ ๆ ที่ดีกว่านั้นมาแนะนำนั่นคือการใช้ Gratitude หรือ การขอบคุณนั่นเอง สกิลนี้จะช่วยให้เราสามารถมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตมากขึ้น และจะทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้นด้วย เดี๋ยวเราจะอธิบายให้ฟังว่าเราจะพัฒนาสกิลนี้ได้อย่างไร WHAT IS GRATITUDE ? ถ้าแปลคำว่า Gratitude จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยตรง ๆ ความหมายของมัน คือ ความกตัญญู หรือ ความรู้สึกขอบคุณ ซึ่งมีหลายคนเหมือนกันที่มองว่า มันเป็นสกิลในการเอาตัวรอด (Survival Skill) จากความยากลำบากต่าง
มันต้องมีเพื่อนสักคนนึงแหละที่มีนิสัยชอบชมคนอื่นง่าย ๆ และดูจะคล้อยตามคนอื่นไปซะทุกเรื่อง หลายคนอาจมองว่าคนประเภทนี้ เฟรนด์ลี่ เข้าหาได้ง่าย และเต็มไปด้วยพลังงานด้านบวก โดยหารู้ไม่ว่าบางครั้งการเป็นคนที่ประทับใจอะไรง่าย ๆ ก็อาจส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตได้เหมือนกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาอธิบายว่า การประทับใจอะไรง่าย ๆ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ? และเราจะจัดการตัวเองอย่างไร เพื่อไม่ให้คนอื่นเข้ามาบงการชีวิตเรา ? ข้อดีข้อเสียของการประทับใจอะไรง่าย ๆ บางคนบอกว่า การที่เราประทับใจอะไรง่าย ๆ อาจทำให้เรามีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้น เพราะเราจะสนใจแต่เรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตมากกว่าเรื่องที่เลวร้าย มองโลกในแง่บวก และสามารถเอนจอยกับชีวิตได้มากกว่าคนที่ประทับใจกับสิ่งต่าง ๆ ได้ยาก แถมการเป็นคนที่ชอบชมคนอื่นบ่อย ๆ ก็อาจทำให้ดูเข้าหาง่ายด้วย ซึ่งคุณสมบัตินี้สำคัญต่อการสานความสัมพันธ์กับคนอื่น แต่การเป็นคนที่ประทับใจคนอื่นได้ง่ายนั้น มันก็อาจทำให้เรากลายเป็นคนที่ถูกคนอื่นชักจูง (Influence) ได้ง่าย คล้อยตามคนอื่นได้ง่าย และคิดน้อยลงได้เช่นกัน เพราะคนที่ประทับใจอะไรง่าย ๆ จะขาดทักษะที่เรียกว่าการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ซึ่งเป็นสกิลที่ทำให้เราคิดได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น ดังนั้น พอเห็นคนอื่นทำดีด้วย พวกเขามักจะไม่คิดถึงเจตนาที่อยู่เบื้องหลังการกระทำนั้นอย่างถี่ถ้วน คล้อยตามได้ง่าย และสุดท้ายพวกเขาก็อาจถูกหาประโยชน์ หรือ ถูกหลอกจนได้
เมื่อไม่มีใครรู้ว่าการระบาดของ COVID-19 จะจบลงเมื่อไหร่ หลายคนคงใช้ชีวิตแบบไม่มีความสุขกัน เพราะในสภาวะไม่ปกติแบบนี้ หลายคนต้องอยู่บ้านเป็นเวลานาน อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไปไม่ได้ แถมยังต้องระมัดระวังสิ่งรอบข้างตลอดเวลา การต้องใช้ชีวิตด้วยความอดทนและอยู่ภายใต้ความกลัวโรค จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สภาพจิตใจของเราจะแย่ลงทุกวัน ๆ แม้สถานการณ์จะบั่นทอนความสุขของเราเหลือเกิน แต่การสิ้นหวังก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น มาลองดูวิธีรับมือกับอารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤต COVID-19 ก่อน ซึ่งเราเชื่อว่า หากทุกคนทำตามแล้ว จะมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้นอย่างแน่นอน เช็คข่าวให้ดีก่อนเชื่อ ยุคนี้ข่าวปลอมเยอะมาก ซึ่งบางข่าวก็เน้นไปที่การสร้างความตื่นตระหนกด้วย แถมพอเราเชื่อและนำข่าวนั้นไปบอกคนอื่นต่อ ความตื่นตระหนกมันก็จะยิ่งแพร่กระจายในวงกว้างมากขึ้นอีก เราเลยต้องเลือกเสพข่าวกันหน่อย พร้อมกับเช็คความถูกต้องของข้อมูลด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราได้รับข่าวจากคนในทวิตเตอร์ เราก็อาจนำข้อมูลนั้นไปเช็คกับแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น สำนักข่าวใหญ่ หรือ มีเดียของหน่วยงานรัฐบาล เพื่อให้เราได้รับข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด และป้องกันความแพนิคที่เกิดขึ้นจากการเชื่อข่าวปลอม รวมถึง การส่งต่อความแพนิคไปยังคนอื่นด้วย ควบคุมปริมาณการเสพข่าวของตัวเอง แม้การตื่นตัวเรื่อง COVID-19 จะเป็นเรื่องดี แต่เราไม่จำเป็นต้องเสพข่าวเรื่อง COVID-19 ตลอดเวลา เพราะพวกข้อมูลที่บอกว่าโรคระบาดแพร่เร็วแค่ไหน ? คนป่วยและตายมีจำนวนเท่าไหร่ ? สามารถเพิ่มความวิตกกังวลให้กับเราได้ การเสพข่าวประเภทนี้ตลอดเวลา จึงทำให้จิตใจเกิดภาระอย่างหนักได้เช่นกัน ดังนั้น จำกัดเวลาในการเสพข่าว และเอาเวลาที่เหลือมาทำในสิ่งที่เราชอบดีกว่า เช่น
ในชีวิตนี้มันต้องมีสักคนแหละที่เราอยู่ด้วยแล้วรู้สึกทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหนื่อย รู้สึกอึดอัด รู้สึกกลัวเวลาอยู่กับเขา รู้สึกแย่กับตัวเอง ฯลฯ โดยสาเหตุที่เรารู้สึกแบบนั้น อาจเป็นเพราะนิสัยของเขาไม่ถูกจริตเราอย่างแรง คนที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ เราอาจเรียกเขาว่าเป็นคนท็อกซิก (Toxic Peoples) ซึ่งบางครั้งก็สามารถแยกออกจากคนปกติได้ยากเหมือนกัน เราเลยอยากมาแนะนำวิธีการมองคนท็อกซิก 10 ประเภท เพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถแยกแยะคนประเภทนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น 1.The Strait Jacket ประเภทแรกที่อยากให้ทุกคนรู้จักกันไว้ คือ สเตรทแจ็คเก็ต ซึ่งเป็นประเภทของคนที่ชอบควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต เปรียบได้กับ สเตรทแจ็คเก็ต ซึ่งเป็นชุดแขนยาวที่ใช้ในการควบคุมผู้ต้องขังหัวรุนแรงและผู้ป่วยทางจิต โดยชุดนี้จะมีที่รัดมือเพื่อไม่ให้ผู้สวมใส่ขยับตัวได้สะดวก คนประเภทนี้จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณเห็นด้วยกับเขา และคุณต้องเห็นด้วยกับเขาเท่านั้น จะเห็นต่างไม่ได้ การอยู่ร่วมกับคนแบบนี้สร้างความท็อกซิกให้กับเราแน่นอน เพราะทำให้เรารู้สึกไม่มีอิสระ ไม่เป็นตัวของตัวเอง 2.The Drama Magnet ประเภทต่อมาเรียกได้ว่าเป็น แม่เหล็กดึงดูดทุกดราม่า พวกเขามักจะบ่นถึงปัญหา และเรียกร้องแค่ความเห็นอกเห็นใจ ความสงสาร คำปลอบประโลมจากคุณเท่านั้น ไม่ได้ต้องการคำแนะนำหรือแนวทางแก้ไขจากคุณ สิ่งที่พวกเขาทำตลอดเวลา คือ บ่นและบ่นอยู่เสมอ เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเขากำลังตกเป็นเหยื่อของปัญหา และยังทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองสำคัญมากพอที่คนอื่นจะต้องสนใจด้วย 3.The JJ JJ ย่อมาจาก ‘Jealous-Judgmental’ หรือ
เคยเป็นไหม ? อยากทำอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดมันไว้ เพราะเสียงในหัวพูดถ้อยคำลบ ๆ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น “ทำไปก็ไม่มีใครสนใจหรอก” “ทำไปก็ไม่ประสบความสำเร็จ” “ทำไปก็คงดีไม่เท่าคนอื่น” ฯลฯ เสียงเหล่านี้ เรามักเรียกกันว่าเป็น เสียงวิจารณ์ภายใน (critical inner voice) ซึ่งหลายคนคิดว่ามันเหมือนปีศาจที่คอยบันทอนกำลังใจและสร้างความกลัวให้กับเราอยู่เสมอ ร้ายที่สุดมันอาจโหดร้ายกับเราจนเราไม่สามารถทำอะไรเลย เราเข้าใจว่า เสียงเหล่านี้มันทำให้หลายคนรู้สึกแย่ และบางครั้งเป็นปัญหาในการใช้ชีวิต เลยอยากมาแนะนำวิธีการลดความตรึงเครียดที่เกิดจากการฟังเสียงในหัว เพื่อให้ทุกคนสามารถเอาชนะความกลัว มีความกล้าหาญ มีความมั่นใจมากขึ้น และสุดท้ายจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้นตามมา ทำไมเราถึงวิจารณ์ตัวเอง ? หลายคนคงนึกไม่ออกว่าประโยชน์ของเสียงวิจารณ์ตัวเองคืออะไร ? คงรู้สึกว่ามันมีผลร้ายเยอะกว่าประโยชน์ แต่เราอยากบอกว่า เสียงเหล่านี้อาจเป็นเหมือนเกราะป้องกัน ที่ช่วยป้องกันความเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากที่เราตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เช่น ความผิดหวังในความรัก ความล้มเหลวในหน้าที่การงาน หรือ การถูกทอดทิ้งจากเพื่อน มันจึงมักกดดันเรา เพื่อให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั่นยังไม่เพียงพอ กระตุ้นให้เราพัฒนาตัวเองจนถึงขีดสุด เพื่อลบข้อผิดพลาดให้มากที่สุดเท่าที่ได้ มันจึงมักเตือนเราว่า สิ่งที่เรากำลังจะทำนั่นไม่เวิร์ก หรือ มีความเสี่ยงสูง แต่ถึงเราจะไม่เจ็บจากการตัดสินใจ เราก็เจ็บจากการไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการทำ ความสิ้นหวัง และความเครียดแทน เสียงในหัวจึงเป็นเหมือนดาบสองคมที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ว่ากันว่า