FASHION

SUPREME : เจาะวิถีแห่งโคตรแบรนด์สตรีตสุดเจ๋ง ที่ไม่ว่าจะขายอะไรก็รวย

By: Thada December 22, 2019

ย้อนกลับไปในปี 1994  ชายคนหนึ่งชื่อว่า James Jebbia ได้เริ่มต้นสร้างแบรนด์เสื้อผ้าเล็ก ๆ ของตัว เพราะมีความตั้งใจที่อยากจะทำแฟชั่นขึ้นมาตอบสนองไลฟ์สไตล์สำหรับคนที่หลงใหลในกีฬาสเก็ตบอร์ดอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งใครจะคิดว่าจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ นี้ กาลผ่านไป 20 กว่าปี ปัจจุบันเสื้อผ้าของเขากลายเป็นสุดยอดแบรนด์ของโลก จนหลาย ๆ คนพยายามถอดเคล็ดลับความสำเร็จ แต่ก็ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN กำลังจะมาพูดถึงแฟชั่นที่มากกว่าแฟชั่นอย่าง Supreme 

Supreme เริ่มต้นจากร้าน underground เล็ก ๆ โดย James Jebbia ผู้คลุกคลีกับวงการเสื้อผ้าสตรีตแวร์มาพอสมควร เพราะเขาเคยหาบแร่ขายของวินเทจจนขยับขยายมาเปิดร้าน multi-store นำเข้าเสื้อผ้าจากประเทศอังกฤษมาขายในอเมริกา ก่อนที่จะรู้สึกอิ่มตัวและอยากสร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งเขาได้ไปเจอตึกว่างในทำเลถนนย่าน Lafayette  จากความคิดเพียงว่าน่าจะเป็นสถานที่เหมาะสำหรับเป็นจุดนัดพบของเหล่าสเก็ตเตอร์เท่านั้น

ขณะนั้นเอง James Jebbia ยังคงทำงานควบคู่อยู่กับแบรนด์ Stüssy พร้อมเปิดร้านเล็ก ๆ ที่ชื่อ Supreme โดย James กล่าวว่าเขาแค่รู้สึกว่าชื่อนี้มันเท่ดีส่วนโลโก้ที่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์อย่าง Box Logo นั่นได้แรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะของ Barbara Kruger ที่ไม่ได้พิสดารอะไรเลยเป็นฟอนต์ Futura Bold Italic เป็นผลพวงมาจากความตั้งใจจะล้อเลียนและสื่อสารกับผู้บริโภคว่า Supreme คือแบบสไตล์ กวน ดิบ ขบถ

ในช่วงเริ่มแรก James Jebbia ค่อนข้างคำนึงถึงลูกค้า ถึงแม้ว่าเขาจะเล่นสเก็ตบอร์ดไม่เป็นก็ตาม โดยเขาพยายามทำร้านออกมาให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักสเก็ตเตอร์มากที่สุด จัดสรรพื้นที่ให้โล่งเพื่อที่นักสเก็ตจะสามารถไถบอร์ดเข้ามาในร้านได้เลย ซึ่งนับว่าดีไซน์สุดแปลกสำหรับร้านขายเสื้อผ้าทั่วไปในเวลานั้น แถมยังมีลานสเก็ตให้เล่นในร้านได้อีกด้วย พร้อมจัดสร้างทีมสเก็ตบอร์ดเพื่อโปรโมทเสื้อผ้าไปในตัว ดีไซน์ของ Supreme ในยุคแรกจะมีกลิ่นอายความเป็นฮิปฮอปสูง ดังนั้นร้าน Supreme จึงเหมือนจุดรวมตัวของบรรดาฮิปฮอปสเก็ตที่มักจะมารวมตัวกันเป็นกลุ่มแก๊ง เนื่องจากร้านตกแต่งได้เท่แตกต่างจากร้านสตรีตแฟชั่นทั่ว ๆ ไป

ต้องขอบคุณความโชคดีและจะบอกว่านี่คือตัวอย่างของ Gurriellla Marketing ในยุคที่อินเทอร์เน็ตยังไม่เฟื่องฟูเช่นทุกวันนี้ Supreme ใช้วิธีการแจกสติกเกอร์ฟรีให้กับลูกค้าหรือคนที่เข้ามาเยี่ยมชมร้าน จากนั้นบรรดาขาสเกตและรวมถึงแฟน ๆ ของ Supreme ต่างพาเหรดนำสติกเกอร์ไปแป๊ะตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่ว New York จนมีมือดีไปติดสติกเกอร์บนโปสเตอร์ของ Calvin Klein ทำให้เป็นเรื่องเป็นราวถูกฟ้องร้องอย่างใหญ่โต เหตุการณ์นี้เรียกได้ว่า Supreme ได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ เหมือนได้โฆษณาแบรนด์ เพราะคดีนี้กลายเป็นข่าวดัง แถมสุดท้ายยังรอดคดีอีก เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่แน่นอนจับตัวคนทำความผิดไม่ได้

แถม Supreme ยังแก้เผ็ดเอาคืนด้วยการทำลายกราฟิกดังกล่าววางจำหน่ายในปี 2004  งานออกแบบของ Supreme นั้นมีจุดเด่นคือพวกเขาไม่เคยทำอะไรตามใครไม่เน้นเกาะกระแส แต่กลับกันยังสร้างสไตล์อันโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาแบบเฉพาะทาง เรียกได้ว่าทำตัวเป็นผู้กำหนดเทรนด์อย่างแท้จริง ซึ่งหลายครั้งก็แหวกกฎของการออกแบบจนคาดไม่ถึง James Jebbia บอกว่าสินค้าของเขาจะเน้นนำเสนอเรื่องราวของ Street Culture และ Pop Culture อีกทั้งยังรวมไปถึงการเชิดชู Art Culture หรือแม้แต่กระทั่งการล้อเลียนสไตล์ Parody ต่าง ๆ ที่จะอิงความเป็นมินิมัล

Supreme โด่งดังจนกลายเป็นวัฒนธรรมแฟชั่นที่แม้แต่แบรนด์ดังต่าง ๆ ก็อยากจะถอดรหัสความสำเร็จ แต่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบตามได้  ซึ่ง Dr. Dimitrios Tsivrikos ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ Consumer Psychogist จากมหาวิทยาลัย London ได้ทำการรวบรวมข้อมูล จนสรุปได้ใจความว่า สำหรับ Supreme ได้สร้างประสบการณ์ที่มากกว่าเครื่องประดับแต่งกาย เพราะเขาใช้วิธีการออกสินค้าแบบลิมิเต็ด สร้างเรื่องราวให้กับตัวสินค้า จนทำให้รู้สึกว่าของเหล่านั้นเป็นของหายาก ซึ่งมันส่งเสริมบุคลิกด้านจิตใจให้ผู้เก็บสะสมรู้ว่าตัวเองมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างด้วยการเก็บสะสมของหายากอย่าง Supreme  จึงไม่แปลกหาก แม้แต่ก้อนอิฐ หรือกระทั่งพระพิฆเนศที่ถูกนำมาวางจำหน่ายจะได้รับความนิยมชนิดขายเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

และด้วยอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งต้องยอมในความเจ๋งของแบรนด์ Supreme ที่ผลิตออกมาจนทำให้คนยอมจ่ายเงินเพื่อแลกมันมา แต่อีกนัยหนึ่งสิ่งที่ทำให้พวกเขาเจ๋งเหนือใครคือการเข้าไปอยู่ในใจคนทุกชนชั้น เพราะมันเป็นเรื่องง่ายมากที่คุณจะซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพงมาเพื่อสวมใส่ให้ตัวเองดูดี ทว่า Supreme คือเสื้อผ้าปุถุชนธรรมดา แต่เมื่อมีคำว่า Supreme ปะหน้า เราจะรู้สึกถึงความ rare และราคาแพงขึ้นมาได้ทันที จึงไม่แปลกที่นักลงทุนหลาย ๆ คนจะทุ่มเงินกว้านซื้อมาเก็งกำไรขายต่อยิ่งทำให้ราคาทวีคูณขึ้นไป ยิ่งหลังจากการ crossover ไปร่วมงานกับแบรนด์ไฮเอนด์อย่าง Louis Vuitton ได้แล้วก็เชื่อว่าคงไม่มีสิ่งใดที่ Supreme จะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line