Life

Zero To Hero : ‘เหยิน โจ๊กเกอร์’ กับ 39 ชั่วโมงหลังไฟต์สำคัญที่สุดในชีวิต และความฝันอันเรียบง่ายของ ‘เปา-ทรัพย์พูลผล ทิพย์ผล’

By: GEESUCH July 22, 2023

เวลา 22:26:36 (01/07/2023) สนามมวยราชดำเนิน

“ตอนเด็ก ๆ เราก็อยากจะเป็นนักฟุตบอลครับ เราก็เล่นบอลเตะบอลกับเพื่อน ฝีมือเราก็พอได้อยู่เหมือนกัน ผมชอบเมสซี่ครับ (ยิ้ม)”

เป๊ง !!! เสียงระฆังตีบอกหมดเวลาที่ 22:26:36 การต่อสู้อันยาวนานจบลงไปพร้อมกับความฝันในวัยเด็กของเขาที่ก็ค่อย ๆ พร่าเลือนจนมองเห็นไม่ชัดเหมือนก่อน ฝันที่ถูกกลบแทนที่ด้วยเสียงของเหล่าผู้คนทั่วเวทีศักสิทธิ์ของสนามมวยราชดำเนิน ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลงในเร็วนี้ ไม่ต่างกันเลยกับเสียงเชียร์ของคนที่ดูไลฟ์สดอยู่ในคอนโด ร้านเหล้าในซอยรางน้ำ หรือในบ้านทรงวินเทจสักหลังของย่านลาดพร้าว

‘เสียงเชียร์’ จำนวนไม่น้อยเหล่านั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นคำดูถูกที่ทำให้เขาต้องสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเอง เหมือนที่เขาทำมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจเดินเข้าสนามซึ่งล้อมรอบด้วยตู้คอนเทนเนอร์ของ Fight Club Thailand เมื่อ 2 ปีก่อน ‘เหยิน โจ๊กเกอร์’ นักมวยจากข้างถนนผู้บ้าเลือด แสยะยิ้มเมื่อเห็นคู่ต่อสู้กลัวจนหัวหดคือตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการนั้น ตัวตนที่แทบจะไม่มีอะไรคล้ายกับสิ่งที่เขาเป็นจริง ๆ ในชื่อของ ‘เปา-ทรัพย์พูลผล ทิพย์ผล’ เลยแม้เพียงสักนิดเดียว    

เปาพูดคำว่า ‘เวทีศักสิทธิ์’ ทุกครั้งเวลาพูดถึงสนามมวยแห่งนี้ ด้วยน้ำเสียงที่มีความเจียมตัวถึงความไม่ควรคู่อยู่ในคำพูดของตัวเองทุกครั้งเช่นกัน และนั่นคือหนึ่งในสิ่งที่อธิบายตัวตนของเปาที่ต่างกับโจ๊กเกอร์ได้เป็นอย่างดี 

เด็กหนุ่มวัย 21 ชาวไทยในมุมสีน้ำเงิน ต้องต่อยกับมุมสีแดง โคตะ มิอุระ นักสู้ MMA ดาวรุ่งอายุเท่ากันจากญี่ปุ่น ไฟต์ที่เขาสามารถลบคำสบประมาทว่าตัวเองจะไม่สามารถยืนได้ครบ 3 ยก ไฟต์ที่เขาพูดก่อนหน้านั้นแล้วว่าจะทุ่มเทสุดตัวเพราะไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว และเมื่อไฟต์จบลง เขาก็ประกาศกร้าวด้วยคำพูดที่ไม่ว่าใครที่ตั้งใจฟังก็ไม่มีทางลืมลงได้เลย 

“ผมไม่ได้ชอบมวยครับ แต่ที่ผมทำมันคือหน้าที่ เพื่อที่ผมจะต้องเลี้ยงชีพตัวเองไปวัน ๆ เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงตายายของผม มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ”  

วันนั้นเป็นวันเสาร์ที่ตรงกับวันแรกของเดือนกรกฎาคม เวทีราชดำเนินคนแน่นขนัดเพราะไฟต์พิเศษตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินดี แต่หลังจากเวลา 22:26:36 ไม่นาน ทั้งสนามก็จะถูกทิ้งเอาไว้เพียงความว่างเปล่า กับกลิ่นเหงื่อปนคาวเลือดของเปาที่โดนโคตะต่อยจนจมูกแตกในยกที่ 2 โจ๊กเกอร์จะหลบเข้าไปในเงามืดสักแห่งในจิตใจของเขา ชีวิตปกติที่ต้องดิ้นรนกลับมาดำเนินอีกครั้งหนึ่ง

บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้คือเรื่องราว 39 ชั่วโมงหลังจากไฟต์โคตะ เรื่องราวของ เปา เด็กหนุ่มที่ฝันถึงการได้ใช้ชีวิตอันเรียบง่ายทุกวัน และอยากให้ผู้คนจดจำภาพสุดท้ายของตัวเองในฐานะนักสู้ทั้งบนสังเวียนและในชีวิตจริง 


เวลา 13:14:08 (03/07/2023) สนามกีฬากองทัพอากาศ (ธูปะเตมีย์)

ภาพของเครื่องบินที่ตัดผ่านอากาศไม่ขาดสาย เสียงคนงานก่อปูนที่กำลังบูรณะสนามกีฬาอันทรุดโทรมมาตลอดหลายปี เปานัดเรามาเจอที่สนามกีฬากองทัพอากาศ (ธูปะเตมีย์) สถานที่เก็บตัวฝึกซ้อมตลอด 1 เดือนก่อนไฟต์โคตะ เขาทักทายอย่างนอบน้อม เราจึงถามกลับไปว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง

“ตอนนี้ก็รู้สึกเจ็บครับ (ยิ้ม) เพราะมีการระบมที่ข้อเท้านิดหน่อย แต่ตรงจมูกที่แตก ๆ กลับไม่เจ็บครับ เย็บ 5 เข็มครับแต่กลับไม่เจ็บ 555”

ไม่น่าเชื่อว่าสภาพที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจะทำให้เขายังสามารถพูดคำว่า ‘ไม่เจ็บ’ และหัวเราะออกมาได้อีก สายตาอันมุ่งมั่นอยู่เหนือรอยเข็มเย็บตรงสันจมูกเพียงไม่กี่เซ็น อีกทั้งยังโหนกแก้มและกรามที่ยังคงมีร่องรอยของอาการบวม บ่งบอกถึงความเจ็บปวดโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ อธิบายนั่นอีก เราได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมเขาถึงสามารถส่งรอยยิ้มคืนมาให้เราได้ตลอดการพูดคุยกัน รอยยิ้มที่ไม่มีความเลือดเดือดแบบโจ๊กเกอร์หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิด เพราะนี่เป็นรอยยิ้มของเปาจริง ๆ ที่ถ้าไม่ลงมาข้างล่างเวทีเราก็คงไม่มีทางจะได้เห็น

“หลังจากชกจบวันเสาร์ วันอาทิตย์ผมก็พักผ่อนครับ แล้วเดี๋ยววันนี้ก็ซ้อมมวยต่อ”

ราวกับภาพในหนังสือการ์ตูน ‘ก้าวแรกสู่สังเวียน’ เมื่อไฟต์สำคัญใกล้มาถึง เด็กหนุ่มจากร้านขายปลาอย่างอิปโปต้องเก็บตัวฝึกซ้อมนรกอย่างหนัก เพื่อเร่งรัดให้ร่างกายและจิตใจพร้อมที่สุด ช่วงเวลาเตรียมตัวก่อนไฟต์ของโคตะก็ทำให้เปาเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน

UNLOCKMEN : ได้ยินมาว่าก่อนขึ้นชกไฟต์กับโคตะเปาซ้อมหนักมาก หนักกว่าที่เคยผ่าน ๆ มา อยากรู้ว่า Routine ในแต่ะวันต้องทำอะไรบ้าง 

“วิ่งครับ เช้า 10 กิโล / เย็น 10 กิโล แล้วก็มาเตะเป้า เตะกระสอบก่อนครับ เตะกระสอบ 5 นาที 5 ยก เสร็จแล้วก็มาเตะเป้า มีเทรนเนอร์ครับ มีครูมาจับเป้าให้ ก็จะเป็น 5 นาที 3 ยก หรือ 5 นาที 4 ยกอะไรก็ว่ากันไป แล้วก็จะมีวิดพื้นดึงข้ออะไรประมาณนี้”

“ก็ต่างจาก Routine ปกติมาก (ยิ้ม) คือเวลาเราเข้ากระสอบเนี่ย เราก็พักได้แค่ 1 นาที พักได้แค่ 30 วิ แต่เมื่อก่อนนี้เรายังแบบว่าพักสองนาทีพักสามนาทีได้ ให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยมาทําใหม่ อันนี้มันแบบว่าต้องดีดตัวเองขึ้นมาจริง ๆ ครับ”

UNLOCKMEN : สำหรับคนที่ฝึกชกมวยด้วยตัวเองมาตลอด การมีโค้ชมวยมาฝึกให้จริงจัง มีผลกับเรามากแค่ไหน

“มีผลมากเลยครับในเรื่องการยืนมวย การตั้งสติ การออกหมัด การยืนระยะ คือมันมีผลมาก คนเป็นมวยเขาจะรู้ว่าควรจะเข้าจังหวะไหน แต่เรากลับไม่รู้ว่าต้องเข้าจังหวะไหน เราก็ไปยืนจ้อง ๆ เขา รอให้เขาเข้ามา พอเขาเข้ามาแต่ละทีเป็นชุดเลย ทําให้เรากันไม่ได้อะไรไม่ได้ ตอนชกกับโคตะเราก็พึ่งสัญชาติญาณมาก แล้วก็มีใบสั่งจากโค้ชนั่นแหละครับ”

นักชกที่ฟังแต่เสียงของตัวเองมาตลอดต้องมาชกในสนามใหญ่ที่มีโค้ชให้คำปรึกษาทุกครั้งที่พักยก การชกตามใบสั่งอย่างที่เปาบอกส่งผลให้เขาสามารถยืนได้จนครบทั้ง 3 ยก แล้วถ้าเขาใช้วิธีตอนสู้แบบ Fight Club Thailand ตามสไตล์ของโจ๊กเกอร์ผลจะออกมาต่างจากนี้มั้ย

“ถ้าใช้วิธีเหมือนตามไฟต์คลับไม่ได้มีใบโค้ชสั่ง ผมมองเป็น 2 แบบ คือโคตะอาจจะไปตั้งแต่ยกแรก เพราะว่าผมจะเดินบี้ เดินไม่คิดชีวิตน่ะครับ เดินต่อย เดินมั่วอะไรไป แต่ถ้าเขารอดยกแรกไป ยกสองผมอาจจะเหนื่อย มุมมองที่สองคือผมจะเหนื่อยมาก”

“แต่ถ้าให้เลือกได้ไม่อยากสู้กับใครเลยครับ อยากอยู่เฉย ๆ 555 เพราะอย่างว่าเราไม่ได้ชอบมวยครับ แต่ที่เราทํามันคือหน้าที่ พอมีใครมาท้าเรา เราก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาซ้อมมวย พอไม่ได้มีใครมาท้าเรา เราก็ไม่ได้ท้าเขาคืน ไม่ได้ท้า .. ไม่ได้อยากชกกับใคร เราอยากนอนตื่นสายมากกว่าครับ”

แล้วอะไรทำให้เด็กหนุ่มที่ไม่อยากสู้กับใครถึงตัดสินใจเดินทางสายแห่งกำปั้นของลูกผู้ชายและความเจ็บปวดนี้ คำตอบถูกซุกอยู่ในช่วงเวลาตอนที่ยังเป็นเด็กของเขา 


เด็กชายเปา / คุณตาคุณยาย / โรงเรียนมัธยม / การบูลลี่

“ผมโตมาอยู่ในฐานะปานกลาง ก็อยู่กับตายายตั้งแต่เด็กครับ พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ผมยังจําความไม่ได้ แม่ก็มาเยี่ยมนะครับ แต่พ่อหาไม่เจอเลย ตอนเด็ก ๆ ไม่เคยเจอเลยเพิ่งมาเจอกันตอนโต” 

“ก็ทํางานตั้งแต่เด็ก ตายายทำรับเหมาก่อสร้างผมก็ต้องทํางานกับท่านเพื่อหาเงินเข้าบ้าน กินอยู่กับท่านนั่นแหละครับ ก็หนัก หนักอยู่พอควรเหมือนกัน ทำงานตั้งแต่จําความได้เลยครับ ตั้งแต่จําความได้ผมก็อยู่ไซต์งานก่อสร้างแล้ว ไม่ได้เล่นกับเพื่อน มาเล่นก็แค่ตอนอยู่โรงเรียน”

“จนมาแยกตัวกับตายายอีกทีคือตอน ม.1 ครับ เพราะเราย้ายมาอยู่กับแม่ที่กรุงเทพ แม่รับเรามาเลี้ยง มาเรียนหนังสือ ก็ไม่ได้ทำงานไซต์ก่อสร้างแล้วแต่ก็ยังไปหาตายายอยู่ครับ ยังไปช่วยเขาอาทิตย์หนึ่งตอนปิดเทอมอะไรประมาณนี้ครับ” 

“จากนั้นก็อยู่กับแม่จนจบ ม.3 แล้วเราก็แยกตัวออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ก็ไปอยู่แถว ๆ เดิมนั่นแหละครับ ใช้ชีวิตทํางานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านหมูกระทะ ทำเด็กเสิร์ฟในโรงแรมไปเรื่อยครับ”

“ที่ขอแยกมาอยู่คนเดียวเหตุผลคือเราขี้กลัว ตอนเด็ก ๆ เราขี้กลัว เราเหมือนไข่ในหิน แต่แม่ไม่ได้หวงเราขนาดนั้นนะครับ ยกตัวอย่างแค่ว่าสั่งอาหารอย่างนี้ครับ แม่เราก็เป็นคนสั่งให้ เราไม่กล้าพูดด้วยซ้ำ เราก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ เรากลัวเกินไป เรากลัวที่จะพูด เรากลัวที่จะอ่าน เราก็เลยอยากจะลองย้ายมาอยู่คนเดียว เผื่อเราจะกล้าขึ้น”

ถึงแม้ว่าเปาจะไม่ได้พูดถึงสาเหตุของการเป็นเด็กขี้กลัวโดยตรง แต่เราเชื่อว่าต้นตอมาจากช่วงเวลาตอนโรงเรียนมัธยมต้นของเขา กับเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใครเลยแม้แต่คนเดียว

“ผมโดนบูลลี่ตั้งแต่ตอน ม.1-2-3 เพราะว่าเราเป็นเด็กหน้าจืดและก็ฟันเหยิน ก็จะโดนผู้หญิงล้อว่าฟันเหยิน ไม่ต้องพูด ไม่ต้องอะไร จนเราอาย จนเราไม่กล้าหัวเราะ ไม่กล้าพูดไประยะหนึ่งเลยครับ แบบว่าเราไม่กล้าที่จะให้เขาเห็นฟันเราด้วยซ้ำ เพราะว่าเพื่อนในโรงเรียนก็ไม่มีใครฟันเหยิน ทุกคนเขาก็ปกติกันหมด”

UNLOCKMEN : แล้วแบบนี้เรามีเพื่อนสนิทบ้างมั้ย

“ไม่มีครับ มีเพื่อนคบในโรงเรียน แต่พอเลิกเรียนปุ๊บเขาไปไหนกันเราก็ต้องกลับบ้าน คือเราไม่ได้ติดเพื่อนและเพื่อนก็ไม่ได้ติดเรา”

UNLOCKMEN : เปาผ่านช่วงเวลา 3 ปีที่ถูกบูลลี่มาได้อย่างไร

“ถ้าถามว่าผ่านมายังไง เราเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรมาก ในสถานการณ์ตอนนั้นเราก็คิดนะ แต่พอเราได้กลับบ้านอาบน้ํานอน ตื่นเช้ามาเราก็ลืม ไปโรงเรียนใหม่ แค่นั้น ก็คือต้อง .. เขาเรียกว่าอะไรนะ รีเซ็ตสมองของตัวเอง การบงการบ้านก็ไม่ค่อยได้ทําหรอกครับ ลืม 555”

ไปโรงเรียนทุกวันตลอด 3 ปีโดยการที่โดนสังคมบีบให้เชื่อว่าตัวเองผิด ในสิ่งซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิดทุกวัน ถ้าหากเพียงแค่เขาเป็นเหยินโจ๊กเกอร์ ตั้งแต่ตอนเรียน ม.1 ทุกอย่างก็คงจะไม่ออกมาในรูปนี้ เขาจะได้ใช้พลังเอาคืนคนเหล่านั้นได้แค่ไหน จากความคิดนั้น ทำให้เราถามเปาออกไปเผื่อว่าเขาจะได้พูดถึงอดีตแบบที่ไม่ต้องเจ็บปวดจนเกินไปนัก  

“ถ้าผมเป็นมวย เป็น ‘เหยิน โจ๊กเกอร์’ ตั้งแต่ ม.1 ผมก็คงจะอยู่เฉย ๆ คงไม่มีใครมาแกล้งผม แล้วก็คงจะไม่ได้เห็นผมในตอนนี้ด้วย เพราะว่าชีวิตมันอาจจะเปลี่ยนไปเลย แล้วถ้าถามว่าจะแกล้งคนอื่นกลับไหม ไม่มีทางแน่นอนครับ”


เวลา 13:50:13 (03/07/2023) สนามกีฬากองทัพอากาศ (ธูปะเตมีย์)

UNLOCKMEN : ไฟต์โคตะคุณพ่อกับคุณแม่ได้มาดูเราชกด้วยมั้ย ?

“ไม่ได้มาครับ มาแค่คุณตาคุณยายครับ” 

หนึ่งสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในวันช่วงเวลาก่อนไฟต์กับโคตะ คือการเดินทางมาถึงของตาและยายของเปา การสวมกอดอันอบอุ่นที่คุ้นเคย น้ำตาของนักสู้ที่ไหลออกมา อาจจะเป็นสิ่งนี้เอง-สิ่งที่เรียกว่า ‘แรงใจ’ ทำให้เขาสามารถสู้ได้จนถึงระฆังของยกสุดท้าย เด็กหนุ่มที่เคยพูดเอาไว้ว่าตัวเองไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว เขาคงจะหมายถึงว่าเขาจะไม่มีทางหยุดเด็ดขาดจนกว่าคนข้างหลังตัวเองจะสบายนั่นเอง   

“ตอนแรกที่ได้รู้ว่าเราได้ชกกับโคตะเนี่ย ใจเราเต้นเลย ก่อนชกก็ตื่นเต้นนะครับ ใจเราเต้นแรงมาก เราก็กลัว ขาเราสั่นไปหมด คือแบบว่า เฮ้ย ! นี่มันจะมาถึงแล้วอะ มันจะมาถึงแล้วทําไมใจเรายังเต้นอยู่ ขามันยังสั่นอยู่ ก็พยายามหายใจเข้าลึก ๆ ทําสติให้นิ่ง” 

“แล้วพอไปถึงตอนวันที่ชกจริง พอเราได้ก้าวเข้าไปบนเวที จิตใจเรากลับสงบ หัวใจเต้นเป็นปกติ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันนะครับ แบบว่าเราคิดว่าโอเคเราพร้อมแล้ว เราพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะอยู่ตรงหน้า ถ้าเราผ่านมันไปได้ ชื่อเสียงของเรา ตัวเรา ครอบครัวเราก็จะได้โด่งดัง เราก็คิดแบบนี้นะครับ”

“ไฟต์นี้ผมแบกอะไรเอาไว้เยอะมาก คือทุกคนก็หวังเราเนี่ยแหละครับ ต่อให้ทุกคนบอกว่าไม่ต้องคาดหวังอะไรนะ แต่ความรู้สึกเราก็ยังหวัง ทั้งคนที่จับเป้าให้กับเรา คนที่ลงนวมกับเรา ทุกคนเจ็บตัวหมด คนที่ซื้อกับข้าวให้เรากิน ทุกคนเหนื่อยหมด”

ย้อนกลับไปในวันที่ 27 พฤษภาคม – ทันทีที่โปสเตอร์ประกาศไฟต์พิเศษระหว่าง Kota Miuara กับ Joker Fight Club Thailand ของ ‘ราชดำเนิน เวิร์ล ซีรีส์ (RWS)’ ถูกปล่อยออกสู่สายผู้คนบนโลกอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ท่ามกลางความตื่นเต้นในตัวของโคตะ มิอุระ ปนเปกับความฉงนว่าใครคือโจ๊กเกอร์ ? ไฟสปอร์ตไลท์ที่ปกติควรจะสาดส่องนักชกทั้ง 2 คน กลับถูกหักเหไปทางนักสู้ MMA ชาวญี่ปุ่นเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนอีกมุมหนึ่งที่มืดมิด โจ๊กเกอร์พยายามอย่างหนักกับแบทแมนที่พยายามจะต้อนให้เขาอยู่ในมุมมืด

นี่คือไฟต์ที่เด็กหนุ่มบอกว่าช่างแตกต่างกับสังเวียนใต้ดินของ Fight Club Thailand ที่เขาชกมาตลอดอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเรื่องความมาตราฐานของเวทีราชดำเนิน กติกาที่เปลี่ยนจากมวยไทยมาเป็น Kick Boxing ต่อยทั้งหมด 3 นาที 3 ยก จะฟันศอก ทุ่ม และตีเข่าไม่ได้อีกแล้ว และแม้กระทั่งคนดูกับบรรยากาศเองก็คนละเรื่องกันเลย  

“ผมก็ต้องเปลี่ยนสภาพจิตใจครับ เปลี่ยนสภาพจิตใจให้แบบว่าทําตัวให้มันพร้อมกับการฝึกซ้อมเช้าเย็น เมื่อก่อนนี้เราจะซ้อมแค่ตอนเย็นไงครับ เพราะตอนชกไฟต์คลับมันจะแค่ยกเดียว แต่ของราชดำเนินเป็น 3 ยก เราก็มาซ้อมเช้าซ้อมเย็น แล้วก็ซ้อมหนักพักน้อย ประมาณนี้น่ะครับ ก็ทรมานอยู่เหมือนกัน (ยิ้ม)” 

เปายอมรับว่าเสียเปรียบในเรื่องของการยืนมวย เพราะว่าฝึกมวยด้วยตัวเองมาตลอด แต่เขามั่นใจว่าได้เปรียบในเรื่องของการเป็นนักมวยที่ยืนสู้มาก่อน เอื้อกับกติกา Kick Boxing แต่โคตะนักสู้ MMA ที่นอนสู้เป็นหลักคงจะเสียเปรียบกว่า และอย่างที่คนติดตามผลงานของเขารู้ดี ชื่อของโจ๊กเกอร์การันตีเรื่องแรงที่ไม่มีวันหมด ปล่อยอาวุธได้หนักหน่วง พร้อมรับหมัดได้อย่างไม่กลัวเกรง

แต่ถึงอย่างนั้นเอง ในสายตาของผู้ชมก็ฟ้องคำว่า ‘ไม่เหมาะสม’ ออกมาอยู่ดี … 

 

UNLOCKMEN : ช่วงวันก่อนชกกับโคตะ ‘เหยิน โจ๊กเกอร์’ โดนดูถูกเอาไว้เยอะมากว่าตัวเองกำลังต่อยในไฟต์ที่ไม่คู่ควร ไปขายขี้หน้า สิ่งเหล่านี้มีผลต่อสภาพจิตใจของเราก่อนขึ้นชกมากแค่ไหน 

“คนที่ดูถูกสภาพจิตใจผมก่อนชกเนี่ยก็ถามว่ามีผลไหม ก็มีผล เพราะว่าเราพยายามถีบตัวเองขึ้นมาตลอด พยายามไต่ระดับ หรือว่ามีไฟต์ไหนที่ได้แบบว่ามีโอกาสที่จะไปชกเราก็พยายามเต็มที่กับไฟต์นั้น ไฟต์ทางราชดําเนินก็เป็นโอกาสของผมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมก็เต็มที่ เพื่อให้แบบว่าทุกคนที่มองว่าผมยังไม่ถึงระดับนั้น เปลี่ยนมุมมองครับ อยากให้เปลี่ยนมุมมองว่าผมก็พยายามมากจริง ๆ พยายามมากที่จะไปยืนตรงจุดนั้น”

“ผมก็เลยต้องซ้อมให้เยอะขึ้นเพื่อจัดการกับคำดูถูกที่เข้ามาครับ เพราะบางคนเขาบอกว่าไปอาย ไปขายขี้หน้า ไปยืนไม่ครบยก ไปทําให้เวทีเขาเสื่อมเสีย เราก็ต้องจัดการด้วยการซ้อมให้เยอะ ๆ ให้อย่างน้อยถ้าเราไม่ออกหมัดเลย เราสู้เขาไม่ได้เลย คนจะได้เห็นจิตใจเราที่เราจะสู้ต่อ ที่เราจะยืนให้ครบ 3 ยก”

UNLOCKMEN : ถ้างั้นการที่คุณตากับคุณยายมาดู หรือรู้ว่ามีคนเชียร์เรา มันมีผลต่อสภาพจิตใจของเราในทางบวกด้วยเหมือนกันมั้ย

“มีผลมากพอควรครับ คนที่ชื่นชมเราเราก็ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ เราก็จะมาปรับพัฒนา คนที่สอนเรา หรือคนที่ดูถูกเรา ก็จะเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เราไม่ต้องกลับไปโดนดูถูกอีกครั้งหนึ่งในไฟต์ต่อ ๆ ไป เพราะฉะนั้นในไฟต์ต่อ ๆ ไปก็จะทําให้ดีขึ้น แล้วพวกพี่ ๆ FC ที่คอมเมนต์ก็ถือว่ามีผลอย่างมากครับในไฟต์นั้น”

“ผลกับไฟต์ระหว่างโคตะก็ยังขัดใจนิดนึงครับ ยังขัดใจเรื่องที่เราวืดบ่อยไปหน่อย เรายังกลัวหมัดเขา พอจะได้ยืนสู้กันดี ๆ เขาก็มาก้มกอดเอวเรา ก็อาจจะยังมีขัดใจกันนิดนึง”

แล้วถ้าผลออกมากลับกันล่ะ เขาสามารถเอาชะเด็กหนุ่มดาวรุ่งรุ่นเดียวกันจากญี่ปุ่นอีกคนได้อย่างที่ตั้งใจจริง อะไร ๆ จะเปลี่ยนไปอย่างที่เขามีความเชื่อว่าเส้นทางของชีวิตเมื่อถูกกระทบเพียงเล็กน้อย ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปหมดด้วยมั้ย แล้วที่สำคัญที่สุดเลย ความรู้สึกของเขาจะเป็นอย่างไร ?

“อันดับแรกคือน่าจะร้องไห้ครับ เพราะว่ามันตื้นตันน่ะครับ มันตื้นตัน มันดีใจ มันอะไรหลาย ๆ อย่างว่าเราทําได้ แค่ตอนนี้เสมอก็ถือว่าเราทําได้แล้ว แต่อาจจะยังไม่เป็นผลตามที่เราซ้อมมาก เพราะว่าเราก็กะจะไปน็อกเขานั่นแหละครับ แต่รูปเกมอาจจะผิดไปหน่อย ทีแรกเราต้องเป็นมวยเดินแต่คราวนี้เขากลับเป็นมวยเดินแทน มันก็เลยต้องแก้เกมกันอีกทีหนึ่ง ก็เลยเกิดการผิดพลาด ก็เลยอาจจะต้องรับอาวุธเขาแล้วก็ยืนครบ 3 ยกไป”


หนทางของนักสู้ / การปกป้องคนรัก / ชีวิตที่ดีกว่าทำรับเหมาก่อสร้าง 

UNLOCKMEN : การที่มีชีวิตวัยเด็กต้องทำงานมาโดยตลอด และโดนบูลลี่ มันมีผลมากแค่ไหนในการเลือกเส้นทางนักมวยของเปา

“ก็มีผลตรงที่ว่าเราไม่อยากทํางานลําบาก เราไม่อยากไปตากแดด ยกปูน ก็เลยพยายามถีบตัวเองขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วก็เรื่องชกมวยเป็นเพราะเราไม่อยากโดนรังแก จนทําให้เราได้ไปอยู่ในสายมวยข้างถนน อยากจะพิสูจน์ตัวเอง”

เส้นทางสู่การเป็นนักสู้ข้างถนนของเขาเริ่มด้วยเหตุผลง่าย ๆ อย่าง … 

“เราก็ออกกําลังกายมาเรื่อย ๆ ครับ ก็คือเป็นเด็กบ้าพลังคนหนึ่ง คือแบบว่าอยู่ ๆ ก็ยกโต๊ะ เล่นตลกขําขัน แล้วก็พอเราจบ ม.3 พอ ม.4 เราไม่ได้ต่อโรงเรียน เราดรอปเลยครับ เรามาทํางานอยู่กับแฟน ก็รู้สึกว่าว่างไม่มีอะไรทํา เราก็อยากจะมาออกกําลังกาย อยากจะมาลองต่อยบ้าง ก็ไม่เป็นก็ต่อยแย๊ก ๆ ของเราไป เหนื่อยก็พัก”

UNLOCKMEN : ทำไมถึงต้องเป็นการชกมวย 

“มวยเนี่ย ขึ้นชื่อว่ามันเป็นกีฬาพื้นฐานที่ใช้ปกป้องตัวเองก็ได้ ปกป้องคนที่เรารักก็ได้ หลายสิ่งหลายอย่าง บางทีเราทะเลาะกันเราก็ต้องชกต่อยกัน บางทีเราเถียงกันเราต้องชกต่อยกัน หรือว่าบางทีดีกันก็ต้องมาชกต่อยกัน 555 มันไม่มีใครแบบว่าทะเลาะกันแล้วมาเล่นบาสกันไหมละ มาแข่งบาสกันไหมละ 555 มันก็เป็นกีฬามาตรฐานที่ทุกคนต้องติดตัวไว้ เราก็เลยเรียนไว้ดีกว่า ในตอนแรกสุดเรามองมันว่าเป็นกีฬา”

“ไอดอลของผมในการชกมวย ก็จะดูพี่บัวขาวครับ แล้วก็พี่สามารถ พยัคฆ์อรุณ แต่พอหลัง ๆ มาก็จะมีพี่รถถังกับพี่เพชรดํา ผมชอบความดุดันและความกล้าครับ”

จากจุดเริ่มต้นของกีฬา ตอนอายุ 18 เปาตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่สนามข้างถนนของ Fight Club Thailand ที่จะเปลี่ยนให้เด็กหน้าจืด เด็กที่เกลียดความรุนแรง สู่ความรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ เรื่องราวที่เราขอเก็บเอาไว้เล่าหลังจากนี้  


เวลา 14:25:55 (03/07/2023) สนามกีฬากองทัพอากาศ (ธูปะเตมีย์)

เวลา 22:18:46 ทันทีที่กรรมการวิ่งเข้ามาอย่างเร็วที่สุดเพื่อแยกโคตะซึ่งกำลังรัวหมัดออกจากโจ๊กเกอร์ ตอนนั้นเอง ที่เลือดได้อาบทั่วใบหน้าของโจ๊กเกอร์ หลายคนคิดว่าทุกอย่างอาจจะจบลงในไม่ช้านี้ และเด็กหนุ่มเองก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้ตายไปแล้วในชั่ววินาทีหนึ่ง

“ตอนยกสองที่โดนต่อยแตก โคตะมารัวหมัดใส่ เราก็กัน ๆ เหมือนเดิมแล้วคราวนี้น่าจะไปพลาดโดนสันหมัดข้างขวาเขา ภาพตัดเลยครับ” 

“ภาพตัดเลย มันวิ้ง ! แล้วก็นึกถึงตอนที่เราซ้อม นึกถึงครอบครัวจริง ๆ นะครับ มันเป็นเรื่องจริงเลย แบบว่าแว๊บเดียวเลย แล้วเราก็ลืมตาขึ้นมา ซึ่งมือเราก็ตั้งการ์ดอยู่ แล้วเราก็ก้มหน้า ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นแต่ก็เกิดขึ้น แต่ด้วยความที่เราซ้อมดีแรงเราก็ยังไม่หมด ยังไม่ฮวบลงไป ก็โอเค ถ้าล้มก็คือโดนจับนับเลย แต่เราไม่ล้ม โชคดีที่ขาเราไม่อ่อน (ยิ้ม)”

“การฝึกซ้อมและความคาดหวังของทุกคน แล้วก็อุปสรรคข้างหลังที่ถีบเราขึ้นมา ก็ทําให้เราสามยกนั้นมันแค่เบา ๆ ครับ เรายึดเหนี่ยวในสิ่งนั้น”

หลังจากผ่านยกที่ 2 มาได้ โจ๊กเกอร์ในสภาพที่สันจมูกแตกเลือดอาบ รู้สึกได้ว่าโคตะนั้นหมดแรงตั้งแต่ยก 2 ที่ออกอาวุธพุ่งมาใส่เขาอย่างไม่หยุดยั้ง เขาไม่ได้พยายามจะแก้เกมอะไร เพราะก็รู้เหมือนกันว่าตัวเองไม่เหนื่อย สบาย ถึงขนาดใช้คำว่าชิลออกมา และเมื่อระฆังตีบอกหมดเวลาของการสู้ในยกสุดท้าย เขารู้สึกโล่งแบบที่ใช้คำว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างมันได้ถูกปลดปล่อยไป” พร้อมกับความดีใจที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกับท่าตีลังกาประจำตัว และการเกาะสลิงยิ้มร่าส่งไปทางคนดู ซึ่งเราเชื่อว่า ณ ขณะนั้นมันเป็นรอยยิ้มของเปาเอง

UNLOCKMEN : ไฟต์ระหว่างโคตะมันเปลี่ยนชีวิตเปาอย่างไรบ้าง ทั้งต่อผู้คนรอบข้าง และต่อตัวเราเอง

“เราก็อาจจะมีงานการเข้ามาเยอะขึ้นอะไรอย่างนี้ครับ เรามีรายได้มากขึ้น ให้เรามีใจที่จะซ้อมต่อไป แล้วถ้าถามว่ามีผลต่อคนภายนอกอย่างไร ก็ทุกคนที่เขาดูตัวผมก็น่าจะรู้ว่าผมลําบากแค่ไหน แล้วก็สู้แค่ไหน ก็น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ คนได้เหมือนกันครับ”

“ครอบครัวตอนนี้ก็เปลี่ยนไปครับ เปลี่ยนแบบว่ามาสนับสนุนเรามากขึ้น เขาก็ตกใจนะครับ เพราะว่าเขาเป็นคนพูดเองว่า เราน่ะโอกาสน้อยที่จะไปเวทีใหญ่ระดับนั้นได้ แต่เราได้พิสูจน์ให้ดูแล้วครับ”

UNLOCKMEN : การชกกับโคตะถือเป็นการประสบความสําเร็จสูงสุดของความฝันของเราแล้วหรือยัง

“การที่เราได้มาในเวทีมาตรฐานก็เป็นอีกหนึ่งความฝันของเรา ซึ่งเราก็ได้ทําสําเร็จแล้ว แล้วก็มาชกกับโคตะ ซูเปอร์สตาร์ มันไม่ใช่แค่คู่เอกแต่มันเป็นคู่พิเศษที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาดูกัน มันแบบว่ามันเป็นคู่ระทึกขวัญน่ะครับ มันไม่มีคําไหนบรรยายได้เลยครับว่ามันต้องรู้สึกอย่างไร คือมันมหัศจรรย์ครับ”

“ถามว่าสูงสุดหรือยังก็บอกได้เลยว่ายังครับ แล้วก็ไม่ใช่แค่การไต่บันไดขั้นหนึ่งด้วย แต่โคตะเป็นเหมือนลิฟต์เลยครับ ที่แบบว่าขึ้นไปแล้วผมได้อยู่เฉย ๆ สบาย ๆ แล้วก็รอลิฟต์มันเปิดเพื่อเดินต่อหรือว่าไปเจอคู่ต่อสู้คนต่อไป มันก็จะเป็นความทรงจําที่ดีที่เราแบบว่าผ่านมันไปให้ได้” 


FIGHT CLUB THAILAND / ไอ้เหยินหมัดหนัก / เหยิน โจ๊กเกอร์ 

วันแรก ๆ ของ Fight Club Thailand สังเวียนเปลี่ยนชีวิตของเด็กหนุ่มหน้าจืด จากชื่อที่ตั้งเองว่า ‘ไอ้เหยินหมัดหนัก’ สู่ชื่อที่ทำให้เขาเป็นโด่งดัง ‘เหยิน โจ๊กเกอร์’ เริ่มต้นขึ้นอย่างนี้ 

“ตอนนั้นผมอายุ 19 ปี ครับ มันเป็นช่วงหลังจาก 3 ปีที่โควิด 19 ซา ๆ ลง เพราะช่วงโควิด 3 ปีไฟต์คลับก็หายไปเลย มาโผล่อีกทีตอนโควิดซาแล้ว เขาก็เปิดรับสมัครที่คลองเตย เราก็ลองสมัครดู สมัครทางออนไลน์ครับ เขาจะเปิดรับสมัครทางเฟซบุ๊ค เราก็ไปคอมเมนต์ว่าอยากชกด้วย อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในไฟต์คลับอะไรประมาณนี้ครับ”

“เหตุผลตอนแรกที่ตัดสินใจสมัคร Fight Club Thailand ก็คือช่วง ม.1 – ม.3 มีรุ่นพี่ที่โรงเรียนน่ะครับเขาไปชก เขาไปชกกันแล้วเพื่อนก็มาเปิดคลิปให้ดูว่าคนนี้ไปชกนะ รุ่นพี่ห้องข้าง ๆ เราเนี่ยไปชกอย่างนี้ อะไรประมาณนี้น่ะครับ แล้วเราก็ดูว่าทําไมทุกคนให้ความสนใจ มันก็ดูเท่ดี แต่ด้วยความที่เราไม่ชอบความรุนแรง เราก็เลยไม่ได้ดูเยอะ เราก็กดติดตามไว้ แต่พอเรากดติดตามเขาก็หายไปเลยเพราะว่าช่วงโควิด แล้ววันหนึ่งเขาก็กลับมาโพสต์ว่า ‘รับสมัครสู่ประตูนรก’ เราก็อ่านกติกาว่าเขาสมัครอย่างไร ลงคลิปอะไรอย่างไร ก็ลองไปสมัครดูแล้วบังเอิญติดครับ ก็ได้เข้าไปสู่วงการไฟต์คลับเป็นครั้งแรก”

UNLOCKMEN : ที่บ้านรู้มั้ย

“ทีแรกที่บ้านไม่รู้ครับ มารู้ตอนที่ผมสมัครติดไปแล้วและกําลังจะชกแล้ว ผมก็ลากเขาขึ้นรถไปดูด้วยเลย 555”

UNLOCKMEN : แล้วเขามีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง จากเด็กคนหนึ่งที่โดนบูลลี่มาโดยตลอด แต่กลับกระโจนเข้าสู่ความรุนแรงด้วยตัวเองเลย

“ตอนนั้นที่บ้านเขารู้สึกสนุกนะครับ ตายายก็รู้สึกสนุก เพราะว่ามันเป็นบรรยากาศที่เขาก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน (เล่าด้วยรอยยิ้ม) เสียงเฮ เสียงอะไร คนนั้นหมดแรง คนนี้สู้ได้ อะไรอย่างนี้คือมันก็แตกต่าง ตายายก็ไม่เคยเห็นเขาก็สนุกกัน”

UNLOCKMEN : เขาไม่กลัวเราเจ็บเลยเหรอ

“เขาก็กลัวเราเจ็บ เขาไม่ห้ามนะครับ ก็สัญชาติญาณลูกผู้ชายมันก็ต้องสู้ เขาก็คงเข้าใจ เขาก็แค่บอกว่าป้องกันตัวดี ๆ แค่นั้นแหละ”

ไอ้เหยินหมัดหนัก / ทรัพย์พูลผล ทิพย์ผล / รับเหมาก่อสร้าง / “สตรีท” / ส่วนสูง 170 ซม. / น้ำหนัก 58 กก. / อายุ 19 ปี  

UNLOCKMEN : ยังจำความรู้สึกของไฟต์แรกตอนที่ชกกับ ‘พลับหลอ’ ได้อยู่มั้ย

“จำได้ครับ กลัวมากเลยครับ จากคนไม่เคยได้ต่อยกับใคร เป็นคนไม่ต่อยใคร ต้องมาต่อยกันซึ่ง ๆ หน้า แล้วคู่ชกเป็นมวยหรือเปล่าเราก็ไม่รู้เลย บางทีซ่อนแอบมาเราก็ไม่รู้ เราก็ตื่นเต้น เราจัดการความตื่นเต้นด้วยการโชว์คาแรกเตอร์ยียวนว่าเราไม่กลัว แต่ที่ไหนได้ ขาสั่นดิ๊ก ๆ เลย 555”

เปาจัดการกับความกลัวด้วยการเยาะเย้ยความกลัวนั้นกลับไปแบบเต็มที่ ความยียวนนั้นมีความคล้ายกับตัวละครตลกในโลกโสมมของ Gotham City แบบที่แทบจะซ้อนทับกันออกมา ชื่อในการต่อสู้ของเขาถูกขนานนามใหม่ว่า ‘เหยิน โจ๊กเกอร์’ ทันทีที่ต่อยไฟต์นั้นจบ .. ช่างเป็นตัวตนที่ห่างไกลจากเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ลิบลับ

“เพราะว่าเรากลัวครับ เราเลยโชว์คาแรกเตอร์ยียวนกวนประสาทไป ให้คู่ชกคิดว่าเราไม่กลัวเขาจะได้กลัวเราไปเอง (ยิ้ม) แต่ตัวตนบนเวทีกับข้างล่างเวทีของเราก็จะต่างกันมาก”

UNLOCKMEN : ถ้างั้นจะนิยามตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นคนยังไง ?

“เป็นคนเรียบง่าย เป็นคนนิ่งในบางอารมณ์และตลกในบางที ประมาณนั้นครับ”

“พอมาบนเวทีก็จะเป็นอีกโลกหนึ่งไปเลย ทั้งแบบว่ามันโรคจิต ทั้งดุดัน ซึ่งมันไม่ควรจะเกิดแต่มันก็เกิดไปแล้วน่ะครับ เพื่อจะเอาชนะและก็เอาตัวรอดในบนเวที ก็แบบว่าเรายิ้ม รอยยิ้มของเราแบบไม่กลัวน่ะครับ ไม่มีความกลัว เมื่อก่อนกลัวแต่ตอนนี้ไม่มีแล้วครับ แล้วก็ดุดันก็คือเดินบวกเดินชน รับแลกแจกแถมกันไป”

UNLOCKMEN : ซึ่งบุคลิกนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวละครโจ๊กเกอร์รึเปล่า

“ไม่ครับ มันมาจากจิตใจเราครับ ที่แบบว่าเรายิ้ม เราทําทุกสิ่งทุกอย่างไป ไม่ได้มี fake อะไรขึ้นมา เหมือนเป็นอีกร่างหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของเรา”

UNLOCKMEN : แล้วตัวตนข้างล่างเวทีกับบนเวที อันไหนคือตัวตนที่แท้จริง

“ก็ตัวตนข้างล่างเวทีนี้แหละครับ ตัวตนล่างเวทีจะเป็นตัวตนเรามากที่สุด”

UNLOCKMEN : แล้วเคยเอาตัวตนบนเวทีมาใช้ในชีวิตประจำวันบ้างมั้ย

“ถ้าเอาตัวตนบนเวทีมาใช้ในชีวิตจริงก็บรรลัย 555”

สำหรับทุกคนที่เป็นแฟนคลับของค่าย DC Comic เราต่างมีโจ๊กเกอร์ในดวงใจของตัวเอง Heath Ledger , Jared Leto หรือ Joaquin Phoenix แต่ไม่ว่าจะชื่นชอบการแสดงของดาราฮอลลิวูดคนไหน เราต่างเห็นใจถึงภูมิหลังของตัวละครตัวนี้เหมือนกันหมด จากคนธรรมดา ถูกสังคมย่ำยีจนกลายเป็นปีศาจร้าย เราคิดว่าไม่มากก็น้อยคาแรคเตอร์ตัวนี้ถูกเลือกให้เปาเพราะชีวิตจริงของเขากับตัวละครสมมติมีส่วนเชื่อมโยงกัน  

“ผมก็ไม่เคยดูโจ๊กเกอร์นะครับ แต่ด้วยเพื่อนเล่ามาหรือเราเคยดูผ่าน ๆ ก็คือว่าเขาก็เป็นเหมือนเรา เป็นคนดี เป็นคนยิ้มแย้ม สักพักโลกมันได้โบยตีเขา ก็กลายเป็นหนุ่มโรคจิต กลายเป็นตัวร้าย ซึ่งก็เหมือนเราคือทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ได้เข้ามาโถมตีเรา กลายให้เราเป็นคนนิ่ง คนเงียบ คนไม่กล้า”

UNLOCKMEN : แล้วถ้าให้เลือกระหว่าง ‘ฮีโร่’ กับ ‘ตัวร้าย’ ล่ะ

“ในมุมมองของผมก็คือผมเนี่ยเป็นตัวร้ายสําหรับใครหลาย ๆ คน คือข้างนอกอาจจะดูร้ายที่แบบว่าเรื่องการชกการอะไร แต่ข้างในจิตใจเราอาจจะเป็นฮีโร่ที่หลาย ๆ คนอาจจะยังมองไม่เห็น ที่เขาไม่ได้ติดตามเราอะไรอย่างนี้น่ะครับ”

Fight Club Thailand หรือ FCTH เริ่มต้นขึ้นในปี 2016 สังเวียนของลูกผู้ชาย ภายใต้ความรุนแรงที่มีอุดมการณ์เพื่อต้องการจะลบระบบนักเลง มีด ปืน กฏหมู่ ศาลเตี้ยออกจากประเทศไทย เมื่อขึ้นสังเวียน คุณก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่มีระดับเท่ากันกับฝ่ายตรงข้าม และเมื่อ 3 นาทีของการชกจบลงก็จะจับมือเป็นพี่น้องกัน แต่แน่นอนว่า ‘ความรุนแรง’ ในระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ตามจะเห็นด้วย สำหรับเปาซึ่งชกในที่แห่งนี้มา 2 ปี เขามีความคิดเห็นต่างออกไป

“จริง ๆ ที่นี่ดีครับ ถ้าเอามุมมองของคนที่เพิ่งสมัครมาใหม่ก่อน ก็คือว่ามันมีแต่มิตรภาพ คือมองกันแล้วมันเป็นมิตรภาพ เราไม่ได้มาฆ่ากัน จะไปฆ่ากันก็ไปฆ่ากันบนเวทีในสนาม ถ้าออกมาแล้วก็แยกย้ายหรือว่าจะเป็นเพื่อนกันต่อก็ได้ แต่สําหรับผมเนี่ย คือคลุกคลีกับไฟต์คลับ ถ่ายงงถ่ายงาน หรือว่ามีชื่อเสียงก็เพราะทางไฟต์คลับ ก็อยากจะบอกว่าเขาเหมือนครอบครัวครอบครัวหนึ่งเลยครับ คือแบบว่าแฟร์ คําพูดคําจา จิตใจเขาแฟร์มากเลยครับ”

UNLOCKMEN : ความสนุกของการไฟต์แต่ละครั้งในครอบครัวนี้สําหรับเปาคืออะไร

“ไม่มีความสนุกเลยครับ กดดันมากครับ ตั้งแต่ไฟต์พี่ต๊ะยมทูต มาเจอพี่เบนซ์มือกระดูก มาเจอเจมส์ลี มาเจอพี่เหน่งโจ๊กเกอร์ คือแบบกดดัน กดดันมากครับ ที่ไม่สนุกเพราะเราก็ทําไปเพื่อทําอาชีพอันนี้คือเป้าหมายของเรา”

UNLOCKMEN : ถ้างั้นเปลี่ยนคำถามใหม่ ไฟต์ที่มีความหมายต่อเปามากที่สุดคือไฟต์ไหน 

“ไฟต์ที่มีความหมายต่อผมมากที่สุด แล้วก็ประทับใจมากที่สุดก็น่าจะเป็นไฟต์ของ พี่ ‘ต๊ะยมทูต’ ครับ เพราะว่าเขาดัง เขาดังมาก่อนเราแล้ว เขาดังมากเลยในหมู่เด็ก ๆ ในหมู่ผู้หญิงผู้ชายอย่างนี้น่ะครับ แล้วเราได้มีโอกาสที่จะไปชกกับเขา ก็เหมือนเราได้ปีนบันได แล้วเราก็โดดข้ามไปเลย ก็ตื่นเต้นครับ คือตอนนั้นเรามีครูอาสามาซ้อมให้เราแล้วครับ”

“ไฟต์นี้อาจจะไม่ได้เปลี่ยนมุมมองความคิดของผมมากครับ แต่เปลี่ยนเรื่องชื่อเสียง ก็มีคนที่รู้จักเรามากขึ้น พอรู้จักเรามากขึ้น ก็จะมีคนชมเรามากขึ้น และก็สิ่งที่แถมมาคือคนดูถูกเรามากขึ้นเหมือนกัน”

UNLOCKMEN : คำถามสุดท้ายถึง Fight Club Thailand คิดว่าเราตัดสินใจถูกมั้ยที่ตอนอายุ 19 เลือกส่งใบสมัครเข้ามา

“ผมคิดว่าคิดถูกนะครับ เพราะคือทางไฟต์คลับไทยแลนด์ก็คือเห็นศักยภาพในตัวผม แล้วก็จะพยายามผลักดันผม พยายามซัพพอร์ตผม แต่ก็อย่างว่าคือโอกาสมันมีให้ทุกคนนั่นแหละ แต่ความสําเร็จมันอยู่ที่เราเองว่าเราจะทํามันได้ไหม ทางไฟต์คลับไทยแลนด์ก็ยื่นโอกาสมาให้ผม แล้วก็เป็นตัวผมเองที่คว้ามันไว้แล้วก็ทํามันได้”


เวลา 15:06:32 (03/07/2023) สนามกีฬากองทัพอากาศ (ธูปะเตมีย์)

ถ้าสมมุติว่ามีรีแมตช์กับโคตะรอบหน้าอะไรที่ ‘เหยิน โจ๊กเกอร์’ จะปรับเพื่อให้ตัวเองสามารถเอาชนะน็อกได้อย่างที่หวัง ซึ่งครั้งนี้เขายังทำไม่ได้

“อะไรที่จะปรับก็น่าจะเป็นการยืนระยะครับ ก็ไม่น่าจะปรับอะไรมากครับ น่าจะปรับการยืนระยะแล้วก็การออกหมัดให้ชัวร์กว่านี้ การเตะให้ชัวร์กว่านี้ ประมาณนี้ครับ ให้กล้ามากขึ้น ให้ถี่ถ้วนมากขึ้นครับ” 

“แต่ถ้าได้มีโอกาสจริง ๆ ก็อยากจะชกกับโคตะในกติกา MMA ที่เขาถนัดแต่ผมไม่ถนัด ก็อย่างว่าเราก็ต้องพยายามฝึกฝนกันไปเรื่อย ๆ เราอยากพิสูจน์ตัวเองด้วย คือพวกมวยยืนมันเป็นพื้นฐานของคนอยู่แล้วที่เราจะต้องยืนชกกันอะไรกัน แต่ MMA ก็จะเป็นอีกตระกูลหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็ต้องก้าวผ่านไปให้ได้ มาถึงขั้นนี้แล้ว มาถึงขั้นนี้ตอนนี้ไม่มีกลัวแล้วครับ”

เปาบอกว่าเหตุผลหลักที่ทำให้ไฟต์ระหว่างเขากับโคตะเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาผลออกมาเสมอนั้น เพราะสไตล์การชกของโคตะที่เป็นมวยไว และออกหมัดชุดได้อย่างยอดเยี่ยมมาก “ผมกันไม่อยู่เลย 555 ตุ้บ ! หน้าหงายตลอด ไวและหนักด้วย” แล้วน้ำหนักที่ต่างกันร่วม 10 กิโลก็มีผลไม่น้อยทีเดียว “น้ำหนักมีผลมากครับ แค่เราแย็บเข้าไปเขาไม่สะเทือน แต่เขาแย็บเรามาแบบเบา ๆ เราปัง ! 555 ก็แตกต่างมาก” 

UNLOCKMEN : หลังชกจบได้คุยกับโคตะบ้างมั้ย 

“ได้คุยครับ หลังชกเขาก็บอกว่าเก่งมากสามารถต่อยอดได้ ยังไงไว้เรามาเจอกันอีก เดี๋ยวอาจจะไปซ้อมด้วยหรือยังไงถ้าเขาได้บินกลับมาที่ประเทศไทย”

UNLOCKMEN : สิ่งที่เราชื่นชมในตัวของนักสู้จากญี่ปุ่นคนนี้คืออะไร

“อันดับแรกก็คือความหล่อครับ ความหล่อเราชื่นชมเขามากเลย 555” 

UNLOCKMEN : อันนี้สาว ๆ เห็นด้วย 

“แล้วก็หัวใจ หัวใจเขาก็คือแกร่งเหมือนกัน คือเขาเหนื่อยตั้งแต่ยกสองแล้วถ้าดู ๆ กันคือเขาหมดสภาพแล้ว เพราะว่าเขายําเราแล้วเขาเอาเราไม่ลง เขาเลยหมดแรง เขาเหนื่อย แต่พอมาปลาย ๆ ยกสามหรือว่าอะไรเขาก็ยังยําไม่เลิกอยู่ดี เราก็ทนไม่เลิกเหมือนกัน 555 ใจสู้ใจเหมือนกัน นั่นแหละคือสิ่งที่ผมยอมรับ คือ ‘เรื่องหัวใจ’ ครับ”


ชีวิตก่อนแขวนนวม / ความฝันหลังจากนั้น

เราอยากบอกเปาออกไปว่าเขาคือฮีโร่ในหมวด ZERO TO HERO ที่สู้ที่สุดคนหนึ่งที่เราเคยเจอมาในชีวิต แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่ได้พูดออกไป … เราจึงเลือกถามถึงชีวิตหลังจากนี้ของเปาและเหยิน โจ๊กเกอร์แทน ในฐานะแฟนคลับคนหนึ่งที่เชียร์ติดขอบสมาร์ทโฟนมาเสมอ สิ่งที่เขาอยากทำให้ได้ก่อนจะแขวนนวมที่จำต้องใส่ และสิ่งที่จะทำหลังจากให้โจ๊กเกอร์หลบอยู่ข้างในจิตใจตัวเองตลอดไป 

“เป้าหมายสูงสุดของผมก็อาจจะไปชกให้โลกทั้งโลกได้เห็นเลย ให้เห็นเป็นไฟต์ใหญ่ ให้คนเห็นว่าเด็กคนหนึ่งจากใต้ดินไปสู่เวทีมาตรฐาน เวทีมาตรฐานไปสู่ระดับโลก ได้ต่อยกับระดับโลก อาจจะไม่ต้องเป็นนักมวยระดับโลกก็ได้แต่เป็นคนที่มีชื่อเสียง ให้เขาได้เห็นว่าเด็กคนนี้มันถีบตัวเองขึ้นมาจริง ๆ”

“อยากให้ทุกคนได้เห็นครับ อาจจะให้เป็นแนวทางมากกว่า อาจจะไม่ต้องทําตามแต่อยากให้เป็นแนวทาง ให้เราได้เป็นแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ให้คนคนหนึ่งก็ดีครับ”

UNLOCKMEN : แล้วในวันที่แขวนนวมไปแล้ว ความฝันของชีวิตข้างล่างเวทีของเราอยากให้เป็นแบบไหน

“ผมก็เป็นคนติดดินมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นความฝันก็อาจจะไม่ได้หรูมาก มันจะไปทางไหนผมไม่อาจรู้ได้ครับ ว่าผมจะต้องพลิกผันไปทางไหน จะไปเป็นนักธุรกิจหรือเปล่า หรือว่าจะไปเป็นอะไร แต่ที่รู้ก็คือจะต้องทําให้ดีที่สุดน่ะครับ เท่าที่เราจะทําได้”

UNLOCKMEN : สมมติว่าเราได้มานั่งสัมภาษณ์กันในอนาคต อีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า เปากลายเป็นนักมวยมีชื่อเสียง วันท้าย ๆ ของชีวิตอยากให้คนจดจําในฐานะอะไร

“จดจําในฐานะที่สู้ชีวิตเนี่ยแหละครับ สู้ชีวิต รับแรงกดดันทุกอย่างทั้งในครอบครัวและนอกครอบครัว นอกสถานที่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันกดดันผมหมดเลย ว่าทําไม่ได้บ้าง อยู่ไม่ได้บ้าง ไม่ได้อยากให้จดจำในฐานะนักมวย แต่เป็นนักสู้ สู้ทั้งในสังเวียนและในชีวิตจริงนี่แหละครับ”


Photographer : Krittapas Suttikittibut

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line